เป็นเหตุ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน. ทิฏฐาสวะ และอวิชชาสวะ เกิดเพราะ
คิทธิโลภะเป็นเหตุ อวิชชาอย่างเดียวเกิดเพราะนินทาโรสะเป็นเหตุ เกิดเพราะ
โกธะและอุปายาสเป็นเหตุ ก็เหมือนอย่างนั้น. อาสวะ ๒ คือ ภวาสวะ และ
อวิชชาสวะ เกิดเพราะอติมานะเป็นเหตุ. แต่เพื่อไม่ให้ฉงนไม่วาระแม้ทั้ง ๘
นี้ วินิจฉัยสังเขปมีดังนี้ . ควรกล่าวว่า เราไม่อาจงดเว้นในวาระ ๔ นี้ก่อน
ควรกล่าวว่า เราไม่อาจละ ในวาระเบื้องปลาย. อวิชชาสวะอย่างเดียวเท่านั้น
มีในปาณาติบาต นินทาโรสะ โกธะและอุปายาสะ. กามาสวะ ทิฏอาสวะ
อวิชชาสวะ มีในอทินนาทาน มุสาวาท ปิสุณาวาจา. ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะมี
โนคิทธิโลภะ. ภวาสวะ อวิชชาสวะ มีในอติมานะ. อปาณาติบาต อนทินนาทาน
เป็นศีลทางกาย. อมุสาวาท อปิสุณาวาจา เป็นศีลทางวาจา. ที่เหลือ ๓ เว้น
อนินทาโรสะ เป็นศีลทางใจ. แต่บุคคลย่อมขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยกายบ้าง
ขึ้งเคียดขุ่นเคืองกันด้วยวาจาบ้าง เพราะฉะนั้น อนินทาโรสะ จึงมีฐานะ ๒
คือ เป็นศีลทางกายบ้าง เป็นศีลทางวาจาบ้าง.
ถามว่า ศีลอะไร ท่านจึงกล่าวไว้ด้วยประมาณเพียงเท่านี้.
ตอบว่า ปาฏิโมกขสังวรศีล. ก็การตัดขาดการตรัสถึงคฤหัสถ์ด้วย
อำนาจการพิจารณาและการละ พึงทราบว่า ตรัสไว้ สำหรับภิกษุผู้อยู่ใน
ปาฏิโมกขสังวรศีล.
เทศนาโดยพิศดาร มีดังต่อไปนี้. บทว่า ตเมนํ ทกฺโข พึงทราบ
สัมพันธ์กับบทนี้ว่า อุปจฺจมฺเกยฺย๑ ท่านอธิบายว่า คนฆ่าโค หรือลูกมือ
คนฆ่าโค พึงโยนกระดูกนั้นไปยังสุนัข อธิบายว่า พึงโยนไปใกล้ ๆ สุนัข
นั้น. บทว่า อฏฺฐิกงฺลํ ร่างกระดูก คือกระดูกอก กระดูกสันหลัง หรือ
๑. บาล สูตรว่า อุปจฺฉูเภยฺย.