เพราะธาตุเหล่านี้หนาแน่น สิ่งนี้ จึงเป็นอย่างนี้ จึงทรงเป็นผู้ปราศจากการถาม
อย่างไร ๆ โดยแท้. และสำหรับพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงเหมือนผู้ที่ได้ฌานที่ ๑
เป็นต้น มีความสงสัยในฌานที่ ๒ เป็นต้น และถึงแม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็
ยังมีความสงสัยด้วยอำนาจโวหารอยู่โดยแท้ เพราะยังไม่มีการตกลงใจตามความ
เป็นจริงด้วยสัพพัญญุตญาณ ท้าวสักกะท่านจึงทรงแสดงว่า ก็แลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงปราศจากการถามว่าอย่างไร ๆ ในทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนี้.
บทว่า จบความคิดแล้ว คือ พระศาสดาของเราไม่เหมือนคน
บางคนที่ไปจบความคิด คือเต็มมโนรถเอาแค่ศีล บ้างก็แค่วิปัสสนา บ้างก็
แค่ฌานที่ ๑ ฯลฯ บ้างก็ด้วยเนวสัญญานาสัญญาสมาบัติ บ้างก็แค่ความเป็นพระ
โสดาบัน บ้างด้วยอรหัตตมรรค บ้างด้วยสาวกบารมีญาณ บ้างด้วยปัจเจก
โพธิญาณ. ท้าวสักกะ ทรงชี้ว่า ส่วนพระศาสดาของเรา ทรงจบความคิดด้วย
สัพพัญญุตญาณ. บทว่า อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยั เป็นปฐมาวิภัติลง
ในอรรถแห่งตติยาวิภัติ. อธิบายว่า ทรงข้ามความสงสัยได้ ทรงปราศจาก
การถามว่าอย่างไร ๆ ทรงสิ้นสุดความคิด ด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้น
พรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอย่างยิ่ง คือเป็นที่อาศัยชั้นสูงสุด และด้วยอริยมรรค
อันเป็นพรหมจรรย์เก่าแก่. แม้ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบความคิด
ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยอริยมรรคนั่นแหละ เพราะพระบาลีว่าตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
ด้วยพระองค์เองในสิ่งที่ไม่ทรงได้ฟังมาก่อน และทรงบรรลุความเป็นผู้ทรงรู้
ทุกอย่างในสิ่งเหล่านั้น และทรงบรรลุแม้ความเป็นผู้ชำนิชำนาญในธรรมอัน
เป็นกำลังทั้งหลาย
บทว่า เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเทียว คือ พระผู้มี-
พระภาคเจ้านั่นแลฉันใด. คนทั้งหลายหวังอยู่พูดว่า โอ้หนอ! พระชินเจ้า