No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 86 (เล่ม 20)

ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่าง ๆ
อาศัยความเป็นต่าง ๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว อาศัย
ความเป็นอารมณ์เดียว อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิส โดยประการทั้งปวง
หาส่วนเหลือมิได้.
วิชชา ๓
[๕๔] ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้
สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมากคือ
ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบ
ชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติ
บ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัป
เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่าง
นั้นโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์
อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดใน
ภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่าง
นั้นมีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอัน
มากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.
ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้แหละ เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วง
จักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบ
ด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึด

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 87 (เล่ม 20)

ถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้า
ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจี-
สุจริต มโนสุจริต ไม่มีติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ
ด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิว
พรรณดี มิผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.
ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกนี้แล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้แหละ เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหา
อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้า
ถึงอยู่.
โปตลิยคฤหบดีแสดงตนเป็นอุบาสก
[๕๕] ดูก่อนคฤหบดี ด้วยอาการเพียงเท่านี้แล ชื่อว่าเป็นการตัดขาด
โวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ ดู
ก่อนคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นการตัดขาดโวหาร
ทั้งสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะเห็นปานนั้น
ในตนบ้างหรือหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าก็กระไร ๆ อยู่ การตัดขาดโวหารทั้ง
สิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ อันใด ข้าพเจ้า
ยังห่างไกลจากการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง
ในวินัยของพระอริยะ อันนั้น เพราะเมื่อก่อนพวกข้าพเจ้าได้สำคัญพวกอัญญ-
เดียรถีย์ ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่งถึง ว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง ได้คบหาพวกอัญญเดียรถีย์ปริพา-

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 20)

ชกผู้ไม่รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้รู้เหตุผลพึงคบหา ได้เทิดทูนพวกอัญญ-
เดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะของผู้รู้ทั่วถึง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่
พวกข้าพเจ้าได้สำคัญภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง ได้คบหาภิกษุ
ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้ไม่รู้เหตุผลพึงคบหา ได้ทั้งภิกษุทั้งหลาย
ผู้รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะของผู้ไม่รู้ทั่วถึง แต่บัดนี้ พวกข้าพเจ้าจักรู้พวกอัญญเดียรถีย์
ปริพาชกผู้ไม่รู้ตัวถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง จักคบหาพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ผู้ไม่รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้ไม่รู้เหตุผลพึงคบหา จักตั้งพวกอัญญเดียรถีย์
ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะของผู้ไม่รู้ทั่วถึง พวกข้าพเจ้าจักรู้ภิกษุทั้งหลาย
ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง จักคบหาภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคล
ผู้รู้เหตุผลพึงคบหา จักเทิดทูนภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะของผู้รู้ทั่วถึง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยังความรักสมณะในหมู่สมณะ ได้
ยังความเลื่อมใสสมณะในหมู่สมณะ ได้ยังความเคารพสมณะในหมู่สมณะ ให้
เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้
มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนก-
ปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น
ไป ดังนี้แล.
จบโปตลิยสูตรที่ ๔

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 20)

๔. อรรถกถาโปตลิยสูตร
โปตลิยสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว
อย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า องฺคุตฺตราเปสุ ความว่า ชนบทที่ชื่อว่า
อังคุตตราปะนั้น ก็คือแคว้นอังคะนั่นเอง แอ่งน้ำที่อยู่เหนือแม่น้ำมหี เรียก
กันว่า อังคุตตราปะก็มี เพราะอยู่ไม่ไกลแอ่งน้ำนั้น.
ถามว่า แอ่งน้ำนั้นอยู่ทิศเหนือแม่น้ำมหีไหน ?
ตอบว่า แม่น้ำมหีสายใหญ่ ในข้อนี้จะแถลงให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้.
เล่ากันว่า ชมพูทวีปนี้ มีเนื้อที่ประมาณ หมื่นโยชน์ ในหมื่นโยชน์
นั้น เนื้อที่ประมาณสี่พันโยชน์คลุมด้วยน้ำ นับได้ว่าเป็นทะเล มนุษย์อาศัย
อยู่ในเนื้อที่ประมาณสามพันโยชน์ ภูเขาหิมพานต์ก็ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ
สามพันโยชน์ สูงร้อยห้าโยชน์ ประดับด้วยยอด แปดหมื่นสี่พันยอดงดงาม
ด้วยแม่น้ำห้าร้อยสาย ไหลอยู่โดยรอบ มีสระใหญ่ตั้งอยู่ ๗ สระ คือ สระ-
อโนดาต สระกรรณมุณฑะ สระรถการะ สระฉัททันตะ สระกุณาละ สระ
หงสปปาตะ สระมันทากินี สระสีหปปาตะะ ยาว กว้างและลึกห้าสิบโยชน์ กลม
สองร้อยห้าสิบโยชน์ ในสระทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาต ล้อมด้วยภูเขา ๕ ลูก
คือ สุทัศนกูฏ จิตรกูฎ กาฬกูฎ คันธมาทนกูฏ ไกรลาสกูฏ ในภูเขา ๕ ลูก
นั้น สุทัศนกูฏ เป็นภูเขาทอง สูงสองร้อยโยชน์ ข้างในโค้ง สัณฐานเหมือน
ปากกา ตั้งปิดสระนั้นนั่นแล. จิตรกูฏเป็นภูเขารัตนะทั้งหมด กาพกูฏเป็นภูเขา
แร่พลวง คันธมาทนกูฎ เป็นยอดเขาที่มีพื้นราบเรียบ หนาแน่นไปด้วยคันธ-
ชาติทั้งสิบ คือ ไม้รากหอม ไม้แก่นหอม กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ด

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 20)

หอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ดาดาษด้วย
โอสถนานาประการ วันอุโบสถข้างแรมจะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ. ไกรลาสกูฎ
เป็นภูเขาเงิน ภูเขาทั้งหมดมีส่วนสูง และสัณฐานเสมอกับสุทัศนกูฏ ตั้งปิดสระ
นั้นนั่นแล ภูเขาทั้งหมดนั้น ยังอยู่ได้ด้วยอานุภาพเทวดาและนาค แม่น้ำทั้ง
หลาย ย่อมไหลไปที่ภูเขาเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้นก็ไหลไปสู่สระอโนดาตแห่ง
เดียว. ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรไปทางใต้บ้าง ทางเหนือบ้าง. ส่องแสง
ไปที่สระนั้นทางหว่างภูเขาไม่โคจรไปตรงๆ ด้วยเหตุนั้นนั่นแล สระนั้นจึงเกิด
ชื่อว่า อโนดาต ในสระอโนดาตนั้น ธรรมชาติจัดไว้อย่างดี มีแผ่นมโนศิลา
และหรดาล ปราศจากเต่าปลา มีน้ำใสแจ๋วดังแก้วผลึก มีท่าลงสนาน ซึ่งเป็นที่
ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตขีณาสพ และเหล่าฤษีผู้มีฤทธิ์
ลงสรงสนาน ทั้งเหล่าเทวดา และยักษ์มาเล่นน้ำกัน ที่ข้างของสระอโนดาต
นั้นมีปากทางสี่ทาง คือ ปากทางราชสีห์ ปากทางช้าง ปากทางม้า ปากทาง
โคอุสภะ ซึ่งเป็นทางไหลของแม่น้ำสี่สาย ฝูงราชสีห์มีมาก อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
ทีไหลออกจากปากทางราชสีห์ มีโขลงช้าง ฝูงม้า ฝูงโคอยู่มาก ทางริมฝั่ง
แม่น้ำที่ไหลออกจากปากทางช้างเป็นต้น แม่น้ำที่ไหลออกไปทางทิศตะวันออก
เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย ไหลผ่านถิ่น
อมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันออก ลงสู่มหาสมุทร ส่วนแม่น้ำที่
ไหลออกทางทิศใต้ เลี้ยวขวาสระอโนดาตนั้นสามเลี้ยว ไหลตรงไปทิศใต้หกสิบ
โยชน์ ทางหลังแผ่นหินนั่นแล เจาะภูเขาทะลุออก มีกระแสน้ำประมาณ
สามสิบคาวุตล้อมไว้ ผ่านทางอากาศหกสิบโยชน์ ไปตกลงบนแผ่นหินชื่อ
ติยัคคฬะ แผ่นหินก็แตกด้วยความแรงของกระแสน้ำ ณ ที่แผ่นหินชื่อติยัคคฬะ
นั้น ก็เกิดสระโบกขรณีชื่อ ติยัคคฬา ประมาณห้าสิบโยชน์ กระแสน้ำพังที่
ฝั่งสระโบกขรณีทะลุหินไปหกสิบโยชน์ ต่อนั้น ก็พังแผ่นดินทึบไปหกสิบโยชน์

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 20)

ทางอุโมงค์ กระแทกติรัจฉานบรรพตชื่อ วิชฌะ ไปเป็นกระแสน้ำห้าสาย เช่น
เดียวกับนิ้วมือห้านิ้ว กระแสน้ำนั้นในที่ ๆ เลี้ยวขวาสระอโนดาต ไปสามเลี้ยว
เรียกกันว่า อาวัฏฏคงคา ในที่ที่ไหลตรงไปหกสิบโยชน์ ทางหลังหิน เรียก
กันว่า กรรณคงคา ในที่ ๆ ไหลไปหกสิบโยชน์ทางอากาศ เรียกกันว่า
อากาศคงคา ที่ตั้งอยู่ในอากาศหกสิบโยชน์ที่หลังหินชื่อติยัคคฬะ เรียกกันว่า
ติยัคคฬโบกขรณี ในที่ ๆ พังฝั่งสระทะลุหินเข้าไปหกสิบโยชน์ เรียกกันว่า
พหลคงคา ในที่ ๆ ไหลไปหกสิบโยชน์ทางอุโมงค์ เรียกกันว่า อุมมังค-
คงคา ส่วนในที่ ๆ กระแทกติรัจฉานบรรพต ชื่อวิชฌะ แยกเป็นกระแสน้ำ
ห้าสายก็กลายเป็นแม่น้ำทั้งห้า คือ คงคา ยุมนา อจิรวดี สรภู มหี. มหานที
๕ สายเหล่านี้ย่อมเกิดมาแต่หิมวันตบรรพต ด้วยประการฉะนี้. ในมหานที ๕
สายนั้น มหานทีสายที่ ๕ ชื่อมหี ท่านหมายเอาว่า มหีมหานที ในที่นี้
แอ่งน้ำใดอยู่ทางทิศเหนือมหานทีชื่อ มหี นั้น ชนบทนั้นพึงทราบว่า ชื่อ
อังคุตตราปะ เพราะอยู่ไม่ไกลแอ่งน้ำนั้น. ในชนบทชื่อ อังคุตตราปะนั้น.
คำว่า อาปณํ นาม ความว่า ได้ยินว่า ในนิคมนั้นมีตลาดที่สำคัญ ๆ
แยกได้ถึงสองหมื่นตลาด แม้เพราะเหตุที่นิคมนั้นมีตลาดหนาแน่น จึงถือ
ได้ว่าเป็น อาปณะ (ตลาด) ส่วนภูมิภาคที่มีเงาทึบน่ารื่นรมย์ ริมฝั่ง
แม่น้ำไม่ไกลนิคมนั้น ชื่อว่า แนวป่ามหาวัน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ
แนวป่ามหาวันนั้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
กำหนดสถานที่อยู่ ณ แนวป่ามหาวันนั้น คำว่า เยนญฺญตโร วนสณฺโฑ
เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่งภิกษุสงฆ์ไปยังสถานที่อยู่
เสด็จเข้าไปแต่พระองค์เดียว ท่านหมายถึง โปตลิยคฤหบดี จึงกล่าวว่า โปตลิ-
โยปิ โข คหปติ คฤหบดีชื่อมีอย่างนี้ว่า โปตลิยะ. บทว่า สมฺปนฺนนิวาส-

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 92 (เล่ม 20)

นปารุปโน แปลว่า มีผ้านุ่งผ้าห่ม บริบูรณ์ อธิบายว่า นุ่งผ้าชายยาวผืน
หนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง. บทว่า ฉตฺตูปาหนานิ ได้แก่ กั้นร่ม สวมรองเท้า.
บทว่า อาสนานิ ได้แก่ อาสนะ มีตั่งทำไว้เป็นบัลลังก์และตั่งทำด้วยฟาง
เป็นต้น. แท้จริง โดยที่สุดแม้กิ่งไม้หัก ๆ ก็เรียกว่า อาสนะ ได้ทั้งนั้น. บทว่า
คหปติวาเทน แปลว่า ด้วยคำนี้ว่า คฤหบดี. บทว่า สมุทาจรติ แปลว่า
เรียก. คำว่า ภควนฺตํ เอตทโวจ ความว่า โปตลิยคฤหบดี ไม่อาจรับ
คำว่า คฤหบดี ครั้งที่สามได้ จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตยิทํ โภ โคตม
ดังนี้เป็นต้น . ในคำเหล่านั้น คำว่า นจฺฉนนํ แปลว่า ไม่เหมาะ. คำว่า
นปฺปฏิรูปํ แปลว่า ไม่ควร. คำว่า อาการา เป็นต้นทั้งหมด เป็นไวพจน์
ของเหตุ. แท้จริง การนุ่งผ้าชายยาว การไว้ผม ไว้หนวด ไว้เล็บ ชื่อว่า
อาการ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เพศคฤหัสถ์ทั้งหมดนั้นแลกระทำภาวะคฤหัสถ์
ของโปตลิยคฤหบดีให้ปรากฏ อาการเหล่านั้น ท่านเรียกว่า เพศ เพราะตั้ง
อยู่โดยทรวดทรงของคฤหัสถ์ เรียกว่า นิมิต เพราะเป็นเครื่องหมายบอกให้
เข้าใจถึงภาวะของคฤหัสถ์. ด้วยคำว่า ยถาตํ คหปติสฺส พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงแสดงว่า อาการ เพศ และเครื่องหมาย พึงมีแก่คฤหบดี ฉันใด
อาการ เพศ และเครื่องหมายเหล่านั้นก็มีแก่ท่านฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น เราจึง
เรียกอย่างนี้. ครั้งนั้น โปตลิยคฤหบดี ไม่ยอมรับคำว่า คฤหบดี ด้วยเหตุ
อันใด เมื่อจะปร ะกาศเหตุอันนั้น จึงทูลว่า ตถา หิ ปน เม ดังนี้เป็นต้น.
คำว่า นิยฺยาตํ แปลว่า ทรัพย์มรดกที่ได้รับมอบ. คำว่า อโนวาที ความ
ว่า คนผู้กล่าวสอนโดยนัยเป็นต้นว่า พ่อเอย พวกเจ้าจงไถ จงหว่าน จง
ประกอบด้วยการค้าขาย พวกเจ้าจักเป็นอยู่ หรือเลี้ยงลูกเมียได้อย่างไร ดังนี้
ชื่อว่า ผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่กระทำทั้งสองอย่างนั้น ด้วยเหตุนั้น โปตลิย-

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 93 (เล่ม 20)

คฤหบดีจึงแสดงว่า ในเรื่องนั้น ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้กล่าวสอน ไม่ใช่ผู้ว่ากล่าว.
ด้วยคำว่า ฆาสจฺฉาทนปรโม วิหรามิ โปตลิยคฤหบดี แสดงว่าข้าพเจ้า
กระทำงานเพียงเพื่ออาหาร และเพียงเพื่อเครื่องนุ่งห่ม เป็นอย่างยิ่ง เท่านั้นอยู่
ไม่ปรารถนานอกเหนือไปจากนี้ คำว่า คิทฺธิ โลโภ ปหาตพฺโพ ได้แก่ความ
โลภ อันเป็นตัวติดข้อง ควรละเสีย. คำว่า อนินฺทาโรโส ได้แก่การไม่
นินทาและไม่กระทบกระทั่ง. คำว่า นินฺทาโรโส ได้แก่ การนินทาและการ
กระทบกระทั่ง. การเรียกชื่อ การบัญญัติชื่อ คำพูด และเจตนาก็ดี ชื่อว่า
โวหารในบาลีนี้ว่า โวหารสมุจฺเฉทาย บรรดาโวหารเหล่านั้น โวหารนี้ว่า
ในหมู่มนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยการเรียกชื่อว่า ดูก่อนวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้
ผู้นั้นเป็นพ่อค้ามิใช่พราหมณ์. โวหารว่า การนับชื่อ การตั้งชื่อ การบัญญัติชื่อ
การเรียกชื่อ นี้ชื่อว่า บัญญัติโวหาร. โวหารว่า ย่อมพูด ย่อมไม่ปรามาส
โดยประการนั้น ๆ นี้ชื่อว่า วจนโวหาร. ในโวหารว่า อริยโวหาร ๘ อนริย-
โวหาร ๘ นี้ชื่อว่า เจตนาโวหาร. ในที่นี้ท่านหมายถึงเจตนาโวหารนี้. อีกอย่าง
หนึ่ง จำเดิมตั้งแต่เวลาบวช เจตนาว่าคฤหัสถ์ไม่มี เจตนาว่าสมณะมีอยู่ คำว่า
คฤหัสถ์ ไม่มี คำว่า สมณะ มีอยู่ บัญญัติว่า คฤหัสถ์ ไม่มี บัญญัติว่า
สมณะมีอยู่ การกล่าวเรียกว่า คฤหัสถ์ ไม่มี การกล่าวเรียกว่า สมณะ มีอยู่
เพราะฉะนั้น จึงได้โวหารแม้ทั้งหมด.
ในคำว่า เยสํ โข อหํ สํโยชนานํ เหตุ ปาณาติปาตี นี้ ปาณา-
ติบาตเท่านั้น ชื่อว่า สังโยชน์ จริงอยู่ ผู้ชื่อว่าทำปาณาติบาต ก็เพราะเหตุแห่ง
ปาณาติบาตเท่านั้น คือ เพราะมีปาณาติบาตเป็นปัจจัย แต่ที่ตรัสว่า เยสํ โข
อหํ เป็นต้น ก็เพราะปาณาติบาตมีมาก. คำว่า เตสาหํ สํโยชนานํ แปลว่า
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดขาดเครื่องผูกพัน คือปาณาติบาตเหล่านั้น. คำว่า

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 94 (เล่ม 20)

ปหานาย สมุจฺเฉทาย ปฏิปนฺโน ความว่า เราปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่
การละเพื่อประโยชน์แก่การตัดขาด ด้วยศีลสังวรทางกาย กล่าวคือ ไม่ทำ
ปาณาติบาตนี้. คำว่า อตฺตาปิ มํ อุปวเทยฺย ความว่า แม้ตนเอง ก็พึงติ
เราอย่างนี้ว่า เราบวชในศาสนาของผู้ไม่ปลงชีวิตสัตว์แม้แต่มดดำมดแดง ยัง
ไม่อาจงดเว้น แม้เพียงจากปาณาติบาตได้ เราบวชทำไม. คำว่า อนุวิจฺจาปิ
วิญฺญู ครเหบฺยุํ ความว่า วิญญูชน คือบัณฑิต แม้เหล่าอื่น ใคร่ครวญ
คือพินิจพิจารณาแล้วก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า เขาบวชในศาสนาเห็นปานนี้แล้ว
ยังไม่งดเว้นแม้เพียงปาณาติบาต เขาบวชทำไมกัน.
คำว่า เอตเทว โข ปน สํโยชนํ เอตํ นีวรณํ นี้ แม้จะไม่นับ
เนื่องเข้าในสังโยชน์ ๑๐ นิวรณ์ ๕ แต่ก็ตรัสด้วยอำนาจเทศนาว่า เป็นเครื่อง
ปิดกั้น ๘ อย่าง เครื่องปิดกั้น ๘ อย่างนั้น ตรัสเรียกว่า สังโยชน์บ้าง นีวรณ์
บ้าง ก็เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องผูกไว้ และเพราะอรรถว่า ปกปิดไว้ใน
วัฏฏะอย่างนี้. คำว่า อาสวา คือ อวิชชาสวะ อย่างเดียวย่อมเกิดเพราะ
ปาณาติบาตเป็นเหตุ.
คำว่า วิฆาตปริฬาหา แปลว่า ความคับแค้น และความเร่าร้อน.
ในคำนั้น ทรงถือเอาทุกข์เพราะกิเลส และทุกข์ที่เป็นวิบาก ด้วยศัพท์ว่า
วิฆาต. ทรงถือเอาความเร่าร้อนที่เป็นวิบาก ด้วยศัพท์ว่า ปริฬาห. บัณฑิต
พึงทราบความในที่ทุกแห่งโดยอุบายอย่างนี้. แต่ความแผกกัน มีดังนี้ พึงประ-
กอบความในวาระทั้งหมดอย่างนี้ว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่การละ เพื่อประ-
โยชน์แก่การตัดขาด ด้วยศีลสังวรทางกายกล่าวคือ อทินนาทาน (ไม่ลักทรัพย์)
ด้วยศีลสังวรทางวาจา กล่าวคือสัจวาจา (พูดคำจริง) ด้วยศีลสังวรทางวาจา
กล่าวาคือปิสุณาวาจา (ไม่พูดส่อเสียด) ด้วยศีลสังวรทางใจ กล่าวคืออคิทธโลภะ

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 95 (เล่ม 20)

(ไม่หมกมุ่นและละโมบ) ด้วยศีลสังวรทางกายและทางวาจา กล่าวคือ อนินทา-
โรสะ (ไม่นินทาและไม่กระทบกระทั่ง) ด้วยศีลสังวรทางใจ กล่าวคือ ความ
ไม่โกรธและคับแค้นใจด้วยศีลสังวรด้วยใจ กล่าวคือ ความไม่ดูหมิ่น
ส่วนในบทเหล่านี้ว่า อตฺตาปิ มํ อุปวเทยฺย อนุวิจฺจาปิ วิญฺญู
ครเหยฺยุํ พึงประกอบความทุกวาระ อย่างนี้ว่า แม้ตนเองก็พึงติเตียนเราอย่าง
นี้ว่า เราบวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ แม้แต่
เส้นหญ้า ยังไม่อาจงดเว้นแม่เพียงอทินนาทานได้ เราบวชทำไม. วิญญูชน
แม้ใคร่ครวญแล้ว ก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า คนที่บวชในศาสนาเห็นปานนี้แล้ว ยัง
ไม่อาจงดเว้นแม้เพียงแต่อทินนาทานได้ คนนี้บวชทำไม แม้ตนเองก็พึงติเตียน
ตนอย่างนี้ว่า เราบวชในศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำมุสาวาท แม้ด้วยมุ่งหวังให้
หัวเราะ หรือหมายจะเล่น บวชในศาสนาที่สอนไม่ให้ทำการพูดส่อเสียดโดย
อาการทั้งปวง บวชในศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำความโลภหรือความติดข้องแม้
มีประมาณน้อย บวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้กระการนินทาและกระทบ
กระทั่งผู้อื่น ในเมื่อแม้เขาเอาเลื่อยครูดตัว บวชในพระศาสนาที่สอนไม่ให้กระทำ
ความโกรธและความคับแค้น แม้เมื่อตอและหนามตำเอาเป็นต้น บวชในศาสนา
ที่สอนไม่ให้ถือตัว แม้เพียงสำคัญผิด ก็ยังไม่อาจละแม้ความสำคัญผิดได้ เราบวช
ทำไม วิญญูชน แม่ใคร่ครวญก็พึงติเตียนอย่างนี้ว่า คนนี้บวชในพระศาสนา
เห็นปานนี้แล้ว ยังไม่อาจละ (มุสาวาท ปิสุณาวาจา คิทธิโลภะ นินทาโรสะ
โกธะ และอุปายาส) ความสำคัญผิดได้ คนนี้บวชทำไม ดังนี้.
ส่วนบทว่า อาสวา นี้ พึงทราบความเกิดแห่งอาสวะอย่างนี้ คือ
อาสวะ ๓ คือ อาสวะคือกาม อาสวะคือทิฏฐิ อาสวะคืออวิชชา ย่อมเกิด
เพราะอทินนาทานเป็นเหตุ เกิดเพราะมุสาวาทเป็นเหตุ และเพราะปิสุณาวาจา

95