พระรับข้าวสารไม่ได้ ต้องอาบัติทุกกฏ
...มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้คือภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียวต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภันฑ์นั้นไว้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไร ๆ เลย...
สอดคล้องกับ ข้อพระวินัยที่ทรงอนุญาตไว้เฉพาะ 7 อย่าง ข้าวสารก็เรียกว่า ธัญพืชดิบ ฉะนั้น พระรับข้าวสาร ที่ไม่ตรงตามที่ทรงอนุญาตไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะเป็นอกัปปิยะตามข้อที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าอยากถวาย ถวายเป็นของวัดได้ แต่ถ้าถวายให้พระ พระรับแล้ว แม้พระจะสละให้โรงครัวทำให้สุกก็ตาม (ทำให้เป็นกัปปิยะ) พระนั้นต้องอาบัติทุกกฏ และจะฉันข้าวนั้นไม่ได้เลย แต่รูปอื่นฉันได้ (เพระฉันของที่เป็นกัปปิยะแล้ว และก็ไม่ได้รับของที่เป็นอกัปปิยะนั้น)
การรับข้าวสาร เป็นพระวินัยที่ทรงอนุญาตไว้เฉพาะในบางคราวเท่านั้น ในคราวหนทางกันดาร อัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร เป็นเสบียงเดินทาง ไม่ใช่รับทั่วไปได้ สมัยนี้ รับมั่วซั่ว ก็ไม่เข้ากับข้อที่กล่าวมานี้
ทายกควรฉลาดในการให้ ให้ของสมควร ดังที่ตรัสไว้ใน สัปปุริสทาน ถ้าให้อกัปปิยะวัตถุ (กรณีนี้เป็นทุกกฎวัตถุ) เป็นบาปด้วย ไม่ใช่ไม่บาป พระพุทธเจ้าตรัสเป็นตัวอย่างให้แล้ว ตรงนี้