No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 273 (เล่ม 18)

คือ ในวันรุ่งขึ้น ก็ลุกขึ้นสายกว่า. บทว่า อนตฺตมนํ วาจํ ความว่า แม่บ้าน
นั้นกล่าวว่า เฮ้ยอีคนชาติชั่ว เจ้าไม่รู้จักประมาณของตนเอง สำคัญว่าหนาวจัด
หรือ บัดนี้ เมื่อจักให้นางกาลี ทาสีนั้นสำนึกตน จึงเปล่งเสียงถ้อยคำของคน
ที่โกรธ. บทว่า ปฏิวิสฺสกานํ แปลว่า ผู้อยู่บ้านใกล้เคียง. บทว่า อุชฺฌาเปสิ
คือว่า เที่ยวโพนทะนาให้เขาดูหมิ่น บทว่า จณฺฑี คือ ไม่สงบเสงี่ยมเป็น
คนชั่ว. อธิบายว่า คุณทั้งหลายมีเพียงเท่านี้ด้วยอาการอย่างนี้ แต่โทษเกิดขึ้น
เป็นทวีคูณ มากกว่าคุณนั้น. ธรรมดาว่าคุณทั้งหลายย่อมค่อย ๆ มา. แต่โทษ
นั้นเพียงวันเดียวก็แผ่ขยายไป. บทว่า โสรตโสรโต แปลว่า เป็นคน
สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง. ถึงกับเขากล่าวว่าเป็นพระโสดาบันหรือหนอ พระสกทาคามี
พระอนาคามี พระอรหันต์หรือหนอ. บทว่า ผุสนฺติ ได้แก่ แห่งถ้อยคำที่
ปรากฏมาถูก กระทบ ทีนั้น จึงรู้ได้ว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้สงบเสงี่ยม. อีกอย่างหนึ่ง
ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในอธิวาสนขันติ พึงทราบว่า เป็นภิกษุผู้สงบเสงี่ยม. บทว่า โย
จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขารเหตุ ความว่า ภิกษุรูปใด เมื่อได้ปัจจัยทั้งหลายมีจีวร
เป็นต้น ที่ประณีต ๆ เหล่านี้ ย่อมทำการนวดเท้านวดหลังเป็นต้น โดยพูด
คำเดียวเท่านั้น. บทว่า อลภมาโน คือว่า เมื่อไม่ได้อย่างที่เคยได้มาก่อน.
บทว่า ธมฺมํเยว สกฺกโรนฺโต คือว่า เมื่อกระทำสักการะ คือการที่กระทำ
ให้ดีต่อธรรมนั้นนั่นแหละ. บทว่า ครุกโรนฺโต คือว่า กระทำเคารพ คือ
ให้เป็นภาระ. บทว่า มาเนนฺโต คือว่า กระทำให้เป็นที่รักด้วยความนอบน้อม.
บทว่า ปูเชนฺโต ได้แก่ บูชาด้วยปัจจัย. บทว่า อปจายมาโน ได้แก่
นอบน้อม แสดงความยำเกรง ถ่อมตน ต่อธรรมนั่นแล.

273
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 274 (เล่ม 18)

ทางแห่งถ้อยคำ ๕ ประการ
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงโทษแห่งความไม่อดทนอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงทางแห่งถ้อยคำ ๕ ประการ ด้วยพระดำรัสว่า เหล่าชน
ย่อมอดกลั้นอย่างนี้แล้ว ตรัสคำว่า ปญฺจีเม ภิกฺขเว เป็นต้น บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า กาเลน แปลว่า โดยถึงกาลเวลาอันสมควร. บทว่า ภูเตน
แปลว่า ด้วยคำอันเป็นจริง. บทว่า สณฺเหน คือว่า ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ.
บทว่า อตฺถสญฺหิเตน ด้วยถ้อยคำอันอาศัยประโยชน์ อาศัยเหตุการณะ.
บทว่า อกาเลน เป็นอาทิ แปลว่า โดยกาลอันไม่สมควรเป็นต้น บัณฑิต
พึงทราบด้วยสามารถแห่งธรรมที่เป็นปฎิปักษ์ต่อธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ. บทว่า
เมตฺตจิตฺตา คือ เกิดเมตตาจิต. บทว่า โทสนฺตรา คือ จิตอันโทสะ
ประทุษร้ายแล้ว คือ เกิดโทสะขึ้นแล้วในภายใน. บทว่า ตตฺราปิ คือ ใน
ทางแห่งถ้อยคำเหล่านั่น. บทว่า ผริตฺวา คือ น้อมไป. บทว่า ตทารมฺมณํจ
คือ กระทำถ้อยคำให้เป็นอารมณ์ของจิตนั้นไปทั่วโลก ภิกษุกระทำบุคคลผู้ถือ
เอาทางแห่งถ้อยคำ ๕ มาแล้วให้เป็นอารมณ์ของเมตตาจิต เมื่อกระทำสัตว์ที่
เหลือให้เป็นอารมณ์ของเมตตาจิต นั้นนั่นแหละอีก จึงชื่อว่า กระทำให้เป็น
อารมณ์ของจิตนั้นไปทั่วโลก. ในข้อนั้น พึงทราบความหมายแห่งถ้อยคำดังนี้
บทว่า ตทารมฺมณญฺจ ว่า ได้แก่ กระทำให้เป็นอารมณ์แห่งเมตตาจิตนั้น
นั่นแหละ. บทว่า สพฺพาวนฺตํ ได้แก่ มีสัตว์ทั้งหมด. บทว่า โลกํ ได้แก่
สัตว์โลก. บทว่า วิปุเลน ได้แก่ มีสัตว์มิใช่น้อยเป็นอารมณ์. บทว่า
มหคฺคเตน คือ ประกอบด้วยจิตมหัคคตภูมิ. บทว่า อปฺปมาเณน คือ
เจริญดีแล้ว. บทว่า อเวเรน คือ ไม่มีโทษ. บทว่า อพฺยาปชฺเฌน คือ
ไม่มีทุกข์. บทว่า ผริตฺวา วิหริสฺสาม ความว่า พวกเราน้อมนึกถึงบุคคล

274
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 275 (เล่ม 18)

นั้นและสัตว์โลกทั้งหมด กระทำให้เป็นอารมณ์ของจิตนั้น ด้วยจิตอันสหรคต
ด้วยเมตตาเห็นปานนี้แล้วอยู่.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงนำอุปมาอันชี้แจงถึงอรรถนั้น
จึงตรัสคำว่า เสยฺยยาปิ เป็นอาทิ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฐวึ
ได้แก่ จักกระทำไม่ให้มีแผ่นดิน อธิบายว่าจักให้ถึงความไม่มีแผ่นดิน. บทว่า
ตตฺร ตตฺร แปลว่า ที่นั้น ๆ. บทว่า วิกิเรยฺย คือเอากระเช้ายกดินขึ้น
โปรย ดุจพืชทั้งหลาย. บทว่า โอฏฺฐเภยฺย คือ ถ่มน้ำลาย. บทว่า อปฐฺวึ
กเรยฺย ความว่า ใครถึงแม้จะทำความเพียรด้วยกายและวาจาอยู่อย่างนี้ ก็
ไม่อาจกระทำแผ่นดินใหญ่ไม่ให้เป็นแผ่นดินเลย.
แผ่นดินหนาลึก ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์๑
บทว่า คมฺภีรา แปลว่า ลึก คือว่าโดยส่วนที่หนาลึก สองแสน-
สี่หมื่นโยชน์. บทว่า อปฺปเมยฺย แปลว่า หาประมาณมิได้ คือว่า กำหนด
ไม่ได้ในทางขวาง. บทว่า เอวเมว โข นี้เป็นการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมา
ในที่นี้ เมตตาจิต พึงเห็นเหมือนแผ่นดิน. บุคคลผู้ถือเอาทางแห่งถ้อยคำ ๕
อย่างมาแล้ว เหมือนบุรุษถือเอาจอบและตะกร้ามาแล้ว. บุรุษนั้นย่อมไม่อาจ
เพื่อทำแผ่นดินใหญ่ไม่ให้เป็นแผ่นดินได้ ด้วยจอบและตะกร้า ฉันใด บุคคล
ผู้ถือเอาทางแห่งถ้อยคำ ๕ อย่างมาแล้ว ก็จักไม่อาจเพื่อกระทำเมตตาจิตของ
ท่านทั้งหลายให้.แปรปรวนได้ฉัน นั้น.
๑. แผ่นดินนี้แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ ตอนบนครึ่งหนึ่ง เรียกว่า บังสุปฐวี ตอนล่างครึ่งหนึ่ง
เรียกว่า ศิลาปฐวี. ในอังคุตตนิกาย พระบาลีว่า อยํ โข อานนฺท มหาปถวี อุทเก ปติฏ-
 ิตา อุทกํ วาเต ปติฏฺฐิตํ วาโต อากาสฏฺโฐ โหติ แปลว่า ดูก่อนอานนท์ มหาปฐวีนี้แล
ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ

275
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 276 (เล่ม 18)

พึงทราบวินิจฉัยในอุปมาที่สองดังต่อไปนี้. บทว่า หลิทฺทึ ได้แก่
สีเหลืองอย่างใด อย่างหนึ่ง. บทว่า นีลํ ได้แก่ สีเขียว สำริด หรือสีเขียว
ใบไม้. บทว่า อรูปี แปลว่า ไม่มีรูป.
ถามว่า ก็ปริจฉินนากาส๑ ในระหว่างแห่งหมู่ไม้ทั้งสอง หรือต้นไม้
หรือที่นอน หรือศิลา ก็ปรากฏว่า รูป มิใช่หรือ เพราะเหตุไร ในที่นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสว่า อากาศเป็นของไม่มีรูปร่าง ดังนี้.
ตอบว่า เพราะปฏิเสธการเห็นรูป. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ จึงตรัส
คำว่า อนิทสฺสโน แปลว่า ชี้ให้เห็นไม่ได้. จริงอยู่ ใคร ๆ ไม่อาจเขียน
รูป แสดงรูปให้ปรากฏในอากาศนั้นได้ ฉะนั้น จึงตรัสว่า อรูปี แปลว่า
ไม่มีรูป ดังนี้. บทว่า อนิทสฺสโน คือ ไม่ใช่วิถีของจักขุวิญญาณที่ทำ
หน้าที่เห็น. ก็ในการเปรียบเทียบอุปมาในข้อที่สองนี้ เมตตาจิต เปรียบเหมือน
อากาศ ทางแห่งถ้อยคำ ๕ อย่างเปรียบเหมือนเครื่องเขียนสี ๔ อย่าง มีปุยฝ้าย
เป็นที่ ๕. บุคคลผู้ถือเอาทางแห่งถ้อยคำ ๕ อย่างมาแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษ
ผู้ถือเอาเครื่องเขียนสีทั้งหลาย มีปุยฝ้ายเป็นที่ ๕ มาแล้ว. บุรุษนั้น ย่อมไม่
อาจทำรูปภาพให้ปรากฏในอากาศได้ด้วยเครื่องเขียนสีทั้งหลาย ซึ่งมีปุยฝ้ายเป็น
ที่ ๕ ฉันใด บุคคลผู้ถือเอาทางแห่งถ้อยคำทั้ง ๕ มาแล้ว ก็จักไม่อาจกระทำ
เมตตาจิตของท่านทั้งหลายให้แปรปรวน คือให้เป็นโทสะเกิดขึ้นได้ฉันนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในอุปมาที่สามดังต่อไปนี้. บทว่า อาทิตฺตํ
คือว่า ไฟลุกขึ้นโพลงแล้ว. บทว่า คมฺภีรา อปฺปเมยฺยา ความว่า ส่วน
ที่ลึกแห่งแม่น้ำคงคานี้มีคาวุตหนึ่ง (หนึ่งร้อยเส้น) ก็มี กึ่งโยชน์ก็มี หนึ่ง
๑. อากาศมี ๔ ประเภท คือ อัชฏากาส ได้แก่ อากาศในท้องฟ้า ปริจฉินนากาส ได้แก่ อากาศ
ที่กำหนดได้ในระหว่างแห่งวัตถุ กสิณุคฆาปฏิมากาส ได้แก่ อากาศที่ได้มาเนื่องจากเพิกกสิณ
๙ ปริจเฉทากาส ได้แก่ อากาศที่ขั้นระหว่างรูปกับรูป.

276
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 277 (เล่ม 18)

โยชน์ก็มี ส่วนกว้างของแม่น้ำคงคานี้ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน. แต่โดยส่วนยาว
ประมาณ ๕๐๐ โยชน์.
ถามว่า ส่วนลึกนั้น ประมาณไม่ได้ เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะเปลี่ยนแปลงด้วยความพยายามนั้น ไม่อาจทำแม่น้ำนั้น
ให้ร้อนได้ เหมือนอย่างน้ำเอาตั้งเตาไฟ. ก็น้ำประมาณ หนึ่งองคุลี หรือ ๘ องคุลี
ใครก็อาจทำมันให้ร้อนได้ด้วยอุบายบางอย่าง แต่แม่น้ำคงคานี้ ใคร ๆ ไม่อาจ
ทำให้ร้อนได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น. ก็ในการ
เทียบเคียงอุปนาในข้อนี้มีดังนี้ เมตตาจิตเปรียบเหมือน แม่น้ำคงคา. บุคคล
ผู้ถือเอาทางแห่งวาจา ๕ อย่างมาแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถือคบหญ้ามาแล้ว.
บุรุษนั้นไม่อาจทำแม่น้ำคงคาให้ร้อนด้วยคบหญ้า ฉันใด บุคคลผู้ถือเอาทาง
แห่งวาจา ๕ อย่างมาแล้ว ก็จักไม่อาจกระทำเมตตาจิตให้แปรปรวน (คือเป็น
โทสะ) ได้ฉันนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยอุปมาที่ ๔ ดังต่อไปนี้ บทว่า วิฬารภสฺตา แปลว่า
กระสอบหนังแมว. บทว่า สุมทฺทิตา แปลว่า ขยำดีแล้ว. บทว่า สุปริม-
ทฺทิตา คือ ขยำเรียบร้อยแล้วโดยรอบ ทั้งภายในและภายนอก. บทว่า ตูลินี
คือว่า เป็นของเสมอกับปุยงิ้ว ปุยเถาวัลย์. บทว่า ฉินฺนสสฺสรา แปลว่า ขาด
สุ้มเสียง. บทว่า ฉินฺนปพฺภรา แปลว่า ขาดเสียงกังวาน. ก็ในการเปรียบเทียบ
อุปมาในข้อนี้มีดังนี้ เมตตาจิตเปรียบเหมือนกระสอบหนังแมว. บุคคลผู้ถือเอา
ทางแห่งถ้อยคำ ๕ อย่างมาแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถือเอาไม้ หรือกระเบื้อง
มาแล้ว. บุรุษนั้นย่อมไม่อาจเอาไม้หรือกระเบื้องตีกระสอบหนังแมวให้มีเสียงดัง
ก้องฉันใด บุคคลผู้ถือเอาทางของถ้อยคำ ๕ อย่างมาแล้วก็จักไม่อาจกระทำ
เมตตาจิตให้แปรปรวน คือให้เป็นไปตามโทสะได้ฉันนั้น ดังนี้. บทว่า โอจรา
คือ ประพฤติต่ำ อธิบายว่า ผู้ทำกรรมอันต่ำ. บทว่า โย มโน ปโทเสยฺย

277
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 278 (เล่ม 18)

ความว่าผู้ใดไม่ว่าภิกษุ หรือ ภิกษุณี เคืองใจ อดกลั้นการเลื่อย ด้วยเลื่อยนั้นไม่ได้.
บทว่า น เม โส เตน สาสนกโร ความว่า ผู้นั้น ไม่ชื่อว่า เป็นผู้กระทำ
ตามคำสอนของเรา เหตุอดกลั้นไม่ได้นั้น ก็แต่ว่า อาบัติย่อมไม่มีแก่เธอใน
เพราะอดกลั้นไม่ได้นั้น. บทว่า อณุํ วา ถูลํ วา แปลว่า มีโทษน้อย หรือว่า
มีโทษมาก. บทว่า ยํ ตุมฺเห นาธิวาเสยฺยาถ ความว่า บุคคลใดที่พึงเป็น
ผู้ที่พวกเธออดกลั้นไม่ได้. บทว่า โน เหตํ ภนฺเต อธิบายว่า พวกข้าพระองค์
ไม่เห็นทางแห่งถ้อยคำที่ข้าพระองค์อดกลั้นไม่ได้หามิได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดด้วยพระอรหัต จึงให้เทศนาจบลง
ตามลำดับอนุสนธิว่าข้อนั้น จักเป็นประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่พวกเธอ
สิ้นกาลนาน ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถากกจูปมสูตรที่ ๑

278
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 279 (เล่ม 18)

๒. อลคัททูปมสูตร
[๒๗๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นแล ทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนี้ บังเกิด
ขึ้นแก่อริฏฐภิกษุ ผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วว่าเป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตราย
แก่ผู้ส้องเสพได้จริง ภิกษุมากหลายได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ทิฏฐิอันชั่วเห็นปาน
นี้ บังเกิดแก่อริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเเล้ว. โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตราย
แก่ผู้ส้องเสพได้จริง ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหาอริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของ
คนฆ่าแร้ง แล้วได้กล่าวกะเธอว่า ท่านอริฏฐะ ได้ยินว่า ทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนี้
บังเกิดขึ้นแก่ท่านว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดย
ประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย
ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง ดังนี้จริงหรือ อริฏฐ
ภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งรับว่า จริง ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถ
ทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้อง
อริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้ง จากทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนั้น จึงซักไซ้

279
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 280 (เล่ม 18)

ไล่เลียง สอบสวนด้วยกล่าวว่า ท่านอริฏฐะ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย อย่า
กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีดอก เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสอย่างนี้ ท่านอริฏฐะ ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตรายโดยอเนกปริยาย ก็แหละธรรม
เหล่านั้นสามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง พระผู้มีพระเจ้าตรัสกามทั้ง
หลายซึ่งมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามเหล่านั้น
มีอยู่อย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยร่างกระดูกมีทุกข์
มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามเหล่านั้นมีอยู่อย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกามทั้งหลาย มีอุปมาด้วยชิ้นเนื้อ. . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลาย
มีอุปมาด้วยคบหญ้า. . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยหลุม
ถ่านเพลิง. . .พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยความฝัน. . .พระผู้
มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยของขอยืม. . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
กามทั้งหลายมีอุปมาด้วยผลไม้...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วย
เขียงหั่นเนื้อ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยหอกและหลาว...
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายมีอุปมาด้วยศีรษะงูพิษ มีทุกข์มาก มีความ
คับเเค้นมาก โทษในกามเหล่านั้นมีอยู่อย่างยิ่ง อริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของ
คนฆ่าแร้ง ถูกภิกษุเหล่านั้นซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่แม้อย่างนี้แล ก็ยัง
กล่าวยึดมั่นทิฏฐิอันชั่วนั้นเองด้วยกำลังทิฏฐิว่า ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรม
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำ
อันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง.
[๒๗๕] กาลใดแล ภิกษุเหล่านั้น ไม่สามารถจะปลดเปลื้องอริฏฐ
ภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งจากทิฏฐิอันชั่วนั้น กาลนั้น ภิกษุเหล่านั้น

280
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 281 (เล่ม 18)

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนี้
บังเกิดขึ้นแก่อริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าเเร้งว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำ
อันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้
ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนี้บังเกิดขึ้นแก่อริฏฐภิกษุ ทีนั้นแล
ข้าพระองค์ทั้งหลาย เข้าไปหาอริฏฐภิกษุแล้ว ได้กล่าวว่า ท่านอริฏฐะ ได้ยินว่า
ทิฏฐิอันชั่วเห็นปานนี้บังเกิดขึ้นแก่ท่านว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า
เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพ
ได้จริง ดังนี้ จริงหรือ เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว อริฏฐภิกษุ
ได้กล่าวกะข้าพระองค์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตราย
แก่ผู้ส้องเสพได้จริง ที่นั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายปรารถนาจะปลดเปลื้องอริฏฐ
ภิกษุจากทิฏฐิอันชั่วนั้น จึงซักไซ้ไล่เลียง สอบสวน ด้วยกล่าวว่า ท่านอริฏฐะ
ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย อย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระ-
ภาคเจ้าไม่ดีดอก เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสอย่างนี้ ท่านอริฏฐะ ธรรม
ทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำอันตรายโดยอเนก-
ปริยาย ก็แหละธรรมเหล่านั้นสามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลายซึ่งมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้น
มาก โทษในกามเหล่านั้นมีอยู่อย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสกามทั้งหลายมี

281
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 282 (เล่ม 18)

อุปมาด้วยร่างกระดูก ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกามทั้งหลาย มีอุปมาด้วย
ศีรษะงูพิษ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามเหล่านั้นมีอยู่อย่างยิ่ง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริฏฐภิกษุถูกข้าพระองค์ทั้งหลายซักไซ้ ไล่เลียง สอบ
สวนอยู่แม้อย่างนี้แล ก็ยังกล่าวยึดมั่นทิฏฐิอันชั่วนั้นเอง ด้วยกำลังทิฏฐิว่า
ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดย
ประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่ง
อันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กาลใดแล ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่สามารถจะปลดเปลื้อง
อริฏฐภิกษุจากทิฏฐิอันชั่วนั้น กาลนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย จึงกราบทูลเนื้อ
ความนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
[๒๗๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาว่า
มานี่ภิกษุ เธอจงเรียกอริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งมาตามคำของเราว่า
พระศาสดาเรียกท่าน. ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงเข้าไปหา
อริฏฐภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งถึงที่อยู่ แล้วกล่าวว่า ท่านอริฏฐะ พระ-
ศาสดาเรียกท่าน อริฏฐภิกษุรับคำภิกษุนั้น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะอริฏฐ
ภิกษุผู้เป็นเหล่ากอของคนฆ่าแร้งว่า อริฏฐะ ได้ยินว่า ทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้
บังเกิดขึ้นแก่เธอว่า ข้าพเจ้ารู้ถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดย
ประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่ง
อันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง ดังนี้ จริง
หรือ. อริฏฐภิกษุกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ถึงธรรม
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นธรรมกระทำซึ่งอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำ

282