No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 52 (เล่ม 14)

เพราะธาตุเหล่านี้หนาแน่น สิ่งนี้ จึงเป็นอย่างนี้ จึงทรงเป็นผู้ปราศจากการถาม
อย่างไร ๆ โดยแท้. และสำหรับพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงเหมือนผู้ที่ได้ฌานที่ ๑
เป็นต้น มีความสงสัยในฌานที่ ๒ เป็นต้น และถึงแม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็
ยังมีความสงสัยด้วยอำนาจโวหารอยู่โดยแท้ เพราะยังไม่มีการตกลงใจตามความ
เป็นจริงด้วยสัพพัญญุตญาณ ท้าวสักกะท่านจึงทรงแสดงว่า ก็แลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงปราศจากการถามว่าอย่างไร ๆ ในทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนี้.
บทว่า จบความคิดแล้ว คือ พระศาสดาของเราไม่เหมือนคน
บางคนที่ไปจบความคิด คือเต็มมโนรถเอาแค่ศีล บ้างก็แค่วิปัสสนา บ้างก็
แค่ฌานที่ ๑ ฯลฯ บ้างก็ด้วยเนวสัญญานาสัญญาสมาบัติ บ้างก็แค่ความเป็นพระ
โสดาบัน บ้างด้วยอรหัตตมรรค บ้างด้วยสาวกบารมีญาณ บ้างด้วยปัจเจก
โพธิญาณ. ท้าวสักกะ ทรงชี้ว่า ส่วนพระศาสดาของเรา ทรงจบความคิดด้วย
สัพพัญญุตญาณ. บทว่า อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยั เป็นปฐมาวิภัติลง
ในอรรถแห่งตติยาวิภัติ. อธิบายว่า ทรงข้ามความสงสัยได้ ทรงปราศจาก
การถามว่าอย่างไร ๆ ทรงสิ้นสุดความคิด ด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้น
พรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอย่างยิ่ง คือเป็นที่อาศัยชั้นสูงสุด และด้วยอริยมรรค
อันเป็นพรหมจรรย์เก่าแก่. แม้ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบความคิด
ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยอริยมรรคนั่นแหละ เพราะพระบาลีว่าตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย
ด้วยพระองค์เองในสิ่งที่ไม่ทรงได้ฟังมาก่อน และทรงบรรลุความเป็นผู้ทรงรู้
ทุกอย่างในสิ่งเหล่านั้น และทรงบรรลุแม้ความเป็นผู้ชำนิชำนาญในธรรมอัน
เป็นกำลังทั้งหลาย
บทว่า เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเทียว คือ พระผู้มี-
พระภาคเจ้านั่นแลฉันใด. คนทั้งหลายหวังอยู่พูดว่า โอ้หนอ! พระชินเจ้า

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 53 (เล่ม 14)

สี่พระองค์พึงเที่ยวจาริกแสดงธรรมในทิศทั้งสี่บนพื้นชมพูทวีปเดียว ต่อมาคน
พวกอื่น หวังการเสด็จท่องเที่ยวไปด้วยกัน ในสามมณฑล ก็กล่าวว่า พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าสามพระองค์. คนอีกพวกหนึ่งคิดอยู่ว่า การบำเพ็ญพระบารมี
จนครบสิบทัศแล้ว เกิดพระพุทธเจ้า ๔ หรือ ๓ พระองค์ขึ้นมา ยากที่จะได้
แต่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว พึงประทับประจำแสดงธรรม พระสัม-
มาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเสด็จท่องเที่ยวไป แม้เมื่อเช่นนี้ ชมพูทวีป ก็จะพึง
งดงามและพึงบรรลุหิตสุขเป็นอันมากด้วยเป็นแน่จึงกล่าวว่า โอ้หนอ! ท่าน
ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า นี้ไม่ใช่ฐานะ นี้ไม่ใช่โอกาส ดังต่อ
ไปนี้. คำทั้งสองนี้ คือ ฐานะ อวกาส เป็นชื่อของการณ์นั่นแหละ. จริงอยู่การณ์
(เหตุ) ชื่อว่า ฐานะ เพราะผลย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น เพราะความที่ผลเป็นของเป็น
ไปเกี่ยวเนื่องกับเหตุนั้น และเหตุนั้นก็เป็นเหมือนโอกาส จึงชื่อว่า อวกาส
เพราะความที่ผลนั้น เว้นโอกาสนั้นเสียไม่มีในที่อื่น. บทว่า ยํ เป็นปฐมา-
วิภัติลงในอรรถตติยาวิภัติ. มีคำที่ท้าวสักกะทรงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ในโลกธาตุ
เดียว พระพุทธเจ้าสองพระองค์พึงทรงเกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วยเหตุใด เหตุนั้น
ไม่มี. และจักรวาลหนึ่งเท่านั้น ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุ ในคาถานี้ว่า
พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจร
ส่องทิศให้สว่างไสวมีประมาณเท่าใด โลก
ตั้งพันก็เท่านั้น อำนาจของพระองค์ย่อม
เป็นไปในพันโลกนั้น.
พันจักรวาล ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุในอนาคตสถานว่า พันโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้ว.
ติสหัสสีจักรวาล มหาสหัสสีจักรวาล ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุในที่มาว่า อานนท์
ตถาคตเมื่อต้องการจะพึงใช้เสียงให้ติสหัสสีโลกธาตุ มหาสหัสสีโลกธาตุเข้าใจ

53
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 54 (เล่ม 14)

ก็ได้ และแผ่รัศมีไปก็ได้. หมื่นจักรวาลชื่อว่าโลกธาตุในที่มาว่า และหมื่นโลก
ธาตุนี้ . พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงหมายถึงหมื่นโลกธาตุนั้น ตรัสว่าใน
โลกธาตุหนึ่ง ดังนี้ . ก็ที่เท่านี้ ชื่อว่าเขตแห่งพระชาติ. ถึงในเขตแห่ง
พระชาตินั้น ยกเว้นประเทศส่วนกลางแห่งชมพูทวีปในจักรวาลนี้เสียแล้วใน
ประเทศอื่นพระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ทรงเกิดขึ้นไม่ ก็แหละพ้นจากเขตแห่ง
พระชาติไป ไม่ปรากฏที่เสด็จเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย.
บทว่า ด้วยประโยชน์อันใด คือด้วยประโยชน์แห่งปวารณา
สงเคราะห์ใด.
บทว่า ด้วยวรรณะและด้วยยศนั่นเทียว ความว่า ด้วยเครื่อง
แต่งตัวและบริวาร และด้วยบุญสิริ. สาธุศัพท์เป็นไปในความเลื่อมใสในบท
นี้ว่า สาธุท่านมหาพรหม. บทว่า พิจารณาแล้วยินดี คือรู้แล้วจึงยินดี.
ใคร ๆ ไม่สามารถกำหนดว่า เท่านี้ แล้ว กล่าวได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มานานเพียงไรแล้วเทียว ที่แท้พระผู้มี
พระภาคเจ้าของพวกเราพระองค์นั้น ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มานาน คือนาน
เหลือเกินมาแล้ว เพราะฉะนั้นพวกท่านจะสำคัญอย่างไร ทีนั้น สนังกุมาร
พรหม มีความประสงค์จะแก้ปัญหานั้นด้วยพระองค์เองทีเดียว จึงตรัสว่า
ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีทำลายยอดมารทั้งสามที่โพธิบัลลังก์ ทรงมีพระญาณ
ที่ไม่ทั่วไปซึ่งทรงแทงตลอดแล้ว พึงกลายเป็นผู้ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่ใน
บัดนี้ อัศจรรย์อะไรในข้อนี้. แต่เพื่อนเอ๋ย ข้าพเจ้าจักบอกพวกท่านถึง
ความที่พระองค์ยังดำรงอยู่ในประเทศญาณแห่งพระโพธิญาณที่ยังไม่แก่กล้าก็
ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่จริง ๆ แม้ในเวลาที่ยังทรงมีราคะเป็นต้น เมื่อจะทรง
นำเอาเหตุการณ์ที่ถูกภพปิดมาแสดงจึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภูคปุพฺพํ โภ ดังนี้ .

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 55 (เล่ม 14)

คำว่า ปุโรหิต คือ ที่ปรึกษาสำหรับพร่ำสอนกิจทุกอย่าง. บทว่า
โควินท์ คือได้รับอภิเษกด้วยการอภิเษกให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน. ก็โดยปกติ
เขามีชื่อเป็นอย่างอื่นแท้ๆ. ตั้งแต่เวลาได้รับอภิเษกแล้ว ก็ถึงการนับว่าโควินท์.
คำว่า โชติบาล คือชื่อว่า โชติบาล เพราะรุ่งเรืองและเพราะรักษา.
ได้ยินมาว่า ในวันที่โชติบาลเกิดนั้น อาวุธทุกชนิดลุกโพลง. แม้
พระราชาเมื่อทรงเห็นพระแสงมังคลาวุธของพระองค์ลุกโพลง ในเวลาใกล้สว่าง
ก็ทรงกลัวประทับยืนแล้ว. โควินท์ไปเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่ กราบทูลถามการ
บรรทมเป็นสุข. พระราชาตรัสตอบว่า ท่านอาจารย์ ฉันจะนอนเป็นสุขแต่
ที่ไหน แล้วก็ทรงบอกเหตุนั้น. มหาราช อย่าทรงกลัวเลย ลูกชาย
ข้าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ด้วยอานุภาพของเขา อาวุธทั้งหลาย ลุกโพลง ทั่ว
ทั้งพระนคร. พระราชาทรงคิดว่า เด็กนี้จะพึงเป็นศัตรูแก่เราหรือหนอ
แล้วก็ยิ่งทรงกลัว. และเมื่อทรงถูกทูลถามว่า มหาราช พระองค์ทรงคิด
อะไร ? ก็ตรัสบอกข้อความนั้น. ที่นั้นโควินท์ได้กราบทูลพระองค์ว่า
มหาราช อย่าทรงกลัวไปเลย เด็กนี้จักไม่ทำร้ายพระองค์ แต่ว่าในชมพูทวีป
ทั้งสิ้น จักไม่มีใครมีปัญญาเท่าเขา ความสงสัยของมหาชน จักขาดสิ้น เพราะ
คำของลูกชายของข้าพระพุทธเจ้า และเขาจักพร่ำสอนกิจทุกอย่างแด่พระองค์
แล้วก็ปลอบโยนพระองค์. พระราชาทรงพอพระทัยตรัสว่า จงเป็นค่าน้ำนม
ของเด็ก แล้วพระราชทานทรัพย์พันหนึ่ง ตรัสสั่งว่า จงแสดงเด็กแก่เรา ใน
เวลาเป็นผู้ใหญ่. เด็กถึงความเติบโตโดยลำดับ . เพราะความที่เด็กนั้นเป็นผู้
รุ่งเรืองและเป็นผู้สามารถในการรักษา พ่อแม่จึงตั้งชื่อว่า โชติบาล. เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โชติบาล เพราะความรุ่งเรือง และเพราะการรักษา
ดังนี้.

55
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 56 (เล่ม 14)

บทว่า ละได้อย่างถูกต้อง คือสละได้โดยชอบ. หรือบทว่า
ได้โดยชอบ นี่เอง เป็นปาฐะ. บทว่า เป็นผู้สามารถเห็นและไตร่ตรอง
ข้อความ คือเพราะเป็นผู้สามารถ อาจหาญ เป็นผู้เห็นข้อความ จึงชื่อว่าเป็น
ผู้สามารถเห็นข้อความ ชื่อว่าเป็นผู้สามารถเห็นและไตร่ตรองข้อความ เพราะ
ย่อมไตร่ตรองข้อความนั้น . ด้วยบทว่า อันโชติบาลมาณพนั่นแหละพึงพร่ำ
สอนท่านแสดงว่า แม้พระราชานั้นก็ทรงถามโชติบาลนั่นแล แล้วจึงทรงปก-
ครอง. บทว่า ขอความเจริญจงมีกะโชติบาลผู้เจริญ ความว่า ความเป็น
ความเจริญ ความบรรลุคุณวิเศษ ความดีงามและมหามงคลทั้งหมดจงมีแก่
โชติบาลผู้เจริญ.
บทว่า ถ้อยคำนำให้เกิดความบันเทิง คือ จบคำปฏิสันถารอัน
เป็นเครื่องบรรเทาโศก เกี่ยวกับความตายโดยนัยเป็นต้นว่า อย่าเลยมหาราช
อย่าทรงคิดเลย นี่เป็นของแน่นอนสำหรับสรรพสัตว์. บทว่า โซติบาลผู้เจริญ
อย่าให้เราเสื่อมจากคำพร่ำสอน ความว่า อย่าให้เสื่อมเสียจากคำพร่ำสอน.
อธิบายว่า เมื่อถูกขอร้องว่า จงพร่ำสอน ก็อย่าบอกเลิกพวกเราจากคำพร่ำ
สอนด้วยพูดว่า ข้าพเจ้าจะไม่พร่ำสอน. บทว่า จัดแจง คือจัดแจง แต่งตั้ง.
บทว่า พวกคนกล่าวอย่างนี้ ความว่า เมื่อพวกคนเห็นโชติบาล
นั้นมีปัญญามากกว่าพ่อ พร่ำสอนกิจทุกชนิด จัดการงานทุกอย่าง ก็มีจิตยินดี
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญโควินทพราหมณ์หนอ ท่านผู้เจริญ มหาโควินท
พราหมณ์หนอ มีคำที่ท่านอธิบายอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ โควินทพราหมณ์
เป็นบิดาของคนนี้ ส่วนคนนี้ เป็นมหาโควินทพราหมณ์.
บทว่า กษัตริย์ ๖ องค์นั้น โดยที่ใด คือ กษัตริย์ ๖ องค์ที่ท่าน
กล่าวว่า สหายเหล่านั้นใด. เล่ากันมาว่า กษัตริย์เหล่านั้น ร่วมพระบิดากับ
เจ้าชายเรณุ ทรงเป็นน้อง เพราะฉะนั้น มหาโควินท์จึงคิดว่า เจ้าชายเรณุนี้

56
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 57 (เล่ม 14)

ทรงได้รับอภิเษกแล้ว จะแบ่งหรือไม่แบ่งราชสมบัติแก่กษัตริย์ทั้ง ๖ องค์นั้น
ถ้าไฉนเราต้องส่งกษัตริย์เหล่านั้น ไปสู่สำนักของเจ้าชายเรณุโดยทันทีแล้วทำ
ให้เจ้าชายเรณุ ทรงรับคำมั่นให้ได้แล้ว จึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ทั้ง ๖ องค์นั้นยังที่
ประทับ. บทว่า ผู้ทำของพระราชา ได้แก่พวกข้าราชการ คือพวก
อำมาตย์. บทว่า กามทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งความเคลิบเคลิ้ม หมายความ
ว่า การทั้งหลายทำให้เมา ทำให้ประมาท อธิบายว่า เมื่อเวลาล่วงไป ๆ
เจ้าชายเรณุนี้ จะไม่พึงสามารถแม้เพื่อตามระลึกถึง. เพราะฉะนั้น ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลายจึงมา คือจงดำเนินมา. บทว่า ท่าน ข้าพเจ้ายังจำได้ คือเขาว่า
ครั้งนั้นเป็นเวลาที่พวกคนชอบพูดความจริงกัน เพราะฉะนั้น เจ้าชายเรณุจึง
ไม่ตรัสคำไม่จริงว่า ข้าพเจ้าพูดเมื่อไร ใครได้เห็น ใครได้ยิน (แต่) ตรัส
ว่า ท่าน ข้าพเจ้ายังจำได้.
บทว่า ถ้อยคำที่พึงบันเทิง คือ ถ้อยคำต้อนรับเห็นปานนี้ว่า
มหาราช เมื่อพระราชาเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์อย่าไปทรงคิดอะไร นี่
เป็นสิ่งแน่นอนของสรรพสัตว์ สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้. บทว่า ตั้งเป็น
หน้าเกวียนทั้งหมด คือ ตั้งหมดทั้ง ๖ แคว้น เป็นทางเกวียน. พระราชา
แต่ละองค์มีราชสมบัติสามร้อยโยชน์ ประเทศที่เป็นที่รวมแห่งราชสมบัติของ
พระเจ้าเรณุสิบคาวุต. ก็ราชสมบัติของพระเจ้าเรณุอยู่ตรงกลางเช่นกับเพดาน
ทำไมจึงตั้งไว้อย่างนี้ กษัตริย์ทั้งหลายเมื่อมาเฝ้าพระราชาเป็นบางครั้งบาง
คราว จักไม่ทรงเบียดเบียนราชสมบัติของกษัตริย์องค์อื่น ทรงมาและไปโดย
ประเทศของตน ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อทรงหยั่งลงสู่ราชสมบัติขององค์อื่นแล้ว
ตรัสอยู่ว่า พวกท่านจงให้อาหาร จงให้โค พวกมนุษย์ก็จะยกโทษ พระราชา
เหล่านี้ไม่เสด็จไปทางแว่นแคว้นของตน ๆ ย่อมทรงกระทำการเบียดเบียนพวก
เรา. แต่เมื่อเสด็จไปทางแว่นแคว้นของตน พวกคนก็ย่อมไม่สำคัญการเบียด

57
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 58 (เล่ม 14)

เบียนว่า พระราชองค์นี้จะต้องได้สิ่งนี้และสิ่งนี้ไปจากสำนักของพวกเราทีเดียว.
มหาโควินท์คำนึงถึงข้อนี้ จึงตั้งไว้อย่างนี้ว่า เมื่อพวกพระราชาทรงบันเทิง
พร้อมกันจงครอบครองราชสมบัติให้ยืนนานเถิด ดังนี้ นคร ๗ แห่งนี้ คือ
ทันตปุระแห่งแคว้นกลิงค์ โปตนะ
แห่งแคว้นอสัสกะ มาหิสสดีแห่งแคว้น
อวันตี โรรุกะแห่งแคว้นโสจิระ มิถิลาแห่ง
แคว้นวิเทหะ และสร้างจัมปาในแคว้น
อังคะและพาราณสีแห่งแคว้นกาสี เหล่านี้
โควินท์ สร้างไว้แล้ว
อันมหาโควินท์นั่นแหละสร้างไว้เพื่อประโยชน์แก่พระราชา พระนามเหล่านี้คือ
สัตตภู พรหมทัตต์ เวสสภู พร้อมกับ
ภรตะ เรณุ และสองธตรฐะ ทั้ง ๗ องค์นี้
ได้เป็นผู้ทรงภาระในครั้งนั้น
เป็นพระนามแม้แห่งพระราชาทั้งเจ็ดพระองค์เหล่านั้น. จริงอยู่ในเจ็ด
พระองค์เหล่านั้น ได้แก่องค์เหล่านี้ คือ สัตภู ๑ พรหมทัตต์ ๑ เวสสภู ๑
พร้อมกับเวสสภูนั้นแล คือ ภรตะ ๑ เรณุ ๑ ส่วนธตรฐะมีสองพระองค์. บทว่า
ทั้ง ๗ องค์ทรงมีภาระ คือ ทรงเป็นผู้มีพระภาระ ได้แก่ทรงเป็นมหาราช
ในพื้นชมพูทวีป.
จบ การพรรณนาในปฐมภาณวาร
บทว่า เข้าไปหา คือ พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ทรงพระดำริว่า
อิสริยสมบัตินี้ สำเร็จแล้วแก่พวกเรา ไม่ใช่ด้วยอานุภาพแห่งคนอื่น แต่ด้วย

58
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 59 (เล่ม 14)

อานุภาพของมหาโควินท์ มหาโควินท์ไคทำให้พวกเราเหล่า ๗ ราชาพร้อม
เพรียงกัน แต่งตั้งพวกเราในพื้นชมพูทวีป ก็แล พวกเราไม่ง่ายที่จะทำการ
ตอบสนองแก่มหาโควินท์ผู้เป็นบุรพูปการี มหาโควินท์นี้แลจงพร่ำสอนพวกเรา
แม้ทั้ง ๗ คน พวกเราจะให้มหาโควินท์นี้แลเป็นแม่ทัพและเป็นที่ปรึกษา
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราคงจะมีความเจริญแน่ แล้วก็เข้าไปหา. ถึงมหาโควินท์
ก็คิดว่า เราได้ทำให้พระราชาเหล่านี้สมัครสมานกันแล้ว. หากว่าพระราชา
เหล่านี้จักมีคนอื่นเป็นแม่ทัพและเป็นที่ปรึกษา แต่นั้นพระราชาเหล่านั้นก็จักทรง
ถือถ้อยคำของแม่ทัพและที่ปรึกษาของตน ๆ แล้วแตกกัน เราจะยอมรับทั้ง
ตำแหน่งแม่ทัพและตำแหน่งที่ปรึกษาของพระราชาเหล่านี้แล้วรับว่า อย่างนั้น
พระเจ้าข้า.
บทว่า และพราหมณ์มหาศาล ๗ คน คือ มหาโควินท์มาคิด
ว่า เราจะพึงอยู่เฉพาะพระพักตร์หรือไม่ก็ตาม ในที่ทุกแห่ง พระราชาเหล่านี้
จักทรงปฏิบัติหน้าที่โดยประการที่เราจักไม่อยู่เฉพาะพระพักตร์ได้ แล้วก็แต่ง
ตั้งรองที่ปรึกษาไว้ ๗ คน ท่านหมายเอารองที่ปรึกษา ๗ คนนั้น จึงกล่าว
คำนี้ว่า และพราหมณ์มหาศาล ๗ คน ดังนี้. ชื่อว่าผู้อาบ เพราะอาบน้ำ
วันละสามครั้ง หรืออาบในตอนเย็นและตอนเช้าทุกวัน หรือชื่อว่าอาบแล้ว
ในเพราะจบการพระพฤติพรต. ชื่อว่าผู้อาบ เพราะตั้งแต่นั้น พวกพราหมณ์
ไม่กินไม่ดื่มร่วมกับพวกพราหมณ์ด้วยกัน .
บทว่า ฟุ้งไป แปลว่า ขึ้นไปสูงอย่างยิ่ง เล่ากันมาว่า ครั้งนั้น
ถ้อยคำนี้แลเป็นไปแล้วแก่คนทั้งหลายในที่ที่นั่งแล้ว ๆ (ในที่นั่งทุกแห่ง) ว่า
คนเราเมื่อได้ปรึกษากับพรหมแล้วก็จะพร่ำสอนได้หมดทั้งชมพูทวีป. บทว่า
แต่เราไม่เลย ความว่า ได้ยินว่า มหาบุรุษ คิดว่า คุณที่ไม่เป็นจริงนี้เกิด
แก่เราแล้ว ก็แลการเกิดคุณขึ้นไม่ใช่ของหนักหนาอะไร แต่การรักษาคุณที่

59
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 60 (เล่ม 14)

เกิดขึ้นแล้วนั่นแล เป็นของหนัก. อนึ่งทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้คิดไม่ได้ปรึกษากระทำ
อยู่ คุณนี้ก็เกิดขึ้นแล้วเทียว ก็เมื่อเราคิดแล้วปรึกษาแล้วจึงทำ คุณก็จักยิ่งกว้าง
ใหญ่เป็นแน่ แล้วก็แสวงหาอุบายในการเห็นพรหม เมื่อได้เห็นพรหมนั้นแล้ว
ก็ปริวิตกถึงข้อนี้เป็นต้นว่า ก็แลข้อนั้นเราได้ฟังมาแล้ว ดังนี้. บทว่า เข้า
เฝ้าพระเจ้าเรณุถึงที่ประทับ ความว่า มหาโควินท์มาคิดว่า ความต้องการ
เพื่อจะเฝ้า หรือความต้องการ เพื่อจะสนทนากันในระหว่างอย่างนั้นจักไม่มีเลย
เพราะเราตัดความกังวลได้แล้ว จักอยู่สบาย ดังนี้ จึงเข้าเฝ้าเพื่อตัดความกังวล
ให้ขาด. ทุกแห่งก็นัยนี้. บทว่า พวกเช่นกัน คือหญิงมีวรรณะเสมอกัน
มีชาติเสมอกัน.
บทว่า ให้สร้างสัณฐาคารหลังใหม่ คือ ให้สร้างที่อยู่อย่างวิจิตร
เอาต้นอ้อมาล้อมข้างนอกมีที่พักกลางคืนที่พักกลางวันและที่จงกรม พร้อม
บริบูรณ์เหมาะสำหรับอยู่ในฤดูฝน ๔ เดือน บทว่า เพ่งกรุณาฌาน คือ
เพ่งฌานทั้งหมวดสามและหมวดสี่แห่งกรุณา. ก็ในบทว่า เพ่งกรุณาฌาน
นี้ ด้วยมุขคือกรุณา ก็เป็นอันว่าพรหมวิหารที่เหลืออีกสามข้อท่านถือเอาแล้ว
เทียว. บทว่า ความกระสัน ความสะดุ้ง ความว่า เมื่ออยู่ในภูมิฌาน
ไม่ว่าความกระสันเพราะความไม่ยินดี หรือความสะดุ้งเพราะความกลัวย่อมไม่มี
แต่ความต้องการให้พรหมมา ความอยากให้พรหมมา ได้มีแล้ว. ความกลัว
เพราะจิตสะดุ้งนั่นแหละ เรียกว่า ความกลัว.
บทว่า ไม่รู้อยู่ คือไม่ทราบอยู่. บทว่า ทำอย่างไรพวกเราจึง
จะรู้จักท่าน ความว่า พวกเราจะรู้จักท่านว่าอะไร. อธิบายว่าพวกเราจะ
จำท่านด้วยอาการอะไรในอาการเป็นต้นว่า คนนี้อยู่ที่ไหน ชื่ออะไร โคตร
อะไร. คำว่า คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่าเป็นกุมาร ความว่า คน
ทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้านั่นแลว่าเป็นกุมารว่าเป็นชายหนุ่ม. บทว่า ในพรหมโลก

60
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 61 (เล่ม 14)

คือในโลกที่ประเสริฐสุด. บทว่า เป็นของเก่า คือเป็นของนมนานเป็นของ
เก่าแก่. พรหมย่อมแสดงว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นกุมารเก่า ชื่อสนังกุมารพรหม.
บทว่า โควินท์ ท่านจงรู้อย่างนี้ ความว่า โควินท์ผู้เป็นบัณฑิต ท่านจงรู้
ข้าพเจ้าอย่างนี้ คือจงจำข้าพเจ้าไว้อย่างนี้.
ของที่พึงน้อมไปเพื่อแขก เรียกว่าของรับแขก ในคาถานี้ว่า
ที่นั่ง น้ำ น้ำมันทาเท้า และผักนึ่ง
อย่างดี สำหรับพรหม (มีอยู่) ข้าพเจ้าขอ
ต้อนรับผู้เจริญ ขอผู้เจริญจงรับของ
ควรค่าของข้าพเจ้า.
มีคำที่ท่านอธิบายไว้ด้วยบทว่า ของรับแขก นั้นเองว่า นี้ที่นั่งที่
ปูไว้แล้ว เชิญนั่งบนที่นั่งนี้ นี้น้ำบริสุทธิ์ เชิญดื่มน้ำ เชิญล้างเท้าจากน้ำนี้
นี้น้ำมันทาเท้า ที่เอาน้ำมันมาปรุงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เท้า เชิญทาเท้าด้วย
น้ำมันนี้. บทนี้ว่า ผักนึ่งอย่างดี คือ พรหมจรรย์ของพระโพธิสัตว์ หา
เหมือนกับพรหมจรรย์ของคนเหล่าอื่นไม่ พระโพธิสัตว์นั้น ไม่ทำการสะสม
ด้วยคิดว่า นี้สำหรับพรุ่งนี้ นี้สำหรับวันที่สาม ก็ผักที่นึ่งด้วยน้ำ มีรสหวาน
ไม่เค็ม ไม่ได้อบ ไม่เปรี้ยว (มีอยู่) พระโพธิสัตว์นั้นทรงหมายผักนึ่งนั้น
เมื่อจะกล่าวว่า เชิญเอาผักนึ่งนี้ไปบริโภค จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าขอถาม
ผู้เจริญเกี่ยวกับของรับ แขก. ของรับแขกทั้งหมดนี้ มีไว้สำหรับพรหม ข้าพเจ้า
ขอถามของรับแขกเหล่านั้นกับผู้เจริญ ท่านผู้เจริญจงกระทำของรับแขกของ
ข้าพเจ้า คือ ท่านผู้เจริญจงรับของรับแขกนี้ของข้าพเจ้าผู้ถามอยู่อย่างนี้.
ก็ท่านมหาโควินท์นี้ไม่ทราบหรือว่า พรหมไม่บริโภคแต่สิ่งเดียวจากสิ่ง
นี้. ไม่ใช่ไม่ทราบ ทั้งที่ทราบอยู่ก็ถามด้วยมุ่งวัตรเป็นสำคัญว่า ชื่อว่าแขก
ที่มาสู่สำนักของตนเป็นผู้ที่ต้องถาม. ที่นั้นแล พรหมก็พิจารณาดูว่า

61