No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 6 (เล่ม 21)

พระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัย
พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ฆฏิการะช่างหม้อนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้โชติปาลมาณพ
เป็นสหายที่รักของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรม
แก่โชติปาลมาณพนี้เถิด.
[๔๑๑] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
กัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังฆฏิการะช่างหม้อและโชติ-
ปาลมาณพให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมาณพ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เพลิดเพลินชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาคทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลุกจาก
อาสนะ ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
[๔๑๒] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น โชติปาลมาณพได้ถามฆฏิการะช่าง
หม้อว่า เพื่อนฆฏิการะ เมื่อท่านฟังธรรมนี้อยู่ และเมื่อเช่นนั้น ท่านจะออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิตหรือหนอ.
ฆ. เพื่อนโชติปาละ ท่านก็รู้อยู่ว่า เราต้องเลี้ยงมารดาบิดา ซึ่งเป็น
คนตาบอดผู้ชราแล้วมิใช่หรือ.
โช. เพื่อนฆฏิการะ ถ้าเช่นนั้น เราจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.

6
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 7 (เล่ม 21)

โชติปาลบรรพชาอุปสมบท
[๔๑๓] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อและโชติปาลมาณพ
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ฆฏิการะ
ช่างหม้อได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้โชติปาลมาณพเป็นสหายที่รัก
ของข้าพระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้โชติปาลมาณพนี้บวชเถิด
ดังนี้. โชติปาลมาณพได้บรรพชาอุปสมบทแล้วในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. ครั้นเมื่อโชติปาลมาณพ
อุปสมบทแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
กัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมนาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในเวภฬิคนิคมตามควร
แก่พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกจาริกไปทางพระนครพาราณสี เสด็จจาริก
ไปโดยลำดับ ถึงพระนครพาราณสีแล้ว.
[๔๑๔] ดูก่อนอานนท์ ได้ยินว่า ในคราวนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ป่า
อิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีทรงพระนาม
ว่ากิกิได้ทรงสดับว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จถึงพระนครพาราณสี ประทับอยู่ ณ ป่า
อิสิปตนมิคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี. ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชรับสั่ง
ให้เทียบราชยานที่ดี ๆ แล้วทรงราชยานอย่างดีเสด็จออกจากพระนครพาราณสี
ด้วยราชยานอย่างดี ด้วยราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จไปโดยเท่าที่ยาน

7
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 8 (เล่ม 21)

จะไปได้แล้ว เสด็จลงจากราชยาน เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๔๑๕] ดูก่อนอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังพระเจ้ากิกิกาสิราชให้ทรงเห็นแจ้ง
ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถา. ลำดับนั้น
พระเจ้ากิกิกาสิราชอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้
ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงทรงรับภัตตาหารของหม่อมฉันในวัน
พรุ่งนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ทรงรับด้วยอาการดุษณีภาพ. พระเจ้ากิกิกาสิราชทรงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
รับนิมนต์แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ถวายบังคม ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จ
หลีกไป. พอล่วงราตรีนั้นไป พระเจ้ากิกิกาสิราชรับสั่งให้ตกแต่งขาทนีย
โภชนียะอันประณีต ล้วนแต่เป็นข้าวสาลีอันขาวและอ่อน มีสิ่งดำเก็บออก
หมดแล้ว มีแกงและกับเป็นอเนก ในพระราชนิเวศน์ของท้าวเธอ แล้วรับสั่ง
ให้ราชบุรุษไปกราบทูลภัตกาลว่า ได้เวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จ
แล้ว.
ว่าด้วยเสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์
[๔๑๖] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่ากัสสปผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตร

8
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 9 (เล่ม 21)

และจีวร เสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิกิกาสิราช ประทับนั่ง
บนอาสนะที่เขาจัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ลำดับนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราช
ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำเพียงพอด้วยของเคี้ยว
ของฉันอันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของท้าวเธอ. ครั้นพระผู้มีพระภาคทรง
พระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จากบาตร
แล้ว พระเจ้ากิกิกาสิราช ทรงถืออาสนะต่ำอันหนึ่ง ประทับ นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงรับการอยู่จำพรรษา ณ เมืองพาราณสี ของหม่อมฉันเถิด
หม่อมฉันจักได้บำรุงพระสงฆ์เห็นปานนี้.
พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพรับการอยู่จำพรรษาเสียแล้ว. แม้ครั้งที่สอง. . .
แม้ครั้งที่สาม พระเจ้ากิกิกาสิราชได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับการอยู่จำพรรษา ณ เมืองพาราณสีของหม่อมฉันเถิด
หม่อมฉันจักได้บำรุงพระสงฆ์เห็นปานนี้.
แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพรับการอยู่จำพรรษาเสียแล้ว.
ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชทรงเสียพระทัย ทรงโทมนัสว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงพระนามว่า กัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษา ณ
เมืองพาราณสีของเราเสียแล้ว ดังนี้ แล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
มีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐากยิ่งกว่าหม่อมฉันหรือ.

9
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 10 (เล่ม 21)

ว่าด้วยทรงสรรเสริญฆฏิการะ
[๔๑๗] มีอยู่ มหาบพิตร นิคมชื่อเวภฬิคะ ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่
ในนิคมนั้น เขาเป็นอุปัฏฐากของอาตมภาพ นับเป็นอุปัฏฐากชั้นเลิศ พระองค์
แลทรงเสียพระทัยมีความโทมนัสว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษาในเมืองพาราณสีของเรา
เสียแล้ว ความเสียใจและความโทมนัสนี้นั้น ย่อมไม่มีและจักไม่มีในช่างหม้อ
ฆฏิการะ ดูก่อนมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะ เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้น
ขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากน้ำเมาคือสุราและ
เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ดูก่อนมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม
ในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะเจ้าใคร่ ดูก่อนมหาบพิตร ช่างหม้อ
ฆฏิการะ เป็นผู้หมดสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกข-
นิโรธคามินีปฏิปทา บริโภคภัตมื้อเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มี
กัลยาณธรรม ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ ปราศจากการใช้ทองและเงิน
ดูก่อนมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสากและด้วยมือ
ของตน นำมาแต่ดินตลิ่งพังหรือขุยหนูซึ่งมีอยู่ด้วยหาบ ทำเป็นภาชนะแล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ในภาชนะนี้ ผู้ใดต้องการ ผู้นั้นจงวางถุงใส่ข้าวสาร ถุงใส่
ถั่วเขียว หรือถุงใส่ถั่วดำไว้ แล้วนำภาชนะที่ต้องการนั้นไปเถิด ดูก่อน
มหาบพิตรช่างหม้อฆฏิการะ เลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด ช่างหม้อฆฏิการะ
เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสัญโญชน์ห้าประการหมดสิ้นไป.

10
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 11 (เล่ม 21)

[๔๑๘] ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะ
นั้นเอง เวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปหามารดาบิดา
ของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหน
เสียเล่า. มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้
เอาแกงจากหม้อแกงนี้เสวยเถิด. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอา
ข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงฉันแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป ลำ-
ดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมา
เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงบริโภคแล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูก่อนพ่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว
เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป. ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็น
ลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
กัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา. ดูก่อน
มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละ
มารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๑๙] ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้น
เอง. ครั้นนั้นในเวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปหามารดาบิดา
ของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสีย
เล่า. มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐาก
ของพระองค์ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาขนมสดจากกระเช้านี้ เอาแกงจาก
หม้อแกงเสวยเถิด. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาขนมสดจาก
กระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงฉันแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะ
ช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาขนมสดจากกระเช้า

11
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 12 (เล่ม 21)

เอาแกงจากหม้อแกงบริโภค แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป. มารดาบิดาบอกว่า ดูก่อน
พ่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง
เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีก
ไป. ครั้งนั้น ฆฎิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เรา
ได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่ง เช่นนี้แก่เรา. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่
ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๒๐] ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้น
เอง ก็สมัยนั้น กุฏิรั่ว. อาตมภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญิงที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อ. เมื่อ
อาตมภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือน
ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่เท่านั้น. อาตมภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่
มาเถิด. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน
ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาแล้ว. ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้
กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือเล่า. ภิกษุทั้งหลายตอบ
ว่า ดูก่อนน้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว . มารดาบิดาฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่าเอาไปเถิดเจ้าข้า
เอาไปตามสะดวกเถิด ท่านผู้เจริญ. ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดา
บิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า. มารดาบิดา
ตอบว่า ดูก่อนพ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้น

12
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 13 (เล่ม 21)

ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคย
อย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา. ดูก่อนมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่าง
หม้อตลอดกึ่งเดือนไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน. และครั้งนั้น เรือนที่ฆฏิการะ
ช่างหม้ออยู่ทั้งหลังนั้นมีอากาศเป็นหลังคาอยู่ตลอดสามเดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูก่อนมหาบพิตร ฆฏิการะช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้.
กิกิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ฆฏิการะ
ช่างหม้อได้ดีแล้ว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เขา.
[๔๒๑] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชได้ส่งเกวียน
บรรทุกข้าวสารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลีประมาณห้าร้อยเล่ม และเครื่องแกงอัน
สมควรแก่ข้าวสารนั้น ไปพระราชทานแก่ฆฏิการะช่างหม้อ. ครั้งนั้น ราชบุรุษ
ทั้งหลายเข้าไปหาฆฏิการะช่างหม้อแล้วได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ นี้ข้าว
สารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลีบรรทุกเกวียนประมาณห้าร้อยเล่ม และเครื่องแกงอัน
สมควรแก่ข้าวสารนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชส่งมาพระราชทานแก่ท่านแล้ว จงรับ
ของพระราชทานเหล่านั้นไว้เถิด.
ฆฏิการะช่างหม้อได้ตอบว่า พระราชามีพระราชกิจมาก มีราชกรณียะ
มาก ของที่พระราชทานมานี้ อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย จงเป็นของหลวงเถิด.
[๔๒๒] ดูก่อนอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่น
ได้เป็นโชติปาลมาณพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเรา
ได้เป็นโชติปาลมาณพ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์
ยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๒

13
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 14 (เล่ม 21)

ราชวรรควรรณนา
อรรถกถาฆฏิการสูตร
ฆฏิการสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในฆฏิการสูตรนั้นดังต่อไปนี้ บทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ
ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ดำเนินไปโดยมหามรรคา ทรงตรวจดูภูมิประเทศแห่งหนึ่ง แล้วทรงรำพึงว่า
เมื่อเราประพฤติจริยาอยู่ เคยอยู่ในที่นี้บ้างหรือหนอ ดังนี้ ทรงเห็นว่า เมื่อ
ศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้า ที่นี้เป็นนิคมชื่อว่า เวภัลลิคะ๑ ในกาลนั้น เรา
เป็นมาณพชื่อ โชติปาละ เรามีสหายเป็นช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ เรากับนาย
ฆฏิการะนั้นได้กระทำเหตุอันดีไว้อย่างหนึ่งในที่นี้ ความดีนั้นยังปกปิดอยู่ ยัง
ไม่ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์ เอาเถิด เราจะกระทำเรื่องนั้นให้ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์
ทรงดำริดังนี้แล้ว ทรงหลีกออกจากทางประทับยืนอยู่ ณ ประเทศหนึ่งเทียว
ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์. พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้อง
หัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้. ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น. อนึ่ง การหัวเราะนั้นมีได้ด้วยจิตที่เกิด
พร้อมด้วยโสมนัส ๑๓ ดวง. ในบรรดาจิตเหล่านั้น มหาชนชาวโลกย่อมหัวเราะ
ด้วยจิต ๘ ดวง คือ โดยอกุศลจิต ๔ ดวง โดยกามาวจรกุศลจิต ๔ ดวง.
พระเสกขบุคคลย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง นำจิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิฝ่ายอกุศล
ออก ๒ ดวง. พระขีณาสพย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็น
๑. ฉ เวคะลิงคะ. สี. เวหลิงคะ.

14
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 15 (เล่ม 21)

สเหตุกะ ๔ ดวง ด้วยกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ ๑ ดวง. แม้ในจิตเหล่านั้นเมื่อ
อารมณ์มีกำลังมาปรากฏย่อมยิ้มแย้มด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณ ๒ ดวง. เมื่อ
อารมณ์ทุรพลมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๓ ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต ๒
ดวง ด้วยอเหตุกะ ๑ ดวง. แต่ในที่นี้ จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสอันเป็นมโน
วิญญาณธาตุฝ่ายกิริยาอเหตุกจิตทำให้ความหัวเราะเพียงอาการยินดีร่าเริงให้เกิด
แต่ภวังค์เท่านั้น. อนึ่ง ความแย้มนี้นั้น ถึงมีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ ก็ได้
ปรากฏแก่พระเถระ. ถามว่า ปรากฏอย่างไร. ตอบว่า ธรรมดาในกาลเช่นนั้น
เกลียวรัศมีมีประมาณเท่าต้นตาลใหญ่ รุ่งเรืองแปลบปลาบประดุจสายฟ้ามีช่อตั้ง
๑๐๐ จากพระโอษฐ์ ประหนึ่งมหาเมฆที่จะยังฝนให้ตกในทวิปทั้ง ๔ ตั้งขึ้นจาก
พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ กระทำประทักษิณพระเศียรอันประเสริฐ ๓ รอบ แล้วก็
อันตรธานหายไป ณ ปลายพระเขี้ยวแก้วนั่นแล. เพราะเหตุนั้นท่านพระอานนท์
ถึงจะเดินตามไปข้างพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทราบถึงความ
แย้มพระโอษฐ์ด้วยสัญญานั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โส ภควนฺตํ เอตทโวจ นี้ ดังต่อไปนี้
นัยว่า ท่านพระอานนท์ คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ย่อม
ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ ทรงกระทำการประกาศสัจจธรรมทั้ง ๔ เราจักให้พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าพอพระทัยประทับนั่ง ณ ที่นี้ ภูมิภาคนี้ จักเป็นอันพระพุทธเจ้า
ถึงสองพระองค์ทรงใช้สอย มหาชนจักบูชา ด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้
เป็นต้น จักกระทำเจดีย์สถานบำรุงอยู่ก็จักมีสวรรค์เป็นที่ไปในภายหน้า ดังนี้
แล้ว จึงได้กราบทูลคำว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้
เป็นต้นนั้น.
บทว่า มุณฺฑเกน สมณเกน ความว่า จะเรียกคนศีรษะโล้นว่า
คนโล้นหรือเรียกสมณะว่า สมณะ ย่อมสมควร. ก็แลโชติปาละนี้ระอาอยู่ด้วย

15