อย่าไปขี้คุยเลยว่าทำบุญไม่หวังผล
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า อาศัยกรรมขาว เพื่อหนีจากกรรมดำ กรรมขาว และกรรมทั้งดำทั้งขาว นั้นก็หมายความว่า อาศัยบุญเพื่อหนีจากบาปและบุญเป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะเป็นมรรค ฉะนั้น อาศัยบุญ แล้วไม่หวังผลของบุญ จึงเป็นไปไม่ได้ แม้ผู้นั้นจะพูดอยู่ก็ตามว่าไม่หวังผล แต่ความจริงคือหวังผล
...เจตนาเพื่อละกรรมดำ มีวิบากดำ เจตนาเพื่อละกรรมขาว มีวิบากขาว เจตนาเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวนั้นเสีย ข้อนี้เรากล่าวว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม...
เช่น ในสูตรนี้ ท่านตรัสว่า เกิดบ่อยๆเพื่อสร้างบุญ เพื่อให้ได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหวังผล
[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อย ๆ ฝนย่อมตกบ่อย ๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อย ๆ แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อย ๆ ยาจกย่อมขอบ่อย ๆ ทานบดีก็ให้บ่อย ๆทานบดีให้บ่อย ๆ แล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ ผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดนมบ่อย ๆลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อย ๆ บุคคล ย่อมลำบากและดินรนบ่อย ๆ คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อยๆ สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆบุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อย ๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อย ๆ ก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้
แม้แต่หวังผลไปในทางบาป ยังหวังเลย เช่น บวชเพื่อรับเงินรับทอง เพื่ออยู่สุขสบาย แล้วทีนี้ หวังไปในทางบุญจะไม่หวัง เป็นไปไม่ได้หรอก จะมาพูดเอาเท่ๆว่าไม่หวังผล เงินเป็นล้านยังอยากได้อยู่เลย
แม้แต่พระอรหันต์ทำบุญยังหวังผลเลย เช่น พระสารีบุตรให้ทานในสงฆ์แล้วอุทิศบุญให้มารดาที่เป็นเปรต แม้ท่านจะไม่หวังผลให้ตนเอง เพราะเป็นอเสขะแล้ว แต่ท่านก็หวังผลให้สัตว์โลก อันนี้ก็เรียกว่า หวังผล ฉะนั้น ใครว่าทำบุญไม่หวังผลนี้ ขี้คุยมากๆเลย