ไปพูดว่ารูปปั้นคือ พระพุทธรูป หรือ พระพุทธเจ้า ไปพูดว่าพระรับเงินไม่ผิด เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
[๒๖๘] ๒๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนเจ้าโทสะซึ่งมีโทษอยู่ภายใน ๑ คนที่เชื่อโดยถือผิด ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
ผู้ถือร่างกายของพระพุทธเจ้าว่า ประเสริฐ เป็นการกล่าวตู่พุทธองค์
บทว่า อพฺภาจิกฺขนฺติ ได้แก่ กล่าวตู่ คือกล่าวด้วยเรื่องไม่จริง บทว่า โทสนฺตโร แปลว่า มีโทสะตั้งอยู่ในภายใน จริงอยู่ คนแบบนี้ ย่อมกล่าวตู่พระตถาคต เช่น สุนักขัตตลิจฉวี กล่าวว่า อุตตริมนุสสธรรมของพระสมณโคดมหามีไม่ บทว่า สทฺโธ วา ทุคฺคหิเตน ความว่า หรือว่า ผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า ด้วยศรัทธาที่เว้นจากญาณ มีความเลื่อมใสอ่อนนั้น ถือผิด ๆ กล่าวตู่พระตถาคตโดยนัยเป็นต้นว่า ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้านั้น เป็นโลกุตระทั้งพระองค์ พระอาการ ๓๒ มีพระเกสาเป็นต้นของพระองค์ล้วนเป็นโลกุตระทั้งนั้น ดังนี้
คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ และ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคต ภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ย่อมกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระรับเงินผิด แต่ก็ไปกล่าวว่าไม่ผิด นี้ก็เป็นการกล่าวตู่พระองค์
พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สร้างรูปปั้น ไม่ได้ให้กราบรูปปั้น แต่ก็ไปกล่าวว่า พระองค์ให้สร้าง ให้กราบ นี้ก็เป็นการกล่าวตู่พระองค์
[๒๖๙] ๒๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ๑ คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคต ภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต...
ผู้ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าย่อมประสบบาบเป็นอันมาก จะเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน