No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 192 (เล่ม 16)

๔. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่ควรงดเสีย
[๒๕๖] กรรม ๔
๑. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมเป็นฝ่ายดำ มีวิบากเป็นฝ่ายดำมีอยู่
๒. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมเป็นฝ่ายขาว มีวิบากเป็นฝ่ายขาว
มีอยู่
๓. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมเป็นทั้งฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีวิบาก
ทั้งฝ่ายดำและฝ่ายขาวมีอยู่
๔. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมที่ไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมมีอยู่.
[๒๕๗ ] สัจฉิกรณียธรรม ๔
๑. บุพเพนิวาส พึงทำให้แจ้งด้วยสติ
๒. การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย พึงทำให้แจ้งด้วยจักษุ
๓. วิโมกข์แปด พึงทำให้แจ้งด้วยกาย
๔. ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย พึงทำให้แจ้งด้วยปัญญา.
[๒๕๘] โอฆะ ๔
๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม
๒. ภโวฆะ โอฆะคือภพ
๓. ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฐิ
๔. อวิชโชฆะ โอฆะคือวิชชา.

192
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 193 (เล่ม 16)

[๒๕๙] โยคะ ๔
๑. กามโยคะ โยคะคือกาม
๒. ภวโยคะ โยคะคือภพ
๓. ทิฏฐิโยคะ โยคะคือทิฐิ
๔. อวิชชาโยคะ โยคะคืออวิชชา.
[๒๖๐] วิสังโยคะ ๔
๑. กามโยควิสังโยคะ ความพรากจากกามโยคะ
๒. ภวโยควิสังโยคะ ความพรากจากภวโยคะ
๓. ทิฏฐิโยควิสังโยคะ ความพรากจากทิฏฐิโยคะ
๔. อวิชชาโยควิสังโยคะ ความพรากจากอวิชชาโยคะ.
[๒๖๑] คันถะ ๔
๑. อภิชฌากายคันถะ เครื่องรัดกายคืออภิชฌา
๒. พยาบาทกายคันถะ เครื่องรัดกายคือพยาบาท
๓. สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เครื่องรัดกายคือสีลัพพตปรามาส
๔. อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ เครื่องรัดกายคือความเชื่อแน่ว่า
สิ่งนี้เป็นจริง.
[๒๖๒] อุปาทาน ๔
๑. กามุปาทาน ถือมั่นกาม
๒. ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฐิ
๓. สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลและพรต
๔. อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นวาทะว่าตน.
[๒๖๓] โยนิ ๔
๑. อัณฑชโยนิ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่

193
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 194 (เล่ม 16)

๒. ชลาพุชโยนิ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์
๓. สังเสทชโยนิ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล
๔. โอปปาติกโยนิ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น.
[๒๖๔] การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา
นี้การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่หนึ่ง.
๒. สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัว ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
แต่เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์
มารดา นี้การก้าวลงสู่ครรภ์มารดาข้อที่สอง.
๓. สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา เป็น
ผู้รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา แต่เป็นผู้ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้
การก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่สาม.
๔. สัตว์บางชนิดในโลกนี้ เป็นผู้รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา เป็น
ผู้รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้การ
ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่สี่.
[๒๖๕] การได้อัตภาพ ๔
๑. การได้อัตภาพที่ตรงกับความจงใจของตนอย่างเดียว ไม่ตรง
กับความจงใจของผู้อื่นมีอยู่.

194
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 195 (เล่ม 16)

๒. การได้อัตภาพที่ตรงกับความจงใจผู้อื่นเท่านั้น ไม่ตรงกับ
ความจงใจของตนมีอยู่.
๓. การได้อัตภาพที่ตรงกับความจงใจของตนด้วย ตรงกับความ
จงใจของผู้อื่นด้วยมีอยู่.
๔. การได้อัตภาพที่ไม่ตรงกับความจงใจของตนทั้งไม่ตรงกับ
ความจงใจของผู้อื่นมีอยู่.
[๒๖๖] ทักขิณาวิสุทธี ๔
๑. ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
๒. ทักขิณาบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
๓. ทักขิณาไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
๔. ทักขิณาที่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก.
[๒๖๗] สังคหวัตถุ ๔
๑. ทาน การให้เป็น
๒. ปิยวัชชะ เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์
๔. สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอต้นเสมอปลาย
[๒๖๘] อนริยโวหาร ๔
๑. มุสาวาท พูดเท็จ
๒. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด
๓. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ
๔. สัมผัปปลาปา พูดเพ้อเจ้อ.

195
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 196 (เล่ม 16)

[๒๖๙] อริยโวหาร ๔
๑. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ
๒. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด
๓. ผรุสาย วาจา เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ
๔. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ.
[๒๗๐] อนริยโวหารอีก ๔
๑. อทิฏฺเฐ ทิฏฺฐวาทิตา เมื่อไม่ได้เห็นพูดว่าได้เห็น
๒. อสฺสุเต สุตวาทิตา เมื่อไม่ได้ยินพูดว่าได้ยิน
๓. อมุเต มุตวาทิตา เมื่อไม่ได้ทราบพูดว่าได้ทราบ
๔. อวิญฺญาเต วิญฺญาตวาทิตาเมื่อไม่ได้รู้พูดว่าได้รู้
[๒๗๑] อริยโวหาร อีก ๔
๑. อทิฏฺเฐ ทิฏฺฐวาทิตา เมื่อไม่ได้เห็นพูดว่าได้เห็น
๒. อสฺสุเต สุตวาทิตา เมื่อไม่ได้ยินพูดว่าได้ยิน
๓. อมุเต มุตวาทิตา เมื่อไม่ได้ทราบพูดว่าได้ทราบ
๔. อวิญฺญาเต วิญฺญาตวาทิตา เมื่อไม่ได้รู้พูดว่าได้รู้
[๒๗๒] อนริยโวหารอีก ๔
๑. ทิฏเฐ อทิฏฐวาทิตา เมื่อได้เห็นพูดว่าไม่ได้เห็น
๒. สุเต อสฺสุตวาทิตา เมื่อได้ยินพูดว่าไม่ได้ยิน
๓. มุเต อมุตวาทิตา เมื่อได้ทราบพูดว่าไม่ได้ทราบ
๔. วิญฺาเต วิญฺญาตวาทิตา เมื่อรู้พูดว่าไม่รู้.

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 197 (เล่ม 16)

[๒๗๓] อริยโวหารอีก ๔
๑. ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐาวาทิตา เมื่อได้เห็นพูดว่าได้เห็น
๒. สุเต สุตวาทิตา เมื่อได้ยินพูดว่าได้ยิน
๓. มุเต มุตวาทิตา เมื่อได้ทราบพูดว่าได้ทราบ
๔. วิญฺญาเต วิญฺญาตวาทิตา เมื่อรู้พูดว่ารู้.
[๒๗๔ ] บุคคล ๔
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน เป็นผู้ขวน
ขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อน.
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นผู้
ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน.
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน เป็นผู้ขวน
ขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่องทำตนให้เดือนร้อนด้วย เป็นผู้ทำให้
ผู้อื่นเดือนร้อน เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุ เป็นเครื่องทำให้ผู้อื่น
เดือดร้อนด้วย.
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ไม่เป็นผู้
ขวนขวายในการประกอบเหตุ เป็นเครื่องทำตนให้เดือดร้อนด้วย เป็นผู้
ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่เป็นผู้ขวนขวายในการประกอบเหตุเป็นเครื่อง
ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
เป็นผู้หายหิว ดับสนิท เยือกเย็น เสวยความสุข มีตนเป็นเสมือนพรหม
อยู่ในปัจจุบัน.

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 198 (เล่ม 16)

[๒๗๕] บุคคลอีก ๔
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติ
เพื่อประโยชน์ผู้อื่น.
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ปฏิบัติ
เพื่อประโยชน์ตน.
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติ
เพื่อประโยชน์ผู้อื่น.
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนด้วย เพื่อ
ประโยชน์ผู้อื่นด้วย.
[๒๗๖] บุคคลอีก ๔
๑. ตโม ตมปรายโน ผู้มืดมา มืดไป
๒. ตโม โชติปรายโน ผู้มืดมา สว่างไป
๓. โชติ ตมปรายโน ผู้สว่างมา มืดไป
๔. โชติ โชติปรายโน ผู้สว่างมา สว่างไป
[๒๗๗] บุคคลอีก ๔
๑. สมณอจละ เป็นสมณะ ผู้ไม่หวั่นไหว
๒. สมณปทุมะ เป็นสมณะ เปรียบด้วยดอกบัวหลวง
๓. สมณปุณฑริกะ เป็นสมณะ เปรียบด้วยดอกบัวขาว
๔. สมเณสุ สมณสุขุมาละ เป็นสมณะ ผู้ละเอียดอ่อน
ในสมณะทั้งหลาย
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ เหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ตรัสไว้
โดยชอบแล้ว พวกเราทั้งหมดด้วยกันพึงสังคายนา ไม่พึงแก่งแย่งกันใน

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 199 (เล่ม 16)

ธรรมนั้น การที่พรหมจรรย์นี้ พึงยั่งยืน ตั้งอยู่นาน นั้นพึงเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่โลก
เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
จบสังคีติหมวด ๔
ว่าด้วยสังคีติหมวด ๕
[๒๗๘] ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๕ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ตรัสไว้โดย
ชอบแล้วมีอยู่แล พวกเราทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนาในธรรมนั้น ฯลฯ
เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
ธรรม ๕ เป็นไฉน. คือ
ขันธ์ ๕
๑. รูปขันธ์ กองรูป
๒. เวทนาขันธ์ กองเวทนา
๓. สัญญาขันธ์ กองสัญญา
๔. สังขารขันธ์ กองสังขาร
๕. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ.
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕
๑. รูปูปาทานขันธ์ กองยึดถือรูป
๒. เวทนูปาทานขันธ์ กองยึดถือเวทนา
๓. สัญญูปาทานขันธ์ กองยึดถือสัญญา
๔. สังขารูปาทานขันธ์ กองยึดถือสังขาร
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ กองยึดถือวิญญาณ.

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 200 (เล่ม 16)

[๒๘๐] กามคุณ ๕
๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจักษุ ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร น่าชอบ
ใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยหู.
๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจมูก.
๔. โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยกาย ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
[๒๘๑] คติ ๕
๑. นิรยะ นรก
๒. ติรัจฉายโยนิ กำเนิดเดียรฉาน
๓. เปตติวิสัย ภูมิแห่งเปรต
๔. มนุสสะ มนุษย์
๕. เทวะ เทวดา.
[๒๘๒] มัจฉริยะ ๕
๑. อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่
๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่สกุล
๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหนี่ลาภ
๔. วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ
๕. ธัมมมัจฉริยะ ตระหนี่ธรรม.
[๒๘๓] นิวรณ์ ๕
๑. กามฉันทะ ความพอใจ
๒. พยาบาท ความพยาบาท

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 201 (เล่ม 16)

๓. ถีนมิทธะ ความมีจิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
๕. วิจิกิจฉา ความสงสัย
[๒๘๔] โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน
๒. วิจิกิจฉา ความสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความเชื่อถือด้วยศีล หรือพรต
๔. กามฉันทะ ความพอใจในกาม
๕. พยาบาท ความคิดแก้แค้นผู้อื่น
[๒๘๕] อุทธัมภาคียสังโยชน์ ๕
๑. รูปราคะ ความติดใจในรูป
๒. อรูปราคะ ความติดใจในอรูป
๓. มานะ ความถือตัว
๔. อุทธัจจะ ความคิดพล่าน
๕. อวิชชา ความไม่รู้.
[๒๘๖] สิกขาบท ๕
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์
๒. อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิด
ในกาม
๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการดื่ม

201