ธาตุเจดีย์ และ ปริโภคเจดีย์ ไม่ใช่วัตถุมงคล (อ้างกรณีเหยียบผ้าว่าเป็นวัตถุมงคล)
[๑๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้ ๔ แห่งเป็นไฉน ? คือ สถานที่ควรเห็นควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธาว่า พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ณ ที่นี้ ๑ พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สถานที่ควรเห็น ควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่งนี้แล
พระธาตุก็เรียกว่าพระธาตุ ไม่เรียกว่า วัตถุมงคล พะพุทธเจ้าจะไม่เรียกวัตถุว่าเป็นมงคล แต่จะตรัสการเห็นถูก กระทำถูก ว่าเป็นมงคล เพราะมงคลในพระพุทธศาสนา คือ ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นบุญเป็นกุศล ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่มีโทษทาง กาย วาจา ใจ จึงเรียกว่า เป็นมงคล
แต่วัตถุโดยตัวของวัตถุเอง ไม่เรียกว่าเป็นมงคล แม้แต่เจดีย์วัตถุ (ธาตุเจดีย์ และ ปริโภคเจดีย์) ทำความเลื่อมใสแล้วเป็นบุญก็ตาม ไม่ใช่วัตถุมงคล เพราะไม่ได้บันดาล ไม่ได้ทำให้ใครดีหรือไม่ดี แต่การที่ไปทำความเลื่อใสในเจดีย์นั้นต่างหาก (ความเห็นนั้น การกระทำนั้น) จึงเรียกว่าเป็นมงคล เพราะเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ และกรณีที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระเหยียบผ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าผ้านั้นจะเป็นมงคล และก็ไม่ได้หมายความว่าให้ไปทำผิดในข้ออื่น ถ้าใครไปเข้าใจว่า วัตถุโดยตัวของวัตุเองนั้นเป็นมงคล จะขัดกับพระสูตรด้านล่างนี้
การถือ มงคลตื่นข่าว ถืออุกกาบาต ถือความฝัน ถือลักษณะดีหรือชั่ว เป็นการถือมงคลที่ผิด เป็นมงคลที่โลกสมมุติ ไม่ใช่มงคลที่พระพุทธเจ้าสอน
..[๘๗] "ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาตไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าวครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก"...
วัตถุทั้งหลายโดยตัวของมันเอง ไม่เป็นมงคล
...พระศาสดาตรัสว่า "อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้นนั่นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย ส่วนบุคคลถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้"...
ผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม คือ อุบาสกที่เลวทราม
[๑๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ เป็นผู้ทุศีล ๑ เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด...
พระโสดาบันไม่ถือมงคลตื่นข่าว
[๓๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ไม่ควรเป็นได้ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน ? คือ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อยึดถือสังขารไร ๆ โดยความเป็นของเที่ยง ๑ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อยึดถือสังขารไร ๆ โดยความเป็นสุข ๑ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อยึดถือสังขารไร ๆ โดยความเป็นอัตตา ๑ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อกระทำอนันตริยกรรม ๑ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อเชื่อถือความบริสุทธิ์โดยมงคลตื่นข่าว ๑ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อแสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะที่ไม่ควรเป็นได้ ๖ ประการนี้แล
บัณฑิตต้องไม่เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว
...ขึ้นชื่อว่าการถือมงคลตื่นข่าวนี้ พระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่สรรเสริญเลย เหตุนั้น บัณฑิตต้องไม่เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว...
ชื่อทั้งหลายโดยตัวมันเอง ไม่เป็นมงคลแก่ใคร การกระทำที่เป็นบุญเป็นกุศล ประกอบด้วยประโยชน์ จึงเป็นมงคล
...ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกัน ความสำเร็จเพราะชื่อมิได้มีเลย ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น...
รูปใดๆ หรือ อายตนะทั้งหลาย โดยตัวของมันเองไม่เป็นมงคล มงคลสักนิดหนึ่งไม่มีเลย ฉะนั้น วัตถุมงคล ในพระพุทธศาสนา จึงไม่มี
[๑๔๘๒] ความสวัสดีเหล่านี้แล ผู้รู้สรรเสริญแล้ว มีสุขเป็นผลกำไรในโลก นรชนผู้มีปัญญาพึงเสพความสวัสดีเหล่านั้นไว้ในโลกนี้ ก็ในมงคล มีประเภท คือ ทิฏฐมงคล สุตมงคลและมุตมงคล มงคลสักนิดหนึ่งที่จะเป็นมงคลจริง ๆ ไม่มีเลย
จากพระสูตรข้างต้นนี้ ก็เอามาเทียบง่ายๆเลย ถ้าอยากรู้ว่า อันไหนเป็นมงคลตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ให้ดูว่า เป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่ และต้องเป็นสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิที่นิยามเอาเอง ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่เป็นมงคล มันไม่ใช่ว่า เห็นคำว่า มงคล ก็จะไปเหมารวมว่าเป็นมงคลหมด ไม่ใช่ และจะไปอ้างเอากรณีอื่น ที่ขัดแย้งกับหลักธรรมข้ออื่น มาใส่กับเรื่องเหยียบผ้าไม่ได้ เช่น ปั้นรูปพระองค์ไว้กราบไหว้ (ที่มีห้ามในเอกปุคคลอยู่ ) ปลุกเสกเพื่อเป็นมงคล (ที่มีห้ามในมหาศีลอยู่ เดรัจฉานวิชา ) เหล่านี้เป็นต้น ไม่เข้ากันแน่นอน
ฉะนั้น ถ้าใครไปพูดว่า ธาตุเจดีย์ และ ปริโภคเจดีย์ เป็นวัตถุมงคล ก็เป็นการพูดที่ไม่ถูก เป็นการกล่าวตู่ อย่าว่าแต่เจดีย์เลย แม้แต่ไปเข้าใจว่า ร่างกายของพระพุทธเจ้า ประเสริฐ เป็นมงคล ก็ผิด เป็นการกล่าวตู่พระองค์