หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 251 (เล่ม 15)

ปรินิพพาน ๑ ธาตุปรินิพพาน ๑. ในปรินิพพานทั้ง ๓ อย่างนั้น การ
ดับรอบแห่งกิเลสได้มีแล้วที่โพธิบัลลังก์ การดับรอบแห่งขันธ์ได้มีที่เมือง
กุสินารา การดับแห่งธาตุจักมีในอนาคต. ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนา
ทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณ-
ณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีป
ต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาค
ก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณ
เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวม
กันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น
เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ.
ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่า
พระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้
นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากัน
กระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระ
อนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดย
ภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหม
โลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน
เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้ง
หลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อ
ว่าอันตรธานไป. ศาสนายังไม่อันตรธานอย่างนี้ตราบใด ศาสนาจัดว่า
ยังไม่สุดท้ายตราบนั้น. ข้อที่พระศาสดาพึงเกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลังอย่างนี้ย่อม
เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงอุบัติขึ้น

251
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 252 (เล่ม 15)

ไม่ก่อนไม่หลัง ดังนี้. ตอบว่า เพราะความเป็นสิ่งที่ไม่น่าอัศจรรย์. ความ
จริง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์ผู้อัศจรรย์. เหมือนอย่างที่พระองค์
ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอก เมื่อจะอุบัติขึ้นในโลกย่อมอุบัติ
ขึ้นเป็นมนุษย์อัศจรรย์ บุคคลเป็นเอกอย่างไร คือ พระตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า. ก็ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพึงเสด็จอุบัติขึ้นคราวเดียว
กัน ๒ พระองค์บ้าง ๔ พระองค์บ้าง ๘ พระองค์บ้าง ๑๖ พระองค์
บ้างไซร้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็พึงเป็นผู้ที่ไม่น่าอัศจรรย์. แม้พระเจดีย์
สองแห่งในวัดเดียวกัน ลาภสักการะก็ไม่มาก ทั้งภิกษุทั้งหลายก็ไม่น่า
อัศจรรย์ เพราะข้อที่มีอยู่มาก ฉันใด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็พึงเป็นเช่น
นั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงไม่ทรงเสด็จอุบัติขึ้นอย่างนี้.
อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน ก็เพราะความที่เทศนา
ไม่แตกต่างกัน. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงแสดงธรรมแตกต่างกัน
มีสติปัฏฐานเป็นต้นอันใด พระธรรมนั้นนั่นแหละพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น
ซึ่งทรงอุบัติขึ้นแล้วก็พึงแสดง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็จะเป็นผู้ไม่น่าอัศจรรย์.
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวแสดงธรรม แม้พระเทศนาก็เป็นของที่น่าอัศ-
จรรย์. อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่มีการวิ
วาทกัน. ความจริง เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นอันมากเสด็จอุบัติขึ้น ภิกษุทั้งหลาย
พึงวิวาทกันว่า พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายน่าเลื่อมใส พระพุทธเจ้าของ
พวกเรามีพระสุรเสียงไพเราะ มีลาภ และมีบุญ ดังนี้ เหมือนอันเตวาสิกของ
อาจารย์มากองค์. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่ทรงอุบัติขึ้น
อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง เหตุข้อนี้ พระนาคเสนเถระถูกพระยามิลินท์ตรัสถาม
ก็ได้ทูลตอบไว้อย่างพิสดาร. ความจริง ในมิลินทปัญหานั้นพระยามิลินทร์
ตรัสไว้ว่า ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงภาษิตไว้ว่า

252
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 253 (เล่ม 15)

ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส คือ ข้อที่พระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ พึงอุบัติขึ้นไม่ก่อนไม่หลังในโลกธาตุนี้นั้น เป็นฐานะ
ที่จะมีได้ ดังนี้ ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ พระตถาคตทั้งหมดเมื่อจะทรง
แสดงธรรม ย่อมทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และเมื่อจะตรัสก็ย่อม
ตรัสอริยสัจจธรรม ๔ และเมื่อจะทรงให้ศึกษา ย่อมทรงให้ศึกษาในไตร-
สิกขา เมื่อจะทรงพร่ำสอน ก็ทรงพร่ำสอนข้อปฏิบัติ คือความไม่ประมาท
ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ ถ้าพระตถาคตทั้งหมด มีอุทเทศอย่างเดียวกัน มี
กถาอย่างเดียวกัน มีสิกขาบทอย่างเดียวกัน มีอนุสนธิอย่างเดียวกัน เพราะ
เหตุไร พระตถาคต ๒ พระองค์จึงไม่ทรงอุบัติขึ้นในขณะเดียวกัน โลก
นี้เกิดมีแสงสว่างด้วยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า องค์เดียวก่อน ถ้าพระ
พุทธเจ้าองค์ที่สองพึงมีขึ้น โลกนี้พึงทีแสงสว่างขึ้นมามีประมาณยิ่งด้วย
พระรัศมีของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ และพระตถาคตทั้งสองพระองค์
เมื่อจะทรงโอวาทก็พึงโอวาทอย่างสบาย เมื่อจะทรงพร่ำสอนก็พึงพร่ำสอน
อย่างสบาย ขอท่านจงแสดงเหตุในข้อนั้นให้โยมหายสงสัยเถิด. พระ
นาคเสนเถระถวายพระพรว่า มหาบพิตร หมื่นโลกธาตุนี้ ธารไว้ได้ซึ่งพระ
พุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ธารไว้ได้ซึ่งพระคุณของพระตถาคตองค์เดียว
เหมือนกัน ถ้าองค์ที่สองพึงเสด็จอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุนี้ก็พึงธารไว้ไม่ได้
พึงหวั่นไหว สั่นคลอน น้อมไปโอนไป เอียงไป เรี่ยราย กระจัดกระจาย พิ-
นาศไปไม่พึงเข้าถึงการตั้งอยู่ได้ มหาบพิตร เปรียบเสมือนเรือที่รับบุรุษไว้
ได้คนเดียว เมื่อบุรุษคนหนึ่งขึ้นไป เรือพึงตั้งอยู่ได้พอดี ถ้าบุรุษคนที่สองซึ่ง
เป็นเช่นเดียวกันโดยอายุ โดยสี โดยวัย โดยประมาณ โดยอ้วนและผอมโดย
อวัยวะน้อยใหญ่เท่ากัน และบุรุษนั้นพึงขึ้นสู่เรือลำนั้น มหาบพิตร เรือนั้น
จะพึงธารบุรุษทั้งสองนั้นไว้ได้หรือหนอ. พระยามิลินท์ตรัสตอบว่า ท่านผู้

253
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 254 (เล่ม 15)

เจริญ เรือนั้นพึงธารไว้ไม่ได้ พึงหวั่นไหว สั่นคลอน น้อมไป โอนไป เอียงไป
เรี่ยรายกระจัดกระจายไป พินาศไป ไม่พึงเข้าถึงความตั้งอยู่ได้เลย เรือนั้น-
พึงจมลงไปในน้ำแท้ ดังนี้. พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตร ข้อนี้ก็
มีอุปมาฉันนั้นเหมือนกัน หมื่นโลกธาตุนี้ธารพระพุทธเจ้าไว้ได้พระองค์
เดียว ทั้งทรงคุณของพระตถาคตไว้ได้พระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าพระพุทธเจ้า
องค์ที่สองพึงอุบัติขึ้น หมื่นโลกธาตุนี้ก็ธารไว้ไม่ได้ ฯลฯ ไม่พึงเข้าถึงความ
ตั้งอยู่ได้ มหาบพิตร อีกนัยหนึ่ง เปรียบเสมือนบุรุษผู้มีความสุขพึงบริโภค
โภชนะตามความต้องการ คือ เมื่อหิวก็บริโภคเต็มแค่คอ (เต็มอิ่ม)
บุรุษนั้น ก็เอิบอิ่มแน่นท้อง อึดอัด ง่วงเหงาเกิดตัวแข็งแค่คอ (เต็มอิ่ม)
การบริโภคนั้น ในวันรุ่งขึ้นก็บริโภคโภชนะเพียงเท่านั้น มหาบพิตร
บุรุษนั้นจัดว่าเป็นผู้มีความสุขได้หรือไม่ ดังนี้. พระยามิลินท์ตรัสตอบว่า ท่าน
ผู้เจริญ บุรุษนั้นบริโภคคราวเดียวไม่พึงตายได้ ดังนี้. พระนาคเสนถวาย
พระพรว่า มหาบพิตร ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล หมื่นโลกธาตุนี้ธารพระ
พุทธเจ้าไว้ได้พระองค์เดียว ฯลฯ ไม่พึงเข้าถึงความตั้งอยู่ได้เลย ดังนี้. พระ
ยามิลินท์ตรัสว่า พระนาคเสนผู้เจริญ แผ่นดินย่อมไหวด้วยธรรมที่
หนักยิ่ง อย่างไรหนอ. พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตร ในโลก
นี้เกวียน ๒ เล่มบรรจุด้วยรัตนะจนเต็ม จนเสมอปาก คนทั้งหลายก็พากันขน
เอารัตนะของเกวียนเล่มหนึ่งมาเกลี่ยไว้ในเกวียนอีกเล่มหนึ่ง มหาบพิตร
เกวียนเล่มนั้นจะพึงธารรัตนะของเกวียนทั้งสองเล่มนั้นไว้ ได้หรือไม่ ดังนี้.
พระยามิลินท์ ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ เกวียนนั้นย่อมธารไว้ได้แน่ คุม
ของเกวียนนั้นพึงไหว้บ้าง กำของเกวียนนั้นพึงหักไปบ้าง เพลาของเกวียน
นั้นพึงหักไปบ้าง ดังนี้. พระนาคเสนทูลถามว่า เกวียนย่อมหักไปด้วย

254
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 255 (เล่ม 15)

การเขนรัตนะที่มากเกินไปใช่หรือไม่. พระยามิลินท์ตรัสตอบว่า ใช่
แล้ว ท่านผู้เจริญ ดังนี้. พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตร ข้อนี้ก็มี
อุปไมยฉันนั้น เหมือนกันแล แผ่นดินย่อมหวั่นไหวด้วยธรรมะที่หนักยิ่ง.
อีกอย่างหนึ่ง มหาบพิตร เหตุนี้เป็นอันรวมลงในการแสดงพระกำลังของ
พระพุทธเจ้า ขอพระองค์โปรดสดับเหตุอันสมควรอย่างอื่นในการแสดง
กำลังของพระพุทธเจ้านั้น เพราะเหตุอันใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระ
องค์จึงไม่ทรงอุบัติขึ้นในขณะเดียวกัน ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์
พึงเสด็จอุบัติขึ้นในขณะเดียวกันไซร้ การทะเลาะวิวาทแม้ของบริษัทพึง
บังเกิดขึ้น มนุษย์ทั้งหลายก็จะเป็นสองฝักสองฝ่ายโดยกล่าวว่า พระพุทธเจ้า
ของพวกท่าน พระพุทธเจ้าของพวกเรา ดังนี้ มหาบพิตร เปรียบเสมือน
บริษัทของอำมาตย์ผู้มีกำลังสองคนพึงเกิดการวิวาทกัน คนเหล่านั้นก็จะ
เป็นสองฝักสองฝ่าย โดยกล่าวว่า อำมาตย์ของพวกท่าน อำมาตย์ของ
พวกเรา ดังนี้ ฉันใด มหาบพิตร ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้าหากว่าพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์พึงเสด็จอุบัติขึ้นในขณะเดียวกันไซร้ ความ
วิวาทของบริษัทพังบังเกิดขึ้นได้ และมนุษย์ทั้งหลายก็จะเป็นสองฝักสอง
ฝ่าย โดยกล่าวว่า พระพุทธเจ้าของพวกท่าน พระพุทธเจ้าของพวกเรา
ดังนี้ ของพระองค์โปรดได้สดับเหตุข้อที่ ๑ นี้ ด้วยเหตุอันใดพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ จึงไม่ทรงอุบัติขึ้นในขณะเดียวกัน ขอพระองค์
โปรดสดับเหตุอันยิ่งแม้อย่างอื่น ด้วยเหตุอันใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอง
พระองค์ไม่ทรงอุบัติขึ้นในขณะเดียวกัน มหาบพิตร ถ้าพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ๒ พระองค์พึงอุบัติขึ้นในขณะเดียวกัน คำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้
เลิศ ก็ย่อมเป็นคำผิด คำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เจริญที่สุด คำว่าพระพุทธเจ้า

255
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 256 (เล่ม 15)

เป็นผู้ประเสริฐที่สุด คำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้วิเศษที่สุด คำว่า พระพุทธ
เจ้าเป็นผู้สูงสุด คำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ คำว่า พระพุทธเจ้า
ไม่มีผู้เสมอ คำว่า พระพุทธเจ้าหาผู้เสมอเหมือนมิได้ คำว่า พระพุทธเจ้า
ไม่มีผู้เสมอเหมือน คำว่า พระพุทธเจ้าหาบุคคลเปรียบมิได้ คำว่า
พระพุทธเจ้าไม่มีบุคคลเปรียบดังนี้ พึงเป็นคำผิด มหาบพิตร ขอพระ
องค์โปรดทรงยอมรับเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์ ไม่ทรงอุบัติ
ในขณะเดียวกัน โดยผล (ที่นำมาถวายวิสัชนาแล้ว) อีกอย่างหนึ่ง มหา-
บพิตร ข้อที่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวย่อมทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็น
สภาพตามปกติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า
เพราะคุณของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายมีเหตุใหญ่ มหาบพิตร คุณ
อันประเสริฐอย่างใหญ่หลวงอื่นนั้นก็มีข้อเดียวเท่านั้น มหาบพิตร แผ่นดิน
ใหญ่นั้นมีผืนเดียวเท่านั้น สาครใหญ่มีสายเดียวเท่านั้น ภูเขาสิเนรุยอดแห่ง
ภูเขาใหญ่ประเสริฐที่สุดก็มีลูกเดียวเท่านั้น อากาศใหญ่มีแห่งเดียวเท่านั้น
ท้าวสักกะผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น พระพรหมผู้ใหญ่มีองค์เดียวเท่านั้น
พระตถาคตอรหันตสัมพุทธเจ้าผู้ใหญ่ก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น พระ-
องค์เสด็จอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้นก็ไม่มีโอกาสแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
องค์อื่น ฉะนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ย่อมอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้. พระยามิลินท์ได้ตรัสว่า ข้าแต่พระนาคเสน
ผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กล่าวแก้ปัญหาแจ่มแจ้งดีแล้ว ด้วยอุปมาอุปไมย
ทั้งหลาย.
สองบทว่า ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํ ความว่า ปฏิปทาอันเป็นส่วน
เบื้องต้นอันเป็นธรรมสมควรแก่โลกุตตรธรรม ๙ อย่าง บทว่า สหธมฺมิโก
คือ การโต้ตอบซึ่งมีเหตุ.

256
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 257 (เล่ม 15)

บทว่า อายสฺมา อุทายิ ความว่า พระเถระชื่ออุทายีมี ๓ องค์
คือ พระโลฬฺทายี ๑ กาฬุทายี ๑ มหาอุทายี ๑ ในที่นี้ประสงค์เอามหา-
อุทายี. ได้ยินว่า เมื่อท่านพระมหาอุทายีนั้นฟังพระสูตรนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ปีติมีวรรณะ ๕ เกิดขึ้นในภายใน ย่อมแผ่ไปตั้งแต่หลังเท้าขึ้นไปสู่กระ-
หม่อม ตั้งแต่กระหม่อม แผ่ลงมายังหลังเท้า แต่ข้างทั้งสองมารวามลง
ในท่ามกลาง ตั้งแต่ท่ามกลางก็แผ่ไปโดยข้างทั้งสอง. พระมหาอุทายีนั้น
อันปีติถูกต้องทั่วสรีระ เมื่อจะกล่าวคุณของพระทศพลด้วยโสมนัสอันมีกำลัง
จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. ความเป็นผู้หมด
ตัณหา ชื่อว่า ความเป็นผู้มักน้อย. ความพอใจด้วยอาการ ๓ อย่างในปัจจัย ๔
ชื่อว่า ความเป็นผู้สันโดษ. ความขัดเกลากิเลสทุกอย่างชื่อ ความเป็นผู้ขัด
เกลา. บทว่า ยตฺร หิ นาม คือ โย หิ นาม. บทว่า น อตฺตานํ ปาตุกริสฺสติ
ความว่า ไม่ทรงกระทำคุณของพระองค์ให้ปรากฏ. บทว่า ปฏากํ ปริหเร-
ยฺยุํ ความว่า พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายเมื่อจะกล่าวว่า ใครเป็นผู้
เช่นเดียวกันกับเรามีไหม ดังนี้ ก็ยกธงแผ่นผ้าขึ้นเที่ยวไปยังเมืองนาลัน-
ทา. ด้วยหลายบทว่า ปสฺสโข ตฺวํ อุทายี ตถาคตสฺส อปฺปิจฺฉตา นี้ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับคำของพระเถระว่า ดูก่อนอุทายี เธอจงดูตถาคต
มีความมักน้อยเช่นใด. หากมีคำถามว่า เพราะเหตุไร พระตถาคตจึง
ไม่ทรงกระทำพระองค์ให้ปรากฏ ทั้งไม่ตรัสคุณของพระองค์. พึงตอบว่า
ไม่ตรัสก็หาไม่ พระองค์ไม่ตรัสคำที่ควรตรัส ด้วยคุณมีความเป็นผู้
ปรารถนาน้อยเป็นต้น เพราะเหตุแห่งลาภมีจีวรเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น
พระองค์จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนอุทายี เธอจงดูความปรารถนาน้อยของ
ตถาคต. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้ตรัสไว้ด้วยอำ-
นาจเวไนยสัตว์. เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ว่า

257
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 258 (เล่ม 15)

อาจารย์ของเราไม่มี บุคคลผู้เช่นกับเราก็ไม่มี บุคคลผู้
เปรียบด้วยเราย่อมไม่มี ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
คาถาก็ดี พระสูตรก็ดี เป็นอันมากที่เป็นเครื่องแสดงพระคุณของ
พระตถาคตก็ควรให้พิสดาร อย่างนี้.
บทว่า อภิกฺขณํ ภาเสยฺยาสิ คือ เธอพึงกล่าวบ่อย ๆ. อธิบายว่า
อย่าได้กล่าวในเวลาเที่ยวเป็นต้น เพราะคิดว่า เราได้กล่าวในเวลาเช้าแล้ว
หรืออย่าได้กล่าวในวันมะรืนนี้เป็นต้น เพราะคิดว่า เราได้กล่าวในวันนี้
แล้ว.
บทว่า ปเวเทสิ คือ กล่าวแล้ว. สองบทว่า อิมสฺส เวยฺยากรณสฺส
ความว่า พระสูตรนี้ท่านกล่าวว่า ไวยากรณ์ เพราะไม่มีคาถา. คำว่า
อธิวจนํ คือ ชื่อ. ก็คำนี้ พระสังคีติกาจารย์ตั้งบทไว้ตั้งแต่ คำว่า อิติ หิทํ.
คำที่เหลือในทุก ๆ บท มีเนื้อความชัดเจนแล้วแท้ฉะนี้แล.
จบ พรรณนาความของสัมปสาทนียสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อ
ว่าสุมังคลวิลาสินี ด้วยประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร ที่ ๕

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 259 (เล่ม 15)

๖. ปาสาทิกสูตร
เรื่องนิคัณฐนาฏบุตรถึงแก่กรรม
[๙๔] ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระเจ้า) ได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทในสวนอัม-
พวันของพวกศากยะ มีนามว่า เวธัญญา ในแคว้นสักกะ. ก็สมัยนั้น
นิคัณฐนาฏบุตร ได้ถึงแก่กรรมที่เมืองปาวา ไม่นานนัก. เพราะนิคัณฐ-
นาฏบุตรนั้นได้ถึงแก่กรรม พวกนิครณฐ์ จึงแตกกัน ได้แตกแยกกัน
เป็นสองฝ่าย เกิดบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันขึ้น ทิ่มแทงกันและ
กันด้วยหอกคือปากอยู่ว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัย
นี้ ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติ
ถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควร
จะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับ
กล่าวก่อน สิ่งที่ท่านช่ำชองได้ผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้
แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย หรือจงแก้ไขเสีย ถ้า
สามารถ. เห็นจะมีแต่ความตายเท่านั้น จะเป็นไปในพวกอันเตวาสิกของนิ-
ตัณฐนาฏบุตร. พวกสาวกของนิคัณฐนาฏบุตรเหล่าใดที่เป็นคฤหัสถ์นุ่งขาว
ห่มขาว พวกสาวกเหล่านั้นมีอาการเบื่อหน่าย คลาดความรัก รู้สึกท้อถอยใน
พวกอันเตวาสิกของนิคัณฐนาฏบุตร โดยเหตุที่ธรรมวินัยที่นิคัณฐนาฏบุตร
กล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่เป็นธรรมวินัย ที่นำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 260 (เล่ม 15)

ได้ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ มิใช่ธรรมวินัยอันพระสัมมาสัมพุทธะประกาศ
ไว้ เป็นธรรมวินัยที่ถูกทำลายเสียแล้ว เป็นธรรมวินัยอันไม่มีที่พึ่งอาศัย.
[๙๕] ครั้งนั้น พระจุนทสมณุเทสจำพรรษาอยู่ในเมืองปาวาได้
เข้าไปหาท่านพระอานนทเถระซึ่งอยู่ในสามคาม ครั้นเข้าไปหาแล้วได้
กราบไหว้ท่านพระอานนทเถระเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้น
แล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนทเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า นิคัณฐ-
นาฎบุตร ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วที่เมืองปาวา เมื่อไม่นานมานี้ เพราะนิคัณฐ-
นาฏบุตรถึงแก่กรรม พวกนิครณฐ์แตกกัน เกิดแยกเป็นสองพวก ฯลฯ
โดยเหตุที่ธรรมวินัยที่นิคัณฐนาฏบุตรกล่าวไว้ไม่ดี ประกาศไว้ไม่ดี ไม่
เป็นธรรมวินัยที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ
ไม่ใช่ธรรมวินัยที่ท่านผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะประกาศไว้ เป็นธรรมวินัยที่ถูกทำ
ลายเสียแล้ว เป็นธรรมวินัยไม่มีที่พึ่งอาศัย. เมื่อพระจุนทสมณุเทสกล่าว
อย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะพระจุนทสมณเทสว่า ดูก่อนอาวุโส
จุนทะ มีมูลเหตุแห่งถ้อยคำนี้ เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า อาวุโสจุนทะมา
เถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่ประทับ แล้วพึงกราบทูล
เรื่องนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระจุนทาสมณุเทสรับคำของท่าน
พระอานนทเถระเจ้าแล้ว.
ครั้งนั้น ท่านพระอานนทเถระเจ้า และพระจุนทสมณุเทส ได้
พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ได้กราบถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระอานนท-

260