No Favorites

รู้แค่ว่าพระรับเงินผิดวินัยเฉยๆ แต่ไม่รู้รายละเอียดลงไปว่า เป็นบาป

ส่วนมากจะเข้าใจว่า พระรับเงินผิดวินัยเฉยๆ ไม่ได้เป็นบาป ส่วนทายกที่เอาเงินถวายพระ ก็ไม่ได้เป็นบาป มีแต่พระเท่านั้นที่ผิดพระวินัย(เฉยๆ) แต่ที่จริงแล้วเป็นบาปทั้งผู้ให้และผู้รับ ถ้าว่าไม่เป็นบาป งั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชีวกสูตรว่า ผู้ที่เอาเนื้อที่เป็นอกัปปิยะไปถวายพระ ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ก็ถูกหักล้างไปเลยสิ เพราะเนื้อเป็นอกับปิยะ เงินก็เป็นอกัปปิยะ เงินเป็นอกัปปิยะที่มีโทษใหญ่กว่าเนื้อด้วยช้ำ เพราะเงินเป็นนิสสัคคิยวัตถุ ส่วนเนื้อเป็นทุกกฎวัตถุ

...ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๕ นี้ ดูก่อนชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมากด้วยเหตุ ๕ ประการนี้

เมื่อให้สิ่งของที่เป็นอกัปปิยะเป็นบาป รับสิ่งของที่เป็นอกัปปิยะก็ต้องบาปด้วย เมื่อรับสิ่งของที่เป็นอกัปปิยะเป็นบาป ให้สิ่งของที่เป็นอกัปปิยะก็ต้องเป็นบาปด้วย เพราะประเด็นคือ "อกัปปิยะ" เมื่อเป็นอกัปปิยะ การกระทำใดๆที่เกี่ยวข้องกับอกัปปิยะในทางที่ผิดก็ย่อมผิด เช่น เขาบัญญัติให้ยาบ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อผิดกฎหมาย ผลิด เสพ ขาย มีไว้ครอบครอง ก็ย่อมผิดหมด ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ย่อมผิด

...ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ไม่พึงฉันเนื้อที่เขาทำจำเพาะ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ปลา เนื้อ ที่บริสุทธิ์โดยส่วนสามคือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ...

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงปรับอาบัติทุกกฎแก่พระที่ฉันเนื้อที่เป็นอกัปปิยะ ถ้าสิ่งไหนไม่เป็นบาป ตถาคตจะไม่บัญญัติพระวินัย เป็นบาปจึงบัญญัติ เช่นเดียวกันกับเงินทอง เมื่อบัญญัติว่าเป็นอกัปปิยะ เป็นนิสสัคคิยวัตถุ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ และแน่นอน ให้และรับ ก็ย่อมเป็นบาป เหมือนกรณีเนื้อที่เป็นอกัปปิยะ

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยเพราะเป็นบาปจึงบัญญัติ ไม่บาป จะไม่บัญญัติ (2)  #ทั้งผู้ให้และผู้รับบาปหมดเลยถ้าสิ่งนั้นเป็นอกัปปิยะ จะน้อมจิตให้จิตรับ อ้างเจตนายังไงก็ตามไม่เกี่ยว