No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 96 (เล่ม 20)

เป็นเหตุ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน. ทิฏฐาสวะ และอวิชชาสวะ เกิดเพราะ
คิทธิโลภะเป็นเหตุ อวิชชาอย่างเดียวเกิดเพราะนินทาโรสะเป็นเหตุ เกิดเพราะ
โกธะและอุปายาสเป็นเหตุ ก็เหมือนอย่างนั้น. อาสวะ ๒ คือ ภวาสวะ และ
อวิชชาสวะ เกิดเพราะอติมานะเป็นเหตุ. แต่เพื่อไม่ให้ฉงนไม่วาระแม้ทั้ง ๘
นี้ วินิจฉัยสังเขปมีดังนี้ . ควรกล่าวว่า เราไม่อาจงดเว้นในวาระ ๔ นี้ก่อน
ควรกล่าวว่า เราไม่อาจละ ในวาระเบื้องปลาย. อวิชชาสวะอย่างเดียวเท่านั้น
มีในปาณาติบาต นินทาโรสะ โกธะและอุปายาสะ. กามาสวะ ทิฏอาสวะ
อวิชชาสวะ มีในอทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา. ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะมี
โนคิทธิโลภะ. ภวาสวะ อวิชชาสวะ มีในอติมานะ. อปาณาติบาต อนทินนาทาน
เป็นศีลทางกาย. อมุสาวาท อปิสุณาวาจา เป็นศีลทางวาจา. ที่เหลือ ๓ เว้น
อนินทาโรสะ เป็นศีลทางใจ. แต่บุคคลย่อมขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยกายบ้าง
ขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยวาจาบ้าง เพราะฉะนั้น อนินทาโรสะ จึงมีฐานะ ๒
คือ เป็นศีลทางกายบ้าง เป็นศีลทางวาจาบ้าง.
ถามว่า ศีลอะไร ท่านจึงกล่าวไว้ด้วยประมาณเพียงเท่านี้.
ตอบว่า ปาฏิโมกขสังวรศีล. ก็การตัดขาดการตรัสถึงคฤหัสถ์ด้วย
อำนาจการพิจารณาและการละ พึงทราบว่า ตรัสไว้ สำหรับภิกษุผู้อยู่ใน
ปาฏิโมกขสังวรศีล.
เทศนาโดยพิศดาร มีดังต่อไปนี้. บทว่า ตเมนํ ทกฺโข พึงทราบ
สัมพันธ์กับบทนี้ว่า อุปจฺจมฺเกยฺย๑ ท่านอธิบายว่า คนฆ่าโค หรือลูกมือ
คนฆ่าโค พึงโยนกระดูกนั้นไปยังสุนัข อธิบายว่า พึงโยนไปใกล้ ๆ สุนัข
นั้น. บทว่า อฏฺฐิกงฺลํ ร่างกระดูก คือกระดูกอก กระดูกสันหลัง หรือ
๑. บาล สูตรว่า อุปจฺฉูเภยฺย.

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 97 (เล่ม 20)

กระดูกหัว แท้จริงร่างกระดูกนั้น เรียกกันว่าร่างกระดูกเพราะไม่มีเนื้อ. คำว่า
สุนิกนฺตํ นิกนฺตํ คือ ร่างกระดูกที่เฉือนขูดเนื้อออกหมดแล้ว. อธิบายว่า
เนื้อสดอันใด มีอยู่ที่กระดูกนั้น ก็ขูดเนื้อนั้นออกหมด มีแต่เพียงกระดูกเท่า
นั้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปราศจากเนื้อ แต่ร่างกระดูก
นั้น ยังเปื้อนเลือดอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า โลหิตมกฺขิตํ ยังเปื้อนเลือด.
คำว่า พหุทุกฺขา พหุปายาสา ความว่า กามทั้งหลายชื่อว่าทุกข์มาก ก็
เพราะมากด้วยทุกข์ทั้งปัจจุบันทั้งภายหน้า. ชื่อว่า มีความคับแค้นมาก ก็เพราะ
มากด้วยความเศร้าหมองด้วยความคับแค้น. คำว่า ยายํ อุเปกฺขา นานตฺตา
นานตฺตสิตา ความว่า อุเบกขาในกามคุณ ๕ นี้ อันใดเรียกว่ามีสภาวะต่าง ๆ
กัน ก็ด้วยอำนาจอารมณ์คือกามคุณ ๕ และเรียกว่า นานตฺตสิตา ก็เพราะ
อาศัยอารมณ์เหล่านั้นนั่นแล. ภิกษุเว้นขาดอุเบกขานั้นเสีย. คำว่า เอกตฺตา
เอกตฺตสิตา ได้แก่ อุเบกขาในจตุตถฌาน. แท้จริง อุเบกขาในจตุตถฌาน
นั้นชื่อว่า มีสภาวะอันเดียว เพราะเกิดขึ้นในอารมณ์อันเดียวทั้งวัน. ชื่อว่า
เอกตฺตสิตา เพราะอาศัยอารมณ์อันเดียวนั้นนั่นแล. คำว่า ยสฺส สพฺพโส
โลกามิสูปาทานา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ ความว่า อามิส คือกามคุณ ๕
กล่าวคือ โลกามิสอิงอาศัยอุเบกขาอันใด ย่อมดับไปหมดสิ้นไม่หลงเหลือใน
อุเบกขาจตุตถฌานอันใด. ก็คำว่า ปญฺจกามคุณามิสา ได้แก่ความ
กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ซึ่งมีกามคุณเป็นอารมณ์. ก็กามคุณ ๕ นั้น
นั่นแลท่านเรียกว่า อุปาทานก็มี เพราะอรรถว่า ยึดไว้. คำว่า ตเมวูเปกฺขํ
ภาเวติ ความว่า ย่อมเจริญในอุเบกขาจตุตถฌาน อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปาทาน
ที่อาศัยโลกามิสนั้นนั่นแล. คำว่า อุยฺเยยฺย๑ แปลว่า พึงโดดขึ้นไป. คำว่า
๑. บาลีว่า อุฑฺฑเยยฺย.

97
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 98 (เล่ม 20)

อนุปติตฺวา แปลว่า ติดตาม. คำว่า วิตจฺเฉยฺยุํ คือ พึงจิกด้วยจะงอยปาก.
คำว่า วิภเชยฺยุํ คือ ยื้อชิ้นเนื้อด้วยเล็บให้ตกไป. คำว่า ยานํ โอโรเปยฺย๑ คือ
บรรทุกยานที่เหมาะแก่บุรุษ. คำว่า ปวรมณิกุณฺฑลํ คือแก้วมณีมีค่าสูง และ
ตุ้มหูมีอย่างต่าง ๆ. คำว่า สานิ หรนฺติ คือ ถือเอาสิ่งของ ๆ ตน. คำว่า
สมฺปนฺนผลํ คือ มีผลอร่อย. คำว่า อุปฺปนฺนผลํ คือ ติดผล มีผลดก.
คำว่า อนุตฺตรา คือ สูงสุด มีปภัสสร ปราศจากอุปกิเลส คำว่า อารกา
อหํ ภนฺเต ความว่า ข้าพเจ้ายังห่างไกลยิ่งนักเหมือนแผ่นดินกับแผ่นฟ้า และ
เหมือนทะเลกับฝั่งนี้ฝั่งโน้น . คำว่า อนาชานีเย คือ ผู้ไม่รู้เหตุแห่งการตัด
ขาดโวหารของคฤหัสถ์. คำว่า อาชานียโภชนํ คือ โภชนะที่เหล่าผู้รู้เหตุ
พึงบริโภค. คำว่า อนาชานียโภชนํ คือ โภชนะที่เหล่าผู้ไม่รู้เหตุพึงบริโภค.
คำนอกนั้นในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาโปตลิยสูตรที่ ๔
๑. ม. ยานํ วา โปริเสย.ย.

98
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 99 (เล่ม 20)

๕. ชีวกสูตร
ว่าด้วยหมอชีวกโกมารภัจจ์
[๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพวันของทมอชีวก
โกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม
พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ
ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่า
สัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่
เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำอันไม่เป็นจริง
ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรมจะไม่
ถึงข้อติเตียนละหรือ.
เนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค ๓ อย่าง
[๕๗] พ. ดูก่อนชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่า
สัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อ
สัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นจะชื่อว่ากล่าวตรงกับที่
เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่ด้วยคำอันไม่เป็นจริง ดูก่อนชีวก เรากล่าว

99
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 100 (เล่ม 20)

เนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น ๑
เนื้อที่ตนได้ยิน ๑ เนื้อที่ตนรังเกียจ ๑ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็น
ของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล. ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็น
ของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้
ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค
ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.
การแผ่เมตตา
[๕๘] ดูก่อนชีวก ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใด
แห่งหนึ่งอยู่ เธอมีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่
๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไป
ตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตนทั่วไปในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบ
ด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี
ความเบียดเบียนอยู่ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เขาไปหาเธอแล้วนิมนต์ด้วย
ภัต เพื่อให้ฉันในวันรุ่งขึ้น ดูก่อนชีวก เมื่อภิกษุหวังอยู่ ก็รับนิมนต์ พอ
ล่วงราตรีนั้นไป เวลาเช้า ภิกษุนั้นนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์
ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี แล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ คฤหบดี
หรือบุตรของคฤหบดีนั้น อังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความดำริว่า
ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ อังคาสเราอยู่ด้วยบิณฑบาตอันประณีต
ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เธอ แม้ความดำริว่า โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้
พึงอังคาสเราด้วยบิณฑบาตอันประณีตเช่นนี้ แม้ต่อไป ดังนี้ ก็ไม่มีแก่เธอ
เธอไม่กำหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนั้น มีปรกติเห็นโทษ มีปัญญา

100
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 101 (เล่ม 20)

เครื่องถอนตน บริโภคอยู่ ดูก่อนชีวก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนว่า
ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นย่อมติดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือ
เพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย บ้างหรือ.
ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ดูก่อนชีวก สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ.
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้
สดับมาว่า พรหมมีปรกติอยู่ด้วยเมตตา คำนั้นเป็นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับ
มา คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นองค์พยานปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงมีปรกติอยู่ด้วยเมตตา.
ดูก่อนชีวก บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด
ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอด
ด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา ดูก่อนชีวก ถ้าแลท่าน
กล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นนี้ เราอนุญาตการกล่าวเช่น
นั้นแก่ท่าน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายเอาการละราคะ
โทสะและโมหะ เป็นต้นนี้.
การแผ่กรุณา มุทิตา อุเบกขา
[๕๙] ดูก่อนชีวก ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใด
แห่งหนึ่งอยู่ เธอมีใจประกอบด้วยกรุณา. . .มีใจประกอบด้วยมุทิตา. . . มีใจ
ประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็
เหมือนกัน ตามวินัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก

101
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 102 (เล่ม 20)

ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตนทั่วไปในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยอุเบกขา
อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียด-
เบียน คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีเข้าไปหาเธอ แล้วนิมนต์ด้วยภัต เพื่อให้ฉันใน
วันรุ่งขึ้น ดูก่อนชีวก เมื่อภิกษุหวังอยู่ ย่อมรับนิมนต์. พอล่วงราตรีนั้นไป
เวลาเช้า ภิกษุนั้นนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของคฤหบดีหรือ
บุตรคฤหบดี แล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้.
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น อังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอันประณีต
ความดำริว่า ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ อังคาสเราอยู่ด้วยบิณฑบาต
อันประณีตดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เธอ แม้ความดำริว่า โอหนอ คฤหบดีหรือบุตร
คฤหบดีผู้นี้พึงอังคาสเราด้วยบิณฑบาตอันประณีตนี้ แม้ต่อไป ดังนี้ ก็ไม่มี
แก่เธอ เธอไม่กำหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนั้น มีปรกติเห็นโทษ มี
ปัญญาเครื่องถอนตน บริโภคอยู่ ดูก่อนชีวก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉนว่า ในสมัยนั้นภิกษุย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือ
เพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย บ้างหรือ.
ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ดูก่อนชีวก สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ.
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้
สดับมาว่า พรหมมีปรกติอยู่ด้วยอุเบกขา คำนั้นเป็นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับ
มา คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นองค์พยานปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงมีปรกติอยู่ด้วยอุเบกขา.
ดูก่อนชีวก บุคคลพึงมีความเบียดเบียน มีความไม่ยินดี มีความกระ
ทบกระทั่งเพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละ

102
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 103 (เล่ม 20)

แล้วมีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไป
เป็นธรรมดา ดูก่อนชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ
เป็นต้นนี้ เราอนุญาตการกล่าวเช่นนั้นแก่ท่าน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ
โมหะ เป็นต้นนี้.
ฆ่าสัตว์ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ ๕ ประการ
[๖๐] ดูก่อนชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้
นั้นย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ผู้นั้นกล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่
บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๑ นี้. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้
เสวยทุกข์โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประ
การที่ ๒ นี้. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสบ
บาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๓ นี้. สัตว์นั้นเมื่อเขากำลังฆ่า
ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ
ประการที่ ๔ นี้. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็น
อกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๕
นี้. ดูก่อนชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบ
บาปมิใช่บุญเป็นอันมากด้วยเหตุ ๕ ประการนี้.
[๖๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว หมอชีวกโกมารภัจจ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายย่อมฉันอาหารอัน

103
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 104 (เล่ม 20)

ไม่มีโทษหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีบในที่มืด ด้วยคิด
ว่า ผู้มีจักษุ จักเห็นรูปฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนก-
ปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น
ไป ดังนี้แล.
จบชีวกสูตรที่ ๕
๕. อรรถกถาชีวกสูตร
ชีวกสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว
อย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น พระบาลีนี้ว่า ตสฺส ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส
อมฺพวเน ที่ชื่อว่า ชีวก เพราะยังเป็นอยู่ (มีชีวิตอยู่). ที่ชื่อว่า โกมารภัจจ์
เพราะอันพระราชกุมารชุบเลี้ยงไว้ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า พระกุมาร (หมายถึง
อภัยราชกุมาร) ตรัสถามว่า นั่นอะไร พนาย ฝูงกาจึงเกลื่อนกลาด.
พวกราชบุรุษทูลว่า ทารก พระเจ้าค่ะ. ตรัสถามว่า ยังเป็นอยู่หรือ พนาย.
ทูลตอบว่า ยังเป็นอยู่พระเจ้าค่ะ. จึงตรัสสั่งให้นำทารกเข้าวัง มอบให้แม่นม
เลี้ยงดู. คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อทารกนั้นว่า ชีวก เพราะยังเป็นอยู่และตั้งสร้อย

104
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 105 (เล่ม 20)

ชื่อว่า โกมารภัจจ์ เพราะพระราชกุมารให้ชุบเลี้ยงไว้ ในพระสูตรนี้มีความสัง-
เขปดังกล่าวมานี้ ส่วนเรื่องโดยพิสดารมาในชีวกวัตถุขันธกวินัย แม้คำวินิจฉัย
เรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์นั้นท่านก็กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถาพระวินัย ชื่อสมันต-
ปาสาทิกา. หรือชีวกโกมารภัจจ์ผู้นี้ ถวายพระโอสถระบายอ่อนๆ ระบายพระ-
กายที่มากไปด้วยโทษของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล เวลา
จบอนุโมทนา ถวายผ้าคู่ที่ได้มาจากแคว้นสีพี. ดำริว่า เราต้องไปเฝ้าอุปัฏฐาก
พระพุทธองค์ วันละ ๒- ๓ ครั้ง พระเวฬุวันนี้ ก็อยู่ใกล้เกินไป สวนมะม่วง
ของเรายังใกล้กว่า อย่าเลย เราจะสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ในสวน
มะม่วงของเรานี้แหละ ดังนั้น จึงให้สร้างที่เร้น กุฎี และมณฑปเป็นต้น สำ-
หรับพักกลางคืน และพักกลางวัน สร้างพระคันธกุฎี ที่เหมาะแก่ที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ในสวนอัมพวันนั้น สร้างกำแพงสีใบไม้แดงสูง ๑๘ ศอก ล้อมสวน
อัมพวันไว้ อังคาสเลี้ยงภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยภัตตาหาร
พร้อมจีวรแล้วหลั่งทักษิโณทก มอบถวายวิหาร ท่านหมายเอาสวนอัมพวันนั้น
จึงกล่าวว่า ชีวกสฺส โกมารภจฺจสฺส อมฺพวเน ดังนี้.
คำว่า อารภนฺติ แปลว่า ฆ่า. คำว่า อุทฺทิสฺส กตํ แปลว่า กระทำ
เจาะจง. คำว่า ปฏิจฺจ กมฺมํ แปลว่า กระทำเจาะจงตน. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า
ปฏิจฺจ กมฺมํ นี้เป็นชื่อของนิมิตตกรรม. กรรมที่อาศัยตนเป็นเหตุกระทำมี
อยู่ในเนื้อนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงอธิบายว่า กรรมมีอยู่เพราะอาศัยเนื้อ. ลัทธิ
(ความเชื่อถือ) ของคนเหล่านั้นมีอยู่ว่า ผู้ใดบริโภคเนื้อเช่นนั้น (อุทิศมังสะ)
ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นด้วย ปาณฆาตกรรม จึงมีแม้แก่คนนั้น
เหมือนกับฆ่าเอง. คำว่า ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ ความว่า
ย่อมกล่าวเหตุตามเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคำนั้น การบริโภคเนื้อ

105