No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 42 (เล่ม 14)

กันเพื่อประโยชน์ฟังธรรม. ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า พวกเทวดาประชุมกัน
เพื่อประโยชน์ปวารณาสงเคราะห์.
คำว่า นมัสการพระตถาคตอยู่ หมายความว่า นมัสการอยู่ซึ่ง
พระตถาคตด้วยเหตุ ๙ อย่าง. ใจความของบาทคาถาว่า และความที่พระ-
ธรรมเป็นธรรมดี เป็นต้น คือความที่พระธรรม ซึ่งต่างด้วยธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นต้น เป็นธรรมที่ดี และการปฏิบัติดีที่ต่างด้วยความ
เป็นผู้ปฏิบัติตรงเป็นต้น ของพระสงฆ์.
คำว่า ตามความเป็นจริง คือตามที่เป็นจริง ตามภาวะของตน.
วัณณะ หมายเอาพระคุณ. คำว่า ได้กล่าวขึ้นแล้ว หมายความว่า พูดแล้ว.
คำว่า ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก คือ ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติอย่างนี้ คือ
แม้เมื่อทรงรวบรวมธรรม ๘ ประการ แทบพระบาทของพระทีปังกร
แล้วบำเพ็ญพระอภินิหาร ชื่อว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. แม้เมื่อ
ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๑๐ ทัศเหล่านี้ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี
ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี
อุเบกขาบารมี เป็นเวลา ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล
แก่ชนมาก. ในคราวเป็นดาบสผู้ถือมั่นขันติ (ขันติวาที) ในคราวเป็นจูฬธัมม-
บาลกุมาร ในคราวเป็นพญาช้างฉัททันต์ ในคราวเป็นพญานาคภูริทัตต์
จัมไปยยะและสังขบาล และในคราวเป็นมหากปิ แม้ทรงกระทำงานที่ทำได้ยาก
เช่นนั้น ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. แม้เมื่อทรงดำรงอัตภาพเป็น
พระเวสสันดรทรงให้ทานใหญ่ชนิดละร้อยรวม ๗ ชนิด ทำให้แผ่นดินไหวใน
๗ สถานแล้วทรงยึดเอายอดพระบารมี ก็ชื่อว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชน
มาก แม้ในอัตภาพถัดจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดรนั้น เสด็จดำรงอยู่ในดุสิต

42
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 43 (เล่ม 14)

บุรีตลอดพระชนมายุ ก็ชื่อว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. พระองค์
ทรงเห็นบุพนิมิต ๕ อย่างในดุสิตบุรีนั้น ผู้อันพวกเทวดาในหมื่น
จักรวาลอ้อนวอนแล้ว ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการแล้ว ประทาน
ปฏิญาณเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์พวกเทวดา แล้วทรงจุติจากดุสิตบุรี
แม้ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์มารดา ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่
มาก. ทรงอยู่ในพระครรภ์พระมารดาตลอดสิบเดือนแล้วประสูติจากพระครรภ์
พระมารดาที่ป่าลุมพินีก็ดี ทรงครองเรือนสิ้นยี่สิบเก้าพรรษา เสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ ทรงผนวชอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาก็ดี ทรงทำพระองค์ให้
ลำบากด้วยความเพียรที่ยิ่งใหญ่ ตั้งหกปีแล้วเสด็จขึ้นสู่โพธิบัลลังก์แล้วทรงแทง
ตลอดพระสัพพัญญุตญานก็ดี ทรงยังพระอิริยาบถให้เป็นไปที่ควงไม้โพธิ์ตลอด
เจ็ดสัปดาห์ก็ดี เสด็จอาศัยป่าอิสิปตนะแล้วทรงหมุนล้อธรรมอันยอดเยี่ยมก็ดี
ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ก็ดี เสด็จลงจากเทวโลกก็ดี ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เสด็จดำรงอยู่ตั้งสี่สิบห้าพรรษาก็ดี ทรงปลงพระชนมายุสังขารก็ดี เสด็จ
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุระหว่างคู่ไม้สาละก็ดี ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติ
เพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก. พึงทราบว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก
ตลอดเวลาที่พระธาตุของพระองค์แม้เท่าเม็ดผักกาดยังธำรงอยู่. บทที่เหลือก็
เป็นคำใช้แทนบทว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก นี้ทั้งนั้น
ในบทเหล่านั้น บทหลัง เป็นไขความของบทก่อน
ในหลายบทว่า ในส่วนอดีต เรายังมองไม่เห็นเลย และใน
บัดนี้ก็มองไม่เห็น นี้หมายความว่า แม้ในอดีต เราก็มองไม่เห็น ในอนาคต
ก็มองไม่เห็นคนอื่นนอกจากพระพุทธเจ้า ถึงในบัดนี้ก็มองไม่เห็นเพราะไม่มี
ศาสดาอื่นเลย นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น . ถึงแม้ในอรรถกถา
ท่านก็วิจารณ์ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งที่ล่วงแล้ว และที่ยังไม่มาถึง ต่างก็

43
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 44 (เล่ม 14)

เหมือนพระศาสดาของพวกเราทั้งนั้น แล้วท้าวสักกะตรัสทำไม แล้วกล่าวว่า ใน
บัดนี้ พระศาสดาทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก พ้นพระศาสดาของพวก
เราแล้ว ก็ไม่มีใครอื่น เพราะฉะนั้น ท้าวสักกะ จึงตรัสว่า เรามองไม่เห็น.
ก็ในบทนี้ฉันใด แม้ในบทเหล่าอื่นจากนี้ ก็พึงทราบว่า มีใจความอย่างเดียว
กันนี้ ฉันนั้น.
คำทั้งหลายมีคำว่า ธรรมอันพระองค์ตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น และ
คำทั้งหลายเป็นต้นว่านี้เป็นกุศล มีใจความที่ได้กล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
สองบทว่า น้ำแห่งแม่คงคา กับน้ำแห่งยมุนา ความว่า น้ำในที่
รวมแห่งแม่น้ำคงคากับแม่น้ำยมุนา ย่อมเข้ากัน กลมกลืนกันได้ทั้งโดยสี ทั้งโดย
กลิ่นทั้งโดยรส คือย่อมเป็นเช่นเดียวกัน นั่นแหละ เหมือนทองที่หักตรงกลาง
ไม่ใช่แตกต่างกัน เหมือนเวลาที่คลุกเคล้าเข้ากันกับน้ำของมหาสมุทร. ปฏิปทา
เพื่อนิพพานที่หมดจด จึงหมดจด. จริงอยู่ บุคคลทำการงานมีเวชชกรรมเป็นต้น
ในเวลาเป็นหนุ่มเที่ยวไปในอโคจร ก็ไม่อาจเห็นนิพพานในเวลาเป็นคนแก่ได้
ข้อปฏิบัติทที่ให้ถึงพระนิพพานควรจะเป็นข้อปฏิบัติที่หมดจดจริงๆเปรียบเหมือน
อากาศ จริงอย่างนั้น ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้จะไปสู่พระนิพพาน ควรจะเปรียบ
ด้วยอากาศ ไม่ข้องไม่ติดในตระกูลหรือในหมู่คณะ เหมือนทางดำเนิน ซึ่ง
เป็นที่ต้องการปรารถนาในอากาศ ของพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่กำลังไปสู่
อากาศ อันบริสุทธิ์ไม่มีอะไรติดขัด ฉะนั้น. ก็แหละข้อปฏิบัตินี้นั้น คือ
เช่นนั้นแหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ตรัส คือทรงแสดงไว้แล้ว.
เพราะเหตุนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ทั้งพระนิพพานทั้งข้อปฏิบัติย่อมเข้ากันได้
ดังนี้ .
บทว่า แห่งข้อปฏิบัติทั้งหลาย คือ ของผู้ตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติ.
บทว่า ผู้มี ( การอยู่) ที่อยู่แล้ว คือ ผู้มีการอยู่อันอยู่เสร็จแล้ว บทว่า

44
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 45 (เล่ม 14)

ผู้มีคนเหล่านี้เป็นสหายอันตนได้แล้ว ความว่า ชื่อว่าสหาย เพราะ
ไปด้วยกันกับคนเหล่านั้นในที่นั้น ๆ. ก็คำว่า ผู้ไม่มีใครเป็นที่สอง ไม่มี
สหาย ไม่มีใครเปรียบ นี้ ท้าวสักกะตรัส ด้วยอรรถว่าไม่มีใครเหมือน
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. คำว่า ไม่ทรงติดอยู่ คือ หมายความว่า
แม้ในท่ามกลางคนเหล่านี้ ก็ทรงอยู่ด้วยผลสมาบัติ คือด้วยพระทัยแล้ว ไม่
ทรงติดคนเหล่านี้ ทรงตามประกอบความเป็นผู้มีความเป็นผู้เดียวเป็นที่มายินดี
อยู่.
หลายบทว่า ก็ลาภของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสำเร็จ
ยิ่งแล้วแล คือ ลาภอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เมื่อไร เกิดขึ้นแล้วแก่พระองค์ตั้งแต่ทรงบรรลุอภิสัมโพธิ
แล้วทรงล่วงเจ็ดสัปดาห์ เสด็จหมุนล้อธรรมที่อิสิปตนะทรงทำการฝึกเทพและ
มนุษย์โดยลำดับ ทรงให้สามชฏิลบวช เสด็จกรุงราชคฤห์และทรงฝึกพระเจ้า
พิมพิสาร อย่างที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า ก็แลโดยสมัยนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ทรงเป็นผู้อันชนทำสักการะแล้ว ทำความเคารพแล้ว นับถือแล้ว
บูชาแล้ว นอบน้อมแล้ว ทรงเป็นผู้มีลาภด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ
บริขารคือยาอันเป็นปัจจัยสำหรับคนไข้๑ ลาภสักการะเกิดขึ้นมาเหมือนห้วงน้ำ
ใหญ่ท่วมท้นอยู่ เพราะผลบุญอันหนาแน่นในสื่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป.
เล่ากันมาว่า ในกรุงราชคฤห์ กรุงสาวัตถี กรุงสาเกต กรุงโกสัมพี
กรุงพาราณสี ชื่อว่าปฏิปาฏิภัต (ภัตที่ให้ตามลำดับ) เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มี
พระภาคเจ้า. ในกรุงเหล่านั้น คนหนึ่ง จดบัญชีไว้ว่า ข้าพเจ้าจักสละทรัพย์
ร้อยหนึ่งถวายทาน แล้วก็ติดไว้ที่ประตูวิหาร คนอื่น ข้าพเจ้าสองร้อย
คนหนึ่ง ข้าพเจ้าห้าร้อย คนอื่น ข้าพเจ้าพันหนึ่ง คนอื่น ข้าพเจ้าสอง
๑. สํ. นิทาน. ๑๓๓.

45
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 46 (เล่ม 14)

พัน คนอื่น ข้าพเจ้าห้า สิบ ยี่สิบ ห้าสิบ คนอื่น ข้าพเจ้าแสนหนึ่ง.
คนอื่น ข้าพเจ้าจักสละทรัพย์สองแสนถวายทาน เขียนดังนี้แล้ว ก็ติดไว้ที่
ประตูวิหาร. มหาชนคิดว่า ได้โอกาสข้าพเจ้าจักถวาย แล้วก็บรรทุกเต็ม
เกวียน ติดตามภิกษุที่แม้กำลังเที่ยวไปสู่ชนบทที่เดียว. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชาวชนบท เอาเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง
ของขบเคี้ยวบ้าง เป็นอันมากใส่ในเกวียนแล้วก็ติดตามปฤษฎางค์ของพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยคิดว่า เราจักทำภัตในที่ที่เราจักได้ลำดับ๑ แม้เรื่องอื่น ๆ
เป็นอันมากทั้งในขันธกะทั้งในพระวินัย ดังที่ว่ามานี้ ก็พึงทราบไว้. ก็แหละ
ลาภนั่นถึงยอดแล้วในอสทิสทาน.
เขาเล่ากันมาว่า สมัยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริก
ไปตามชนบทแล้วทรงมาถึงพระเชตวัน พระราชาทรงนิมนต์มาถวายทาน. ใน
วันที่สองพวกชาวกรุงถวาย. พระราชาทรงถวายยิ่งกว่าทานของพวกชาวกรุง
เหล่านั้นอีก พวกชาวกรุงก็ถวายยิ่งกว่าทานของพระองค์ เป็นดังนี้ ครั้นเมื่อ
ล่วงไปหลายวันอย่างนั้น พระราชาทรงพระดำริว่าพวกชาวกรุงเหล่านั้น พากัน
ทำยิ่งขึ้น ๆ ทุก ๆ วัน จักมีคำครหาว่า เออ พวกชาวกรุงพิชิตพระราชาผู้ใหญ่
ในแผ่นดินได้. ทีนั้นพระนางมัลลิกาได้กราบทูลอุบายแด่พระองค์.
พระองค์ รับสั่งให้เอากระดานไม้สาละชนิดดีมาสร้างปะรำ แล้วให้เอา
ดอกอุบลเขียวมามุง รับ สั่งให้ปูที่นั่ง ๕๐๐ ที่ ทางด้านหลังที่นั่งยืนช้างไว้ ๕๐๐
เชือก ให้ช้างแต่ละเชือก กั้นเศวตฉัตรให้ภิกษุแต่ละรูป. ระหว่างที่นั่งแต่ละ
คู่ ๆ ธิดากษัตริย์แต่ละนาง ๆ ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางพร้อมสรรพบดเครื่อง
หอมที่เกิดจากไม้สี่ชนิด. ธิดากษัตริย์นางอื่นก็ใส่เครื่องหอมที่บดเสร็จแล้ว ๆ
ในเรือชล่าที่สำหรับใส่ของหอมในที่ตรงกลาง. ธิดากษัตริย์อีกนางหนึ่งก็เอากำ
๑. วิ. ม. เภสชฺชกฺขนฺธก ๗๑ ฯ

46
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 47 (เล่ม 14)

อุบลเขียวโบกกระพือเครื่องหอมนั้น. ด้วยประการฉะนี้ภิกษุแต่ละรูปๆ ก็มีธิดา
กษัตริย์สามนาง ๆ เป็นบริวาร ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่แต่งเครื่องสำอางพร้อม
สรรพถือใบตาลพัด นางอื่นเอาที่กรองน้ำ หญิงอื่นนำเอาน้ำจากบาตร. สำหรับ
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีของสี่อย่างตีราคาไม่ได้. ของสี่อย่างที่ตีราคาไม่ได้เหล่า
นี้คือ ที่เช็ดพระบาท ที่รองของ กระดานพิง มณีเชิงฉัตร. ไทยธรรมสำหรับ
ภิกษุใหม่ในสงฆ์มีค่าแสนหนึ่ง. ก็แหละในการถวายทานนั้น พระองคุลิมาลเถระ
ได้เป็นภิกษุใหม่ในสงฆ์ ใกล้ที่นั่งของท่าน ช้างที่นำมา ๆ แล้ว ไม่สามารถ
เข้าใกล้ท่านได้. ลำดับนั้น เจ้าพนักงานกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสสั่งว่า
พวกท่านจงนำเอาช้างเชือกอื่นมา ช้างที่นำมาแล้ว นำมาแล้วก็ไม่สามารถ
เลย. พระราชาตรัสว่า ไม่มีช้างเชือกอื่น. เจ้าพนักงานกราบทูลว่า ยังมี
ช้างดุอยู่ แต่นำมาไม่ได้. พระราชาทูลถามพระตถาคตเจ้าว่า พระเจ้าข้า.
รูปใดเป็นภิกษุใหม่ในสงฆ์ พระตถาคตเจ้าตรัสว่า องคุลิมาล มหาบพิตร
เพราะฉะนั้น ขอให้เจ้าพนักงานนำเอาช้างดุมาเทียบไว้เถิด มหาบพิตร พวก
เจ้าพนักงานแต่งช้างดุแล้วก็นำมา. ด้วยเดชของพระเถระ ช้างเชือกนั้น แม้
สักว่าพ่นลมจมูก ก็ทำไม่ได้. พระราชาได้ทรงถวายทานติดต่อกันเจ็ดวันด้วย
ประการฉะนี้. ในวันที่ ๗ พระราชาทรงถวายบังคมแล้วกราบทูลพระทศพลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.
ก็แหละในบริษัทนั้น มีอำมาตย์ ๒ คน คือ กาฬะ และ ชุณหะ. กาฬะ
คิดว่า สมบัติของราชตระกูลจะฉิบหาย พวกคนมีประมาณเท่านี้ จักทำอะไร
กินแล้วไปวัดแล้วก็จักนอนเท่านั้นเอง แต่ราชบุรุษคนเดียวได้สิ่งนี้ จะไม่
กระทำหรือ โอ้! สมบัติของในหลวงจะฉิบหาย. ชุณหะคิดว่า ขึ้นชื่อว่า
ความเป็นพระราชานี้ยิ่งใหญ่ คนอื่นใดเล่าจักทำสิ่งนี้ได้ ขึ้นชื่อว่าพระราชา
คือผู้ที่แม้ดำรงอยู่ในความเป็นพระราชาแล้วจะทรงให้ทานเห็นปานนั้นไม่ได้หรือ

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 48 (เล่ม 14)

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของบริษัท ก็ทรงทราบอัธยาศัยของ
คนทั้งสองนั้น จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจะแสดงธรรมตามอัธยาศัยของชุณหะ
ในวันนี้ ศีรษะของกาฬะจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ก็เราแลบำเพ็ญบารมีก็ด้วยความ
สงสารสัตว์ แม้ในวันอื่นเมื่อเราแสดงธรรม ชุณหะก็คงจักแทงตลอดมรรคผล
สำหรับคราวนี้เราจักเห็นแก่กาฬะ แล้วได้ตรัสคาถาสี่บาทเท่านั้นแก่พระราชาว่า
พวกคนตระหนี่ จะไปเทวโลกไม่ได้
พวกคนโง่ จะไม่สรรเสริญทานเลย แต่
นักปราชญ์ พลอยยินดีตามทาน เพราะเหตุ
นั้นเอง เขาจึงมีความสุขในโลกหน้า.
พระราชาไม่ทรงพอพระราชหฤทัยว่า เราถวายทานเสียใหญ่โต แต่
พระศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่เรานิดเดียวแท้ ๆ เราไม่สามารถจับพระหฤทัย
ของพระทศพลได้กระมัง เมื่อเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว ท้าวเธอก็
เสด็จไปวัด ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ทูลถามว่า พระเจ้าข้า
หม่อมฉันถวายทานเสียใหญ่โต แต่พระองค์ทรงทำอนุโมทนา แก่หม่อมฉันไม่
ใหญ่ หม่อมฉันมีผิดอะไรหรือพระเจ้าข้า. มหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงมีผิดอะไร
แต่บริษัทไม่สะอาด เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงไม่แสดงธรรม. เพราะเหตุไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงว่าบริษัทไม่สะอาด. พระศาสดา ตรัสบอกปริวิตก
ของอำมาตย์. พระราชาตรัสถามกาฬะว่า อย่างนั้นหรือพ่อกาฬะ. อย่างนั้น
มหาราช. พระราชาตรัสว่า เมื่อข้าให้ทรัพย์ของข้า เธอจะเดือดร้อน
อะไรเล่า ข้าไม่อาจดูเธอได้ พวกเธอจงขับเขาจากแว่นแคว้นข้า. ต่อจากนั้น
ตรัสสั่งเรียกชุณหะมาถามว่า นัยว่า พ่อคิดอย่างนั้นหรือ. อย่างนั้นพระพุทธ
เจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จงตามใจเธอเถิด เธอจงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูปมานั่งบน

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 49 (เล่ม 14)

ที่นั่งที่ปูไว้ในปะรำนั่นแล แล้วให้ธิดากษัตริย์เหล่านั้นนั่นแหละแวดล้อม เอา
ทรัพย์จากพระราชวังมาถวายทานเจ็ดวันอย่างที่ข้าถวายทีเดียวนะ เขาได้ทำอย่าง
นั้นแล้ว. ครั้นถวายเสร็จแล้วในวันที่เจ็ด ก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. พระศาสดาทรงกระทำการ
อนุโมทนาทานแม้ทั้งสองให้เป็นอันเดียวกัน เหมือนทรงกระทำแม่น้ำใหญ่สอง
สายให้เต็มด้วยห้วงน้ำเดียวกัน ทรงแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ เมื่อทรง
เทศน์จบ ชุณหะก็ได้เป็นพระโสดาบัน. พระราชาทรงเลื่อมใสทรงถวายผ้าชื่อ
ปาวายแด่พระทศพล. พึงทราบว่า ก็ลาภสำเร็จยิ่งแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นแล ด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า พระเกียรติสำเร็จอย่างยิ่ง คือ การสรรเสริญถึงพระเกียรติคุณ.
ถึงแม้พระเกียรตินั้นก็สำเร็จอย่างยิ่งแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่ทรงหมุนล้อ
ธรรมไป. จริงอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา พวกกษัตริย์ก็พูดถึงพระเกียรติของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพวกพราหมณ์ พวกคหบดี พวกนาค พวกครุฑ พวก
คนธรรพ์ พวกเทวดา พวกพรหม ต่างก็กล่าวถึงพระเกียรติแล้วสรรเสริญ
ด้วยคำเป็นต้นว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ถึงพวก
เดียรถีย์ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่วรโรชะแล้วส่งไปว่า เธอจงกล่าวโทษพระสมณ-
โคดม. เขารับทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ก็สำรวจดูพระทศพลตั้งแต่พื้นพระบาท
จรดปลายพระเกศา โทษสักลิกขา๑ ก็ไม่เห็นมี จึงคิดว่าผู้ที่พลิกแพลง
ปากพูดถึงโทษในอัตภาพที่หาโทษมิได้ ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยมหาปุริลลักษณะ
๓๒ ประการ ประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ อย่าง ห้อมล้อมไปด้วยรัศมี
วาหนึ่ง เช่นกับปาริฉัตรที่บานเต็มที่ ท้องฟ้าที่โชติช่วงหมู่ดาวและนันทวัน
ที่งดงามไปด้วยดอกไม้อันวิจิตรเช่นนี้ หัวต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงอุบายที่จะ
๑. ลิกฺขา มาตราชั่ง หนักเท่ากับ ๑๒๙๖ อณู.

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 50 (เล่ม 14)

กล่าวติก็ไม่มี เราจะกล่าวชมเท่านั้น ดังนี้แล้วก็กล่าวชมอย่างเดียว ตั้งแต่
พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกศา ด้วยถ้อยคำพันกว่าบท. ก็ขึ้นชื่อว่าพระ
เกียรตินั้น ถึงยอดในเรื่องยมกปาฏิหาริย์ พระเกียรติสำเร็จเป็นอย่างยิ่งดังว่า
มาด้วยประการฉะนี้. บทว่า แม้กระทั่งพวกกษัตริย์เหล่าอื่น ความว่า
แม้คนเป็นต้น ทั้งหมด คือพวกพราหมณ์ พวกแพทย์ พวกสูทร พวกนาค พวก
ครุฑ พวกอสูร พวกเทวดา พวกพรหม ล้วนแต่เป็นผู้รักใคร่ ร่าเริงพอใจ
ด้วยกันทั้งนั้น.
บทว่า ก็แลทรงปราศจากความเมา คือ ไม่ทรงเป็นผู้มัวเมา
ประมาทว่า พวกชนมีประมาณเท่านี้ เป็นผู้รักใคร่เรา แล้วเสวยพระกระยา-
หารด้วยสามารถการเล่นเป็นต้น แต่ที่แท้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล
ทรงปราศจากความเมา เสวยพระกระยาหาร. บทว่า มีปกติตรัส อย่างไร
ความว่า ตรัสคำใดด้วยพระวาจา พระกรณียกิจทางพระกายของพระองค์ก็
คล้อยตามพระวาจานั้นจริง ๆ และพระกรณียกิจที่ทรงกระทำด้วยพระกาย พระ-
กรณียกิจทางพระวาจาของพระองค์ก็คล้อยตามพระกายโดยแท้ พระกายไม่ก้าว
ล่วงพระวาจา หรือพระวาจาก็ไม่ก้าวล่วงพระกาย พระวาจาสมกับพระกาย
และพระกายก็สมกับพระวาจา. เหมือนอย่างว่า
ข้างซ้ายเป็นหมู ข้างขวาเป็นแพะ
โดยเสียงเป็นแกะ โดยเสียงเป็นวัวแก่
ดังนี้ ยักษ์หมูนี้เมื่อเห็นฝูงหมู ก็แสดงด้านซ้ายเหมือนหมูแล้วก็จับหมูเหล่านั้น
กิน ครั้นเห็นฝูงแพะ ก็แสดงด้านขวาเหมือนแพะนั้น แล้วก็จับแพะเหล่านั้น
กิน ครั้นเห็นฝูงลูกแกะ ก็ร้องเป็นเสียงร้องของลูกแกะ แล้วก็จับลูกแกะ
เหล่านั้นกิน พอเห็นฝูงวัวก็นิรมิตเขาให้เหมือนเขาของพวกวัวเหล่านั้น ดูแต่
ไกลก็เห็นเหมือนวัวด้วยประการฉะนี้ ก็จับวัวเหล่านั้น ที่เข้ามาใกล้อย่างนั้น

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 51 (เล่ม 14)

กินฉันใด และเหมือนอย่างกาในชาดกกาทรงธรรมที่พวกนกถามก็บอกว่า ข้า
เป็นกาอ้าปากกินลม ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเท่านั้น เพราะกลัวจะเหยียบสัตว์
ตาย เพราะฉะนั้น แม้พวกท่าน
ขอจงประพฤติธรรม ขอความเจริญ
จงมีแก่พวกท่าน ญาติทั้งหลาย ขอพวก
ท่านจงประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรม
เป็นปกติย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และ
ในโลกหน้า
แล้วทำให้พวกนกตายใจ ต่อจากนั้น ก็กินหมู่นกที่มาถึงความตายใจอย่างนี้ ว่า
นกตัวนี้ช่างดีจริงหนอ นกตัวนี้ทรงธรรมอย่างยิ่ง
เอาเท้าข้างเดียวยืน ร้องว่า ธรรม ธรรม
วาจาของยักษ์หมูและกาเหล่านั้น ไม่สมกับกายและกายก็ไม่สมกับวาจาฉันใด
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า หาเป็นฉันนั้น ไม่ ท่านแสดงว่า เพราะพระวาจาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าสมกับพระกาย และพระกายก็สมกับ พระวาจาโดยแท้จริง
ดังนี้.
ชื่อว่า ทรงล่วงความสงสัยได้ เพราะพระองค์ทรงล่วงคือทรงข้าม
ความสงสัยได้แล้ว. ชื่อว่าทรงปราศจากการถามว่าอย่างไร ๆ เพราะพระองค์
ปราศจากการถามอย่างไร ๆ เห็นปานนี้ว่า นี้อย่างไร นี้อย่างไร. จริงอยู่ พระ-
ศาสดาไม่เหมือนคนจำนวนมากที่ยังมีความสงสัยว่า ต้นไม้นี้ ชื่อต้นอะไร ตำบล
นี้ (ชื่อตำบลอะไร) อำเภอ (หรือจังหวัด ) นี้ (ชื่ออำเภอหรือจังหวัดอะไร)
แคว้นนี้ชื่อแคว้นอะไร ทำไมนะต้นไม้นี้จึงมีลำต้นตรง ต้นไม้นี้มีลำต้นคด
ทำไมจึงมีหนาม บางต้นตรง บางต้นคด บางดอกกลิ่นหอม บางดอกกลิ่น
เหม็น บางผลหวาน บางผลไม่หวาน. จริงอย่างนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า

51