No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 172 (เล่ม 16)

บุคคล ๓
๑. เสกขบุคคล บุคคลผู้ยังต้องศึกษา
๒. อเสกขบุคคล บุคคลผู้ไม่ต้องศึกษา
๓. เนวเสกขานาเสกขบุคคล บุคคลผู้ยัง
ต้องศึกษา ก็ไม่ใช่ ผู้ไม่ต้องศึกษาก็ไม่ใช่.
เถระ ๓
๑. ชาติเถระ พระเถระโดยชาติ
๒. ธรรมเถระ พระเถระโดยธรรม
๓. สมมติเถระ พระเถระโดยสมมติ.
บุญกิริยาวัตถุ ๓
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
โจทนาวัตถุ ๓
๑. ทิฏเฐน โจทน์ด้วยได้เห็น
๒. สุเตน โจทน์ด้วยได้ยินได้ฟัง
๓. ปริสงฺกาย โจทน์ด้วยความรังเกียจ.
กามอุบัติ ๓
๑. สัตว์ประเภทที่มีการปรากฏมีอยู่ สัตว์เหล่านั้น ย่อมยังอำนาจ
ให้เป็นไปในกามทั้งหลายที่ปรากฏแล้ว เช่นมนุษย์ เทพบางจำพวก และ
วินิบาตบางจำพวก
๒. สัตว์ประเภทที่นิรมิตกามได้มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นนิรมิตแล้วๆ

172
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 173 (เล่ม 16)

ย่อมยังอำนาจให้เป็นไปในกามทั้งหลาย เช่นเทพเหล่านิมมานรดี
๓. สัตว์ประเภทที่ผู้อื่นนิรมิตกามให้มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นย่อมยัง
อำนาจให้เป็นไปในกามที่ผู้อื่นนิรมิตให้เเล้ว เช่นเทพเหล่าปรนิมมิตวสวดี.
สุขอุบัติ ๓
๑. สัตว์พวกที่ยังความสุขให้เกิดขึ้น ๆ แล้วย่อมอยู่เป็นสุขมีอยู่
เช่นพวกเทพเหล่าพรหมกายิกา
๒. สัตว์พวกที่อิ่มเอิบบริบูรณ์ถูกต้องด้วยความสุขมีอยู่ สัตว์เหล่า
นั้น บางคราวเปล่งอุทานในที่ไหนๆ ว่า สุขหนอ ๆ ดังนี้ เช่นเทพเหล่า
อาภัสสรา
๓. สัตว์พวกที่อิ่มเอิบบริบูรณ์ถูกต้องด้วยความสุขมีอยู่ สัตว์เหล่า
นั้นสันโดษ เสวยความสุขทางจิตอันประณีตเท่านั้น เช่น เทพเหล่า
สุภกิณหา.
ปัญญา ๓
๑. เสกขปัญญ ปัญญาที่เป็นของพระเสขะ
๒. อเสกขปัญญา ปัญญาที่เป็นของพระอเสขะ
๓. เนวเสกขานาเสกขปัญญา ปัญญาที่เป็นของ
พรเสขะก็ไม่ใช่ ของพระอเสขะก็ไม่ใช่.
ปัญญาอีก ๓
๑. จินตามยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการคิด
๒. สุตมยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการฟัง

173
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 174 (เล่ม 16)

๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการอบรม.
อาวุธ ๓
๑. สุตาวุธ อาวุธ คือการฟัง
๒. ปวิเวกาวุธ อาวุธ คือความสงัด
๓. ปัญญาวุธ อาวุธ คือปัญญา.
อินทรีย์ ๓
๑. อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ อินทรีย์ที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติ
ด้วยคิดว่า เราจักรู้ธรรมที่เรายังไม่รู้
๒. อัญญินทรีย์ อินทรีย์ คือความรู้
๓. อัญญาตาวินทรีย์ อินทรีย์ในธรรมที่รู้แล้ว.
จักษุ ๓
๑. มังสจักขุ ตาเนื้อ
๒. ทิพยจักขุ ตาทิพย์
๓. ปัญญาจักขุ ตาคือปัญญา.
สิกขา ๓
๑. อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยิ่ง
๒. อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตยิ่ง
๓. อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญายิ่ง.
ภาวนา ๓
๑. กายภาวนา การอบรมกาย
๒. จิตตภาวนา การอบรมจิต
๓. ปัญญาภาวนา การอบรมปัญญา.

174
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 175 (เล่ม 16)

อนุตตริยะ ๓
๑. ทัสสนานุตตริยะ ความเห็นอย่างยอดเยี่ยม
๒. ปฏิปทานุตตริยะ ความปฏิบัติอย่างยอดเยี่ยม
๓. วิมุตตานุตตริยะ ความพ้นอย่างยอดเยี่ยม.
สมาธิ ๓
๑. สวิตักกวิจารสมาธิ สมาธิที่ยังมีวิตกวิจาร
๒. อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ สมาธิที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร
๓. อวิตักกวิจารสมาธิ สมาธิที่ไม่มีวิตกวิจาร.
สมาธิอีก ๓
๑. สุญญตสมาธิ สมาธิที่ว่างเปล่า
๒. อนิมิตตสมาธิ สมาธิที่หานิมิตมิได้
๓. อัปปณิหิตสมาธิ สมาธิที่หาที่ตั้งมิได้.
โสเจยยะ ๓
๑. กายโสเจยยะ ความสะอาดทางกาย
๒. วจีโสเจยยะ ความสะอาดทางวาจา
๓. มโนโสเจยยะ ความสะอาดทางใจ.
โมนยยะ ๓
๑. กายโนเนยยะ ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางกาย
๒. วจีโมเนยยะ ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางวาจา
๓. มโนโมเนยยะ ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางใจ.

175
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 176 (เล่ม 16)

โกสัลละ ๓
๑. อายโกสัลละ ความเป็นผู้ฉลาดในเหตุแห่งความเจริญ
๒. อปายโกสัลละ ความเป็นผู้ฉลาดในเหตุแห่งความเสื่อม
๓. อุปายโกสัลละ ความเป็นผู้ฉลาดในเหตุแห่งความเจริญ
และความเสื่อม.
มทะ ๓
๑. อาโรคยมทะ ความเมาในความไม่มีโรค
๒. โยพพนมทะ ความเมาในความเป็นหนุ่มสาว
๓. ชาติมทะ ความเมาในชาติ.
อธิปไตย ๓
๑. อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่
๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่
๓. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่.
กถาวัตถุ ๓
๑. ปรารภกาลส่วนอดีต กล่าวถ้อยคำว่า กาลที่ล่วงไปแล้วได้มีแล้วอย่างนี้
๒. ปรารภกาลส่วนอนาคต กล่าวถ้อยคำว่า กาลที่ยังไม่มาถึง จักมีอย่างนี้
๓. ปรารถนากาลส่วนที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในบัดนี้ กล่าวถ้อยคำว่า กาลส่วน
ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าบัดนี้เป็นอยู่อย่างนี้.
วิชชา ๓
๑. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้จักระลึกชาติในก่อนได้
๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จักกำหนดจุติและอุบัติ

176
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 177 (เล่ม 16)

ของสัตว์ทั้งหลาย
๓. อาสวักขยาญาณ ความรู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป.
วิหารธรรม ๓
๑. ทิพพวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของเทวดา
๒. พรหมวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม
๓. อริยวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ.
ปาฏิหาริยะ ๓
๑. อิทธิปาฏิหาริยะ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
๒. อาเทสนาปฏิหาริยะ ดักใจเป็นอัศจรรย์
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริยะ คำสอนเป็นอัศจรรย์.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทอย่างละ ๓ เหล่านี้แล อัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้ว พวกเราทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนา
ไม่ควรแก่งแย่งกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อ
ความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
จบสังคีติหมวด ๓

177
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 178 (เล่ม 16)

ว่าด้วยสังคีติหมวด ๔
[๒๒๙] ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้
โดยชอบแล้วมีอยู่แล พวกเราทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พึงแก่ง
แย่งกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ธรรม ๔ เป็นไฉน. คือ
สติปัฏฐาน ๔
๑. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารเห็น
กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และ
โทมนัส ในโลกเสียได้.
๒. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยได้พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา
และโทมนัส ในโลกเสียได้.
๓. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็น
จิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกเสียได้.
๔. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็น
ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้.

178
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 179 (เล่ม 16)

[๒๓๐] สัมมัปปธาน ๔
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้
เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งใจมั่น เพื่อความไม่
เกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด
๒. ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
ตั้งใจมั่น เพื่อละธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
ตั้งใจมั่น เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
๔. ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
ตั้งใจมั่น เพื่อความตั้งมั่น เพื่อไม่เลือนลาง เพื่อจำเริญยิ่ง เพื่อความ
ไพบูลย์ เพื่อเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว.
[๒๓๑] อิทธิบาท ๔
๑. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ
อิทธิบาท อันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
๒. ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร
๓. ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยจิตสมาธิปธานสังขาร
๔. ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร.
[๒๓๒] ฌาน ๔
๑. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุข เกิด
แต่วิเวกอยู่

179
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 180 (เล่ม 16)

๒. บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอก
ผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิด
แต่สมาธิอยู่
๓. มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะ
ปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
๔. บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุสติบริสุทธิ์อยู่.
[๒๓๓] สมาธิภาวนา ๔
๑. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมมีอยู่.
๒. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่.
๓. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะมีอยู่.
๔. ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นแห่งอาสวะทั้งหลายมีอยู่.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เป็นไฉน. ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานอยู่ สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรมแล้ว

180
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 181 (เล่ม 16)

ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ เป็นไฉน. ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา ตั้งสัญญาว่าเป็นเวลากลางวันไว้
กลางวันอย่างใด กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างใด กลางวันอย่างนั้น.
มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้มีแสงสว่างด้วยประการฉะนี้
สมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ
ได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน. เวทนาทั้งหลาย้อนภิกษุใน
พระรรรมวินัยนี้รู้แล้วย่อมเกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่ย่อมถึงความดับสัญญาทั้งหลาย
อันภิกษุรู้แล้ว ย่อมเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับ วิตกทั้งหลาย อัน
ภิกษุรู้แล้ว ย่อมเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับ สมาธิภาวนานี้อัน
ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ.
ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นไฉน. ภิกษุใน
พระธรรมวินัยนี้ มีปกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปา-
ทานขันธ์ห้าว่า ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป.
ดังนี้เวทนา... ดังนี้สัญญา. . . ดังนี้สังขาร. . . ดังนี้วิญญาณ. ดังนี้ ความเกิด
ขึ้นแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรม
แล้ว ต่ำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความในรูปแห่งอาสวะทั้งหลาย.

181