No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 293 (เล่ม 18)

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ข้อนั้นไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นไฉน เวทนา. . .
สัญญา. . . สังขารทั้งหลาย. . . วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา.
ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือ
ประณีต อยู่ในที่ใกล้หรือในที่ใกล้ รูปทั้งปวง เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญา
อันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่
อัตตาของเรา เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง. . . สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง. . . สังขาร
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง. . . วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน
เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกล
หรือในที่ใกล้ วิญญาณทั้งปวง เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม
ความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของ
เรา.
[๒๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขารทั้งหลาย

293
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 294 (เล่ม 18)

ทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อม
หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติ
สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ผู้มีลิ่มคือ
อวิชชาอันยกขึ้นแล้วดังนี้บ้าง ว่าผู้มีเครื่องแวดล้อมคือกัมมาภิสังขารอันรื้อเสีย
แล้วดังนี้บ้าง ว่าผู้มีเสาระเนียดคือตัณหาอันถอนขึ้นแล้วดังนี้บ้าง ว่าผู้ไม่มี
สลักประตูคือสังโยชน์ดังนี้บ้าง ว่าอริยะผู้ประเสริฐ มีธงคือมานะอันตกแล้ว
มีภาระอันตกแล้ว ไม่มีมานะแล้วดังนี้บ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มี
ลิ่มคืออวิชชาอันยกขึ้นแล้วอย่างไรเล่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละอวิชชา
ที่มีรากขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ไม่มิแล้วเป็นธรรมดา ไม่บังเกิดขึ้น
ต่อไป ภิกษุเป็นผู้มีลิ่มคืออวิชชาอันยกขึ้นแล้วด้วยอาการอย่างนี้แล ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีเครื่องแวดล้อมคือกัมมาภิสังขารอันรื้อเสียแล้วอย่าง
ไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธะรรมวินัยนี้ ละสังขารเครื่องปรุง
แต่งชาติ อันให้เกิดในภพใหม่ ที่มีรากขาดแล้วเป็นดุจตาลยอดด้วน ไม่มีแล้ว
เป็นธรรมดาอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไป ภิกษุเป็นผู้มีเครื่องแวดล้อมคือกัมมาภิ-
สังขารอันรื้อเสียแล้วด้วยอาการอย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระ
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีเสาระเนียดคือตัณหาอันถอนขึ้นแล้วอย่างไรเล่า ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ละตัณหา ที่มีรากขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ไม่มีแล้ว
เป็นธรรมดาอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไป ภิกษุเป็นผู้มีเสาระเนียดคือตัณหาอันถอนขึ้น
แล้วด้วยอาการอย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไม่มีสลักประตูคือ
สังโยชน์อย่างไรเล่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ที่มี
รากขาดแล้วเป็นดุจตาลยอดด้วน ไม่มีแล้ว เป็นธรรมดาอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไป
ภิกษุเป็นผู้ไม่มีสลักประตูคือสังโยชน์ด้วยอาการอย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

294
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 295 (เล่ม 18)

ภิกษุเป็นอริยะผู้ประเสริฐมีธงคือมานะอันตกแล้ว มีภาระอันตกแล้ว ไม่มี
มานะแล้วอย่างไรเล่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละอัสมิมานะ ที่มีรากขาด
แล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ไม่มีแล้ว เป็นธรรมดาอันไม่บังเกิดขึ้นต่อไป
ภิกษุเป็นอริยะผู้ประเสริฐ มีธงคือมานะอันตกแล้ว มีภาระอันตกแล้ว ไม่มี
มานะแล้วด้วยอาการอย่างนี้แล.
[๒๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทั้งพระอินทร์ ทั้งพรหม
ทั้งปชาบดิ แสวงหาภิกษุผู้มีจิตอันหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อนไม่พบว่า
วิญญาณของตถาคตอาศัยแล้วซึ่งที่นี้. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรียกว่าตถาคต
[บุคคลเช่นนั้น] ในปัจจุบันว่า อันใคร ๆ ไม่พบคือไม่มี สมณพราหมณ์
พวกหนึ่งกล่าวตู่เราผู้กล่าวอย่างนี้แล ผู้บอกอย่างนี้ ด้วยมุสาวาทเปล่า ๆ
อันไม่มีจริง อันไม่เป็นจริงว่า พระสมณโคดมผู้ให้สัตว์พินาศ ย่อมบัญญัติ
ความขาดสูญ ความพินาศ ความไม่มีภพแห่งสัตว์ผู้มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราไม่ทำให้สัตว์พินาศด้วยเหตุใด และไม่บัญญัติความขาดสูญแห่งสัตว์
ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็ยังกล่าวตู่เราด้วยมุสาวาทเปล่า ๆ อันไม่มีจริง
อันไม่เป็นจริงว่า พระสมณโคดมเป็นผู้ให้สัตว์พินาศ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ
ความพินาศ ความไม่มีภพแห่งสัตว์ผู้มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อม
บัญญัติทุกข์ และความดับทุกข์ ทั้งในกาลก่อนและในกาลบัดนี้ ถ้าว่าบุคคล
เหล่าอื่นย่อมด่า บริภาส โกรธ เบียดเบียน กระทบกระเทียบตถาคต ในการ
ประกาศสัจจะ ๔ ประการนั้น ตถาคตก็ไม่มีความอาฆาต ไม่มีความโทมนัส
ไม่มีจิตยินร้าย ถ้าว่าชนเหล่าอื่นย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชาตถาคต
ในการประกาศสัจจะ ๔ ประการนั้น ตถาคตก็ไม่มีความยินดี ไม่มีความโสมนัส
ไม่มีใจเย่อหยิ่งในปัจจัยทั้งหลายมีสักการะเป็นต้นนั้น ถ้าว่าชนเหล่าอื่น ย่อม
สักการะ เคารพ นับถือ บูชาตถาคต ในการประกาศสัจจะ ๔ ประการนั้น

295
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 296 (เล่ม 18)

ตถาคตมีความดำริ ในปัจจัยทั้งหลายมีสักการะเป็นต้นนั้นอย่างนี้ว่า สักการะ
เห็นปานนี้ บุคคลกระทำแก่เราในขันธปัญจกที่เรากำหนดรู้แล้วแต่กาลก่อน.
[๒๘๗] เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าว่า ชนเล่าอื่นพึงด่า
บริภาส โกรธ เบียดเบียน กระทบกระเทียบท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่
พึงกระทำความอาฆาต ไม่พึงกระทำความโทมนัส ไม่พึงกระทำความไม่ชอบ
ใจ ในชนเหล่าอื่นนั้น เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าว่าชนเหล่าอื่น
พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่พึงกระทำ
ความยินดี ความโสมนัส ไม่พึงกระทำความเย่อหยิ่งแห่งใจในปัจจัยทั้งหลาย
มีสักการะเป็นต้นนั้น เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย แม้ถ้าว่าชนเหล่าอื่น
สักการะ นับถือ บูชาท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงดำริ ในปัจจัยทั้งหลายมี
สักการะเป็นต้นนั้นอย่างนี้ว่า สักการะเห็นปานนี้ บุคคลกระทำแก่เราทั้งหลาย
ในขันธปัญจกที่เราทั้งหลายกำหนดรู้แล้วในกาลก่อนๆ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุ
ทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้น
ท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์ สุขสิ้นกาลนาน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สิ่งอะไรเล่า ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์
สุขสิ้นกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย สัญญา
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย วิญญาณไม่ใช่-
ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นเสีย
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์
สุขสิ้นกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ชนพึงนำไป พึงเผาหรือ พึงกระทำหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ในพระ-

296
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 297 (เล่ม 18)

วิหารเชตวันนี้ ตามความปรารถนา ท่านทั้งหลายพึงดำริอย่างนี้บ้างหรือหนอว่า
ชนย่อมนำไป ย่อมเผา หรือย่อมกระทำเราทั้งหลาย ตามความปรารถนา.
ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่านั้นไม่ใช่อัตตา หรือบริขารที่เนื่องด้วย
อัตตาของข้าพระองค์ทั้งหลาย.
อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
จงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์ สุขสิ้น
กาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
จงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์
สุขสิ้นกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่
ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นเสีย
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละได้แล้ว จักอำนวยประโยชน์
สุขสิ้นกาลนาน.
[๒๘๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้
เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์
มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ
ปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสัญโญชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้น
แล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อจะบัญญัติต่อไป ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ
แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ ประการได้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับจาก
โลกนั้นเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้

297
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 298 (เล่ม 18)

เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓
ประการได้แล้วกับมีราคะโทสะและโมหะบางเบา ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็น
พระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ
แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น
ทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญา
เครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว
อย่างนี้เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดผู้เป็น
ธัมมานุสารี เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดมีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดี
เป็นเบื้องหน้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็น
ของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว บุคคลเหล่าใดมีเพียงความเชื่อ
เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้มีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น
มีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้แล.
จบอลคัททูปมสูตรที่ ๒

298
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 299 (เล่ม 18)

อรรถกถาอลคัททูปมสูตร
อลคัททูปมสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในอลคัททูปมสูตรนั้นต่อไปนี้
ชนทั้งหลายเหล่าใด เบียดเบียนแร้ง เหตุนั้นชนเหล่านั้น ชื่อว่าผู้
เบียดเบียนแร้ง บรรพบุรุษผู้เบียดเบียนแร้งของผู้นั้นมีอยู่ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่ามี
บรรพบุรุษผู้เบียดเบียนแร้ง. บุตรของสกุลผู้เคยฆ่าแร้งนั้น อธิบายว่า ผู้
ขวนขวายแห่งสกุลผู้ฆ่าแร้ง. ชื่อว่าอันตรายิกธรรม เพราะทำอันตรายต่อสวรรค์
และนิพพาน. อันตรายิกธรรมเหล่านั้นมี ๕ อย่าง คือ กรรม กิเลส วิบาก
อริยุปวาท และอาณาวีตกกมะ. ในอันตรายิกธรรมเหล่านั้น อนันตริยกรรม
๕ ชื่อว่า กัมมนตรายิกธรรม. ภิกษุณีทูสกกรรมก็เหมือนกัน. แต่ภิกษุณีทูสก-
กรรมนั่น กระทำอันตรายต่อพระนิพพานอย่างเดียว หากระทำอันตรายต่อ
สวรรค์ไม่. ธรรมคือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่า อันตรายิกธรรมคือกิเลส.
ปฏิสนธิธรรมของบัณเฑาะก์ สัตว์เดรัจฉานและอุภโตพยัญชนก ชื่อว่า อันตรา-
ยิกธรรม คือ วิบาก. ธรรม คือ การเข้าไปว่าร้ายพระอริยเจ้า ชื่อว่า อันตรา-
ยิกรรม คือ อุปวาทะ. แต่อุปวาทันตรายิกธรรมเหล่านั้น ย่อมกระทำ
อันตรายตลอดเวลาที่ยังไม่ให้พระอริยเจ้าทั้งหลายอดโทษ เบื้องหน้าแต่นั้น
ให้พระอริยเจ้าอดโทษแล้ว หากระทำอันตรายไม่. อาบัติ ๗ กองที่ภิกษุจงใจ
ล่วงละเมิดแล้ว ชื่อว่า อันตรายิกธรรมคือ อาณาวีติกกมะ. แม้อาณาวีติกก-
มันตรายิกธรรมเหล่านั้น ย่อมกระทำอันตรายตลอดเวลาที่ภิกษุต้องอาบัติแล้ว
ยังปฏิญญาตนว่าเป็นภิกษุอยู่ก็ดี ไม่อยู่ปริวาสกรรมก็ดี ไม่แสดงอาบัติก็ดี
เบื้องหน้าแต่นั้น หากระทำอันตรายไม่.

299
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 300 (เล่ม 18)

ในเรื่อง อันตรายยิกธรรมนั้น ภิกษุนี้ เป็นพหุสูต เป็นพระธรรม-
กถึก ย่อมรู้อันตรายิกธรรมที่เหลือ แต่เพราะคนไม่ฉลาดในพระวินัย จึงไม่รู้
อันตรายิกธรรม คือการล่วงละเมิดพระบัญญัติ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้อยู่ในที่
ลับจึงคิดอย่างนี้ว่า คฤหัสถ์เหล่านั้น บริโภคกามคุณ ๕ เป็นพระโสดาบันก็มี
พระสกทาคามีก็มี พระอนาคามีก็มี ฝ่ายพวกภิกษุพิจารณาเห็นรูปที่น่าพอใจที่
พึงรู้สึกด้วยจักษุ ถูกต้องโผฏฐัพพารมณ์ ที่พึงรู้สึกด้วยกาย ย่อมใช้สอย
เครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่มที่อ่อนนุ่ม ข้อนั้นทั้งหมด ควร เพราะเหตุไร
รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะของหญิงเท่านั้น ไม่ควร ฝ่ายรูปเป็นต้น
เหล่านี้จึงควร อริฏฐภิกษุเทียบเคียงรสกับรสอย่างนี้แล้ว รวมการบริโภคด้วย
อำนาจราคะที่มีฉันทะ กับการบริโภคด้วยอำนาจราคะที่ไม่มีฉันทะแล้วเกิดทิฏฐิ
ลามก เหมือนเทียบด้วยผ้าที่ละเอียดอย่างยิ่งกับปอหยาบ ประหนึ่งเทียบเขา
สิเนรุกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ขัดแย้งกับพระสัพพัญญุตญาณว่า ทำไมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงบัญญัติปฐมปาราชิกด้วยพระอุสาหะอย่างใหญ่ ประหนึ่งกั้นมหา-
สมุทร โทษในพระบัญญัตินั้นไม่มี คัดค้านพระเวสารัชชญาณ ใส่ตอและ
หนามเป็นต้น ลงในอริยมรรค ประหารอาณาจักรของพระชินเจ้าว่า โทษใน
เมถุนธรรมไม่มี. ด้วยเหตุนั้น อริฏฐภิกษุนั้นจึงกล่าวว่า ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ
เทสิตํ อาชานามิ เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้วอย่างนั้น
เป็นต้น. บทว่า เอวํ พฺยาโข เท่ากับ เอวํ วิยโข. ในคำว่า สมนุยุญฺชนติ
เป็นต้น ภิกษุทั้งหลายถามว่า ท่านมีลัทธิอะไร จึงกล่าวลัทธิ ชื่อว่า สอบ
ถาม. ยกทิฏฐิขึ้นชื่อว่ายึดถือทิฏฐิ. สอบถามเหตุว่า เพราะเหตุไร ท่านจึง
กล่าวอย่างนี้ ชื่อว่า สมนุภาสน์. ในคำว่า อฏฺฐิกงฺขลูปมา เป็นต้น อุปมา
ด้วยร่างกระดูก เพราะอรรถว่า มีอัสสาทะน้อย อุปมาด้วยชิ้นเนื้อ เพราะ
อรรถว่า เป็นของทั่วไปแก่คนเป็นอันมาก อุปมาด้วยคบเพลิงหญ้า เพราะ

300
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 301 (เล่ม 18)

อรรถว่า ตามเผา อุปมาด้วยหลุมถ่านเพลิง เพราะอรรถว่า ทำให้เร่าร้อน
มาก อุปมาด้วยความฝัน เพราะอรรถว่า ปรากฏนิดหน่อย อุปมาด้วยของที่
ขอยืมเขามา เพราะอรรถว่า เป็นไปชั่วคราว อุปมาด้วยผลต้นไม้มีพิษ เพราะ
อรรถว่า ทำลายทั่วสรรพางค์ อุปมาด้วยคมดาบ เพราะอรรถว่า ตัดรอน
อุปมาด้วยหอกและหลาว เพราะอรรถทิ่มแทง อุปมาด้วยหัวงู เพราะอรรถว่า
น่ารังเกียจ และมีภัยเฉพาะหน้า. บทว่า ถามสา ได้แก่ด้วยกำลังแห่งทิฏฐิ.
บทว่า ปรามาสา ได้แก่ ลูบคลำด้วยทิฏฐิ. บทว่า อภินิวิสฺส โวหรติ
ได้แก่มุ่งมั่นกล่าวหรือแสดง. บทว่า ยโต โข เต ภิกฺขู ได้แก่ ครั้งใด
ภิกษุเหล่านั้น. อริฏฐภิกษุนี้แม้ใคร่จะกล่าวว่า ไม่มี ดังนี้ตามอัธยาศรัยของ
ตนก็ยอมรับคำนี้ว่า เอวํ พฺยา โข อหํ ภนฺเต ภควตา ด้วยอานุภาพของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ได้ยินว่า ชื่อว่า ผู้สามารถจะกล่าวคำ ๒ คำต่อพระ-
พักตร์ของพระพุทธทั้งหลายไม่มี. บทว่า กสฺส โข นาม ตฺวํ โมฆปุริส
ความว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ท่านรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้แก่ใคร กษัตริย์
หรือพราหมณ์ แพทย์ หรือ สูทร คฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต เทวดา หรือ
มนุษย์.
บทว่า อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ นี้เป็นอนุสนธิแผนกหนึ่ง
โดยเฉพาะ. ได้ยินว่า อริฏฐภิกษุคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกเราว่า
โมฆปุริส แต่เธอจะไม่มีธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผล ด้วยเหตุเพียง
ตรัสว่า โมฆปุริส หามิได้แล จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกอุปเสนวัง
คันตบุตรด้วยวาทะว่าโมฆปุริส ว่าดูก่อนโมฆปุริส เธอเป็นผู้เวียนมาเพื่อความ
มักมากเร็วเกินไป ภายหลังพระเถระเพียรพยายามกระทำให้แจ้งซึ่งอภิญญา ๖
ด้วยคิดว่า แม้เราก็จักประคองความเพียรเห็นปานนั้นทำมรรคผลให้เกิด. ลำดับ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความที่อริฏฐภิกษุเป็นผู้ไม่งอกงาม

301
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 302 (เล่ม 18)

เหมือนใบไม้เหลืองที่หลุดจากขั้ว จึงเริ่มแสดงพระธรรมเทศนานี้. บทว่า อุสฺมี
กโตปิ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร อริฏฐภิกษุ
นี้มีลัทธิอย่างนี้ ขัดแย้งกับสัพพัญญุตญาณ ปฏิเสธเวสารัชชญาณ ประหาร
อาณาจักรพระตถาคต แม้เธอก็อบรมญาณในธรรมวินัยนี้ได้บ้าง เธออาศัย
ความอบรมญาณแม้มีประมาณน้อย พยายามอยู่ พึงทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้
บ้าง เหมือนกองไฟใหญ่ที่จะพึงมีได้ เพราะอาศัยลูกไฟแม้มีประมาณเท่าหิ้ง
ห้อยในกองไฟใหญ่แม้ที่ดับไปแล้วฉันนั้น. บทว่า โน เหตํ ภนฺเต ความ
ว่า ภิกษุทั้งหลายกล่าวคัดค้านความที่อริฏฐภิกษุอบรมญาณ เพื่อประโยชน์แก่
มรรคผลที่มีปัจจัยเสมอกันว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริฏฐภิกษุผู้มีลัทธิอย่าง
นี้ จะอบรมญาณเช่นนั้นได้แต่ที่ไหน. บทว่า มงฺกุภูโต ได้แก่เป็นผู้ไร้
อำนาจ. บทว่า ปตฺตกฺขนฺโธ ได้แก่ คอตก. บทว่า อปฺปฏิภาโณ ได้
แก่ ไม่เห็นอะไร ๆ แจ่มชัด คือขาดปฎิภาณ. อริฏฐภิกษุพิจารณาความที่ตน
เป็นอภัพพบุคคลว่า ได้ยินว่า เราได้คำสอนที่นำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้ว
ยังไม่งอกงาม เรามีปัจจัยถูกถอนเสียแล้ว ดังนี้ นั่งเอาปลายนิ้วเท้าขุดดินอยู่.
แม้บทว่า ปญฺญายิสฺสสิ โข นี้ ก็เป็นอนุสนธิแผนกหนึ่งโดย
เฉพาะ. ได้ยินว่า อริฏฐภิกษุคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราเป็นผู้ขาด
ธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผล ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิใช่ทรงแสดง
ธรรมเฉพาะผู้มีอุปนิสัยเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่ผู้ไม่มีอุปนิสัยด้วย เราได้
สุคโตวาทจากสำนักพระศาสดาแล้ว จักกระทำกุศลอันจะเข้าถึงสมบัติของตน.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะระงับพระโอวาท จึงตรัสว่า ปญฺญายิสฺสสิ
เป็นต้น. คำนั้นมีความว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ท่านนั่นแล จักปรากฏในนรก
เป็นต้น ด้วยทิฏฐิอันชั่วช้านี้ ขึ้นชื่อว่าสุคโตวาทของท่านย่อมไม่มีจากสำนัก
ของเรา ท่านไม่มีประโยชน์สำหรับเรา เราจักสอบถามภิกษุทั้งหลายในที่นี้.

302