No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 32 (เล่ม 14)

ตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไป ต้องสร้างกุศลไว้ ต้องพฤติพรหมจรรย์ ผู้เกิดมา
แล้วไม่ตายไม่มี ก็อย่างคำของพรหมกล่าวอยู่ เกี่ยวกับกลิ่นเหม็นทั้งหลาย ที่
ข้าพระองค์ได้ฟังมาแล้วนั่นแหละ กลิ่นเหม็นเหล่านั้น อันผู้อยู่ครองเรือนจะ
พึงย่ำยีเสียง่าย ๆ ไม่ได้ ข้าพระองค์จักบวชเป็นบรรพชิต.
ถ้าอย่างนั้น ท่านโควินท์ผู้เจริญโปรดจงรอ ๗ วัน กว่าพวกเราจัก
พร่ำสอนลูกและพี่น้องของตนในเรื่องราชสมบัติ เสร็จก่อนโดยล่วงไป ๗ วัน
พวกเราก็จักบวชเป็นบรรพชิตเหมือนกัน และอันใดเป็นคติของท่าน อันนั้น
จักเป็นคติของพวกเรา.
ใต้ฝ่าพระบาท ๗ วัน ไม่นานดอก ข้าพระบาทจักคอยพวกพระองค์
๗ วัน. ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้าไปหาพราหมณ์มหาศาล ๗ คน
และข้าบริวาร ๗๐๐ คน แล้วได้กล่าวคำนี้กับพราหมณ์มหาศาล ๗ คน และ
ข้าบริวาร ๗๐๐ คนว่า บัดนี้ขอให้ท่านจงแสวงหาอาจารย์คนอื่น ผู้ที่จักสอน
มนต์แก่พวกท่าน ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอยากจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ก็อย่างคำของพรหมผู้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นเหม็น ที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วนั่น
แหละ กลิ่นเหม็นเหล่านั้น อันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีเสียง่าย ๆ ไม่ได้
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
ท่านโควินท์ผู้เจริญ อย่าบวชออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องกับเรือนเลย
ท่านผู้เจริญ การบวชมีศักดิ์น้อย และมีลาภน้อย ความเป็นพราหมณ์มีศักดิ์
ใหญ่ มีลาภใหญ่.
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
พวกท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า การบวชมีศักดิ์น้อย และมีลาภน้อย ความ
เป็นพราหมณ์มีศักดิ์ใหญ่ และมีลาภใหญ่ คนอื่นใครเล่าที่มีศักดิ์มากกว่า หรือ
มีลาภมากกว่าข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าเหมือนราชาของพระราชา เหมือนพรหม

32
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 33 (เล่ม 14)

ของพราหมณ์ทั้งหลาย เหมือนเทวดาของพวกคฤหบดีทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักสละ
ความเป็นทั้งหมดนั้น ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ก็อย่างคำของพรหม
กล่าวอยู่เกี่ยวกับเรื่องกลิ่นเหม็นเน่า ที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วนั่นแหล ะ กลิ่น
เน่าเหม็นเหล่านั้นอันผู้ครองเรือนอยู่ จะพึงย่ำยีเสียง่าย ๆ ไม่ได้ ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
ถ้าท่านโควินท์ผู้เจริญจักออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต พวกเรา
ก็จักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเหมือนกัน และอันใดเป็นคติของท่าน
อันนั้นจักเป็นคติของพวกเรา.
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้าไปหาพวกภริยาผู้เสมอกันแล้ว
ได้กล่าวคำนี้กับพวกภริยาผู้เสมอกันว่า แนะนางผู้เจริญ ผู้ที่อยากไปสู่ตระกูล
ญาติของตนนั้น ก็จงไปสู่ตระกูลของตนเถิด หรือจะหาสามีตนอื่นก็ได้ ฉัน
อยากออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ก็อย่างคำของพรหมกล่าวอยู่เกี่ยวกับ
เรื่องกลิ่นเหม็นเน่า ที่ฉันได้ฟังมาแล้วนั่นแหละ กลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้นอัน
ผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีเสียอย่างง่าย ๆ ไม่ได้ ฉันจักออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต. ท่านเท่านั้น เป็นญาติของพวกดิฉัน ผู้ต้องการญาติ และท่าน
เป็นภัสดา ของพวกดิฉันผู้ต้องการภัสดา ถ้าท่านโควินท์ผู้เจริญจักออกจาก
เรือน บวชเป็นบรรพชิต พวกดิฉันก็จักออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต
เหมือนกัน และอันใดเป็นคติของท่าน อันนั้นก็จักเป็นคติของพวกดิฉัน.
การบวชของมหาโควินท์
ครั้งนั้นแล โดยล่วงไป ๗ วัน มหาโควินทพราหมณ์ก็โกนผมและ
หนวดนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว. ก็แหละ
พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ซึ่งได้รับมุรธาภิเษกแล้ว ๗ พระองค์ พราหมณ์มหาศาล

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 34 (เล่ม 14)

๗ คน ข้าบริวาร ๗๐๐ คน พวกภริยาซึ่งมีวรรณะมีชาติเสมอกัน ๔๐ นาง
พวกกษัตริย์หลายพัน พวกพราหมณ์หลายพัน พวกคฤหบดีหลายพันและ
พวกนางสนมอีกมิใช่น้อย พากันโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด บวช
ตามมหาโควินทพราหมณ์เป็นบรรพชิตออกจากเรือน เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเรือน
แล้ว เล่ากันว่า ท่านมหาโควินทพราหมณ์ อันบริษัทนั้นแวดล้อมแล้ว
ย่อมเที่ยวจาริกไปในคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย ก็โดยสมัยนั้นท่าน
มหาโควินทพราหมณ์เข้าไปยังคามนิคมใดแล ในคามหรือนิคมนั้น เป็นเหมือน
ราชาของพวกพระราชา เป็นเหมือนพรหมของพวกพราหมณ์ เป็นเหมือน
เทวดาของพวกคฤหบดี. ก็โดยสมัยนั้น พวกมนุษย์เหล่าใดแลย่อมจาม หรือ
ลื่นล้ม พวกมนุษย์เหล่านั้น ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ขอนอบน้อมแด่ท่านมหา
โควินทพราหมณ์ ขอนอบน้อมแด่ท่านปุโรหิตของกษัตริย์ทั้ง ๗ พระองค์.
การเจริญอัปปมัญญา ๔
ท่านมหาโควินทพราหมณ์ มีใจสหรคตด้วยเมตตา ไม่มีเวร ไม่มี
ความพยาบาทแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่าง
นั้น ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีใจสหรคตด้วยเมตตา ไม่มีเวร ไม่มีความพยาบาท
กว้างขวาง ถึงความเป็นใหญ่ ไม่มีจำกัด แผ่ไปตลอดทิศทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง
เบื้องขวาง ทุกแห่งตลอดโลกอย่างทั่วถึงอยู่ มีใจสหรคตด้วยกรุณา ฯลฯ มีใจ
สหรคตด้วยมุทิตา ฯลฯ มีใจที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฯลฯ และแสดงทางแห่งความ
เป็นสหายแห่งพรหมโลกแก่สาวกทั้งหลาย. ก็โดยสมัยนั้น หมู่สาวกของท่าน
มหาโควินทพราหมณ์เหล่าใดแล รู้ทั่วถึงแล้วซึ่งคำสั่งสอนทั้งหมดโดยประการ
ทั้งปวง หมู่สาวกเหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เข้าถึงสุคติพรหม
โลกแล้ว. สาวกเหล่าใด ไม่รู้ทั่วถึงคำสั่งสอนทั้งหมดอย่างทั่วถึง สาวกเหล่า

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 35 (เล่ม 14)

นั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก บางพวกก็เข้าถึงความเป็นสหายแห่งหมู่เทพ
ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี บางพวกก็เข้าถึงความเป็นสหายแห่งหมู่เทพชั้นนิมมานรดี
บางพวกก็เข้าถึงความเป็นสหายแห่งหมู่เทพชั้นดุสิต บางพวกก็เข้าถึงความเป็น
สหายแห่งหมู่เทพชั้นยามา บางพวกก็เข้าถึงความเป็นสหายแห่งหมู่เทพชั้นดาว-
ดึงส์ บางพวกก็เข้าถึงความเป็นสหายแห่งหมู่เทพชั้นจาตุมมหาราชิกาแล้ว. พวก
ท่านเหล่าใด ยังกายที่เลวกว่าเขาทั้งหมด ให้เต็มรอบแล้ว พวกท่านนั้นก็ยัง
กายแห่งคนธรรพ์ให้บริบูรณ์แล้ว. ด้วยประการฉะนั้นแล การบวชของกุลบุตร
เหล่านั้นทั้งหมดทีเดียว เป็นของไม่เปล่า ไม่เป็นหมัน มีผล มีกำไร ดังนี้แล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังทรงระลึกถึงเรื่องนั้นได้หรือ ปัญจสิขะทูลถาม. ยัง
ระลึกได้อยู่ ปัญจสิขะผู้เจริญ
ว่าด้วยอัฏฐังคิกมรรค
สมัยนั้น เราได้เป็นมหาโควินทพราหมณ์ เราแสดงทางนั้นเพื่อความ
เป็นสหายแห่งพรหมโลกแก่หมู่สาวก ก็แต่ว่า ปัญจสิขะ พรหมจรรย์นั้นแล
เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายก็เปล่า เพื่อคลายกำหนัดก็เปล่า เพื่อดับโดยไม่
เหลือก็เปล่า เพื่อเข้าไปสงบก็เปล่า เพื่อรู้ยิ่งก็เปล่า เพื่อตรัสรู้ก็เปล่า เพื่อ
พระนิพพานก็เปล่า เพียงเพื่อการเกิดขึ้นในพรหมโลกเท่านั้นเอง ดูก่อนปัญจสิขะ
ก็พรหมจรรย์ของเรานี้แล จึงจะเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อ
คลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อ
พระนิพพาน. ก็แลพรหมจรรย์นั้นเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อ
ความคลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้
เพื่อพระนิพพานเป็นไฉน ทางประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้แล อัน
ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ พูดจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ

35
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 36 (เล่ม 14)

พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ก็นี้แล คือพรหมจรรย์นั้น ที่เป็นไป
เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ
เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน.
ก็หมู่สาวกของเราเหล่าใดแล ย่อมรู้ทั่วถึงคำสั่งสอนเจนจบ หมู่สาวก
เหล่านั้น เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ทำเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
ให้แจ่มแจ้งแล้วด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันเทียว. หมู่
สาวกเหล่าใดไม่รู้ทั่วถึงคำสั่งสอนหมดทุกแง่ทุกมุม หมู่สาวกเหล่านั้น เพราะ
สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่างสิ้นไป ย่อมเป็นโอปปาติกะ เป็นผู้ปรินิพพานในโลก
นั้น เป็นผู้ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. หมู่สาวกเหล่าใดยังไม่รู้ทั่วถึงคำ
สั่งสอนหมดทุกแง่ทุกมุม บางพวก เพราะสังโยชน์ ๓ อย่างสิ้นไป เพราะ
ความที่ราคะ โทสะ และ โมหะเบาบางลง ย่อมเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้
ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์. หมู่สาวกเหล่าใด ยังไม่รู้ทั่วถึง
คำสั่งสอนหมดทุกแง่ทุกมุม บางพวกเพราะสังโยชน์ ๓ อย่างสิ้นไป ย่อมเป็น
โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอนมีความตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้ การบวชของกุลบุตรเหล่านี้ ทั้งหมดทีเดียว จึง
เป็นการบวชที่ไม่สูญเปล่า ไม่เป็นหมัน มีผล มีกำไร ดังนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว. ปัญจสิขะ บุตรคนธรรพ์
มีใจเป็นของตน ชื่นชม ภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่ง อนุโมทนา
แล้วถวายอภิวาทกระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็หายไปในที่นั้น
นั่นเทียว ดังนี้แล.
จบ มหาโควินทสูตรที่ ๖

36
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 37 (เล่ม 14)

อรรถกถามหาโควินทสูตร
มหาโควินทสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
ต่อไปนี้ เป็นคำพรรณนาบทที่ยังไม่ตื้นในมหาโควินทสูตรนั้น . คำว่า
ปัญจสิขะ ความว่า มี ๕ จุก คือมี ๕ แหยม. เล่ากันมาว่า ปัญจสิขะ
บุตรคนธรรพ์นั้น ในเวลาทำกรรมที่เป็นบุญในถิ่นมนุษย์ยังเป็นหนุ่ม ใน
เวลาเป็นเด็กไว้จุก ๕ จุก เป็นหัวหน้าเลี้ยงโค พาพวกเด็กแม้เหล่าอื่นทำศาลา
ในที่อันเป็นทางสี่แยก ขุดสระบัว ผูกสะพาน ปราบทางขรุขระให้เรียบ ขนไม้
มาทำเพลาและไม้สอดเพลาของยานทั้งหลาย เที่ยวทำบุญแบบนี้ดังที่กล่าวมา
แล้ว ก็ตายลงทั้งที่ยังเป็นหนุ่ม. ร่างของเขานั้นเป็นร่างที่น่ารัก น่าใคร่
น่าชอบใจ. ครั้นเขาตายแล้ว ก็ไปเกิดในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา มี
อายุ ๙ ล้านปี. ร่างของเขาคล้ายกับกองทองมีขนาดเท่าสามคาวุต. เขาประดับ
เครื่องประดับปริมาณ ๖๐ เล่มเกวียน พรมของหอมประมาณ ๙ หม้อ
ทรงผ้าทิพย์สีแดง ประดับดอกกรรณิการ์ทองแดง มีแหยม ๕ แหยมห้อยอยู่
ที่เบื้องหลัง เที่ยวไปทำนองเด็ก ๕ จุกนั่นแหละ. พวกเทพจึงทราบทั่วกัน ว่า
ปัญจสิขะ ดังนี้แล.
บทว่า เมื่อราตรีก้าวล่วงไปแล้ว คือราตรีก้าวล่วงไปแล้ว คือ
สิ้นไปแล้ว. หมายความว่าล่วงไปแล้วส่วนหนึ่ง. คำว่า มีรัศมีงดงามยิ่ง
คือมีรัศมี น่ารัก น่าใคร่ น่าชอบใจอย่างยิ่ง. ก็แม้โดยปกติเทพบุตรนั้นก็มีรัศมี
(ผิวพรรณ) น่าใคร่อยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นผู้แต่งมาแล้วก็ยิ่งเป็นผู้มีผิวพรรณ
น่าใคร่ยิ่งขึ้นอีก. คำว่า อย่างทั่วถึง คือโดยรอบไม่มีเหลือ. เกวลศัพท์ใน
ที่นี้แปลว่าไม่เหลือเหมือนในคำนี้ว่า บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง. กัปปศัพท์แปลว่า

37
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 38 (เล่ม 14)

โดยรอบเหมือนในคำนี้ว่า ยังพระเชตวัน โดยรอบอย่างสิ้นเชิง. คำว่า ส่อง
ให้สว่าง คือแผ่ไปด้วยแสง. หมายความว่า ทำให้เป็นแสงลำเดียว ให้เป็น
ประทีปดวงเดียว ดังพระจันทร์และดังพระอาทิตย์.
คำว่า ที่สุธรรมาสภา คือที่สภาที่เกิดเพราะผลแห่งไม้กรรณิการ์ซึ่ง
พอ ๆ กับ แก้วของหญิงชื่อสุธรรมา. ดังได้ยินมาว่า พื้นของสุธรรมาสภานั้น
สำเร็จด้วยแก้วผลึก ลิ่มสลักเอาแก้วมณีมาทำ เสาสำเร็จด้วยทองคำ ของเชื่อม
เสา และเต้าทำจากเงิน รูปสัตว์ร้ายเอาแก้วประพาฬมาทำ จันทันเพดานและ
ขอบหน้ามุขเอาแก้ว ๗ชนิดมาสร้าง กระเบื้องใช้ก้อนอิฐสีแก้วอินทนิล หลังคา
เอาทองคำมาทำ โดมทำด้วยเงิน โดยส่วนยาวและส่วนกว้าง ข้างละ ๓๐๐ โยชน์
โดยบริเวณรอบใน ๙๐๐ โยชน์ โดยส่วนสูง ๕๐๐ โยชน์. สุธรรมาสภาเห็น
ปานนี้.
ในบทเป็นต้นว่า ท้าวธตรฐ พึงทราบว่า ท้าวธตรฐเป็นราซา
แห่งคนธรรพ์ อันพวกเทวดานักฟ้อนแสนโกฏิแวดล้อมแล้วให้ถือเอาแผ่นกระ-
ดานใหญ่ที่ทำด้วยทองคำแสนโกฏิ และหอกทองคำแล้วหันพระพักตร์ไปทิศ
ตะวันตก เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้างหน้าแล้วประทับนั่งทางทิศ
ตะวันออก.
ท้าววิรุฬหกเป็นราชาแห่งกุมภัณฑ์ อันเหล่าเทพพวกกุมภัณฑ์แสน.
โกฏิแวดล้อมแล้ว ให้ถือเอาแผ่นกระดานใหญ่ที่ทำด้วยเงินแสนโกฏิ และหอก
ทองคำแล้วหันพระพักตร์ไปทิศเหนือ เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้าง
หน้าแล้วประทับนั่งทางทิศใต้.
ท้าววิรูปักษ์เป็นราชาแห่งนาค มีพวกนาคแสนโกฏิแวดล้อมให้ถือเอา
กระดานแผ่นใหญ่สำเร็จด้วยมณีแสนโกฏิ และหอกทองคำแล้วหันพระพักตร์

38
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 39 (เล่ม 14)

ไปทางทิศตะวันออก เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้างหน้าแล้วประทับ
นั่งทางทิศตะวันตก.
ท้าวเวสวัณเป็นราชาแห่งยักษ์ มีพวกยักษ์แสนโกฏิแวดล้อมให้ถือ
เอากระดานแผ่นใหญ่ที่ทำด้วยแก้วประพาฬแสนโกฏิ และหอกทองคำหันพระ
พักตร์ไปทางทิศใต้ เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้างหน้าแล้วประทับนั่ง
ทางทิศเหนือ.
บทว่า และข้างหลังเป็นอาสนะของพวกเรา คือ โอกาส
สำหรับนั่งของพวกเรา ย่อมถึงทางด้านหลังของท่านทั้ง ๔ องค์นั้น ต่อจาก
นั้น พวกเราจะเข้าก็ไม่ได้ หรือจะดูก็ไม่ได้
สำหรับในกรณีนี้ ท่านกล่าวเหตุการประชุมกัน ๔ อย่างไว้ก่อน
ทีเดียว. ในเหตุทั้ง ๔ อย่างนั้น การประมวลลงในวันเข้าพรรษาท่านขยายไว้
ให้กว้างขวางแล้ว. จริงอยู่ เหตุในวันเข้าพรรษาเป็นฉันใด ภิกษุทั้งหลาย
ประชุมกันในวันเพ็ญในวันมหาปวารณาปรึกษากันว่า วันนี้พวกเราจักไปไหน
แล้วปวารณาในสำนักใคร ก็ฉะนั้น ในที่ประชุมนั้นท้าวสักกะ จอมทวยเทพ
โดยมากจะทรงปวารณาในปิยังคุทีปพระมหาวิหารนั่นเอง. พวกเทพที่เหลือ
ก็ถือเอาดอกไม้ทิพย์เช่นดอกปาริฉัตรเป็นต้น และผงจันทน์ทิพย์แล้วไปสู่ที่เป็น
ที่ชอบใจของตน ๆ แล้ว ปวารณากัน. แบบนี้ชื่อว่า ย่อมประชุมกันเพื่อ
ประโยชน์แก่การสงเคราะห์ปวารณา.
ก็ในเทวโลกมีเถาชื่ออาสาวดี พวกเทวดาคิดว่าเถานั้นจักออกดอก
จึงไปสู่ที่บำรุงตลอดพันปี เมื่อต้นปาริฉัตรกำลังออกดอกพวกเทวดาไปสู่ที่
บำรุงตลอดหนึ่งปี. เทวดาเหล่านั้นพากันดีใจ ตั้งแต่ต้นไม้นั้นมีใบเหลืองเป็น
ต้นไป. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด
ไม้ปาริฉัตร คือไม้ทองหลาง ของพวกเทพชาวดาวดึงส์ มีใบเหลือง ภิกษุ

39
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 40 (เล่ม 14)

ทั้งหลาย ในสมัยนั้น พวกเทพชาวดาวดึงส์ก็พากันดีใจว่า บัดนี้ ไม้ปาริฉัตร
คือไม้ทองหลาง มีใบเหลืองแล ไม่นานหรอกจักสลัดใบเหลืองทิ้ง ภิกษุทั้ง
หลาย ในสมัยใด ไม้ปาริฉัตร คือไม้ทองหลาง ของพวกเทพชาวดาวดึงส์
สลัดใบเหลืองทิ้งแล้ว เริ่มเป็นตุ่มดอก เริ่มผลิดอก เป็นดอกดม เป็นดอก
แย้ม ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น พวกเทพชาวดาวดึงส์ ก็พากันดีใจว่า บัดนี้
ไม้ปาริฉัตร คือไม้ทองหลาง เป็นดอกแย้ม ไม่นานหรอกจักบานสะพรั่งหมด
ก็แล ภิกษุทั้งหลาย รัศมีครอบคลุมไป ๕๐ โยชน์โดยรอบต้นปาริฉัตร คือ
ไม้ทองหลางที่บานสะพรั่ง กลิ่นพัดไปตามลม ๑๐๐ โยชน์. นี้เป็นอานุภาพ
แห่งต้นปาริฉัตร คือไม้ทองหลาง.๑
เมื่อไม้ปาริฉัตรบานแล้ว กิจด้วยการพาดพะอง กิจด้วยการเอาขอ
เกี่ยวโน้มมา หรือกิจด้วยการเอาผอบไปรับเพื่อนำเอาดอกไม้มาไม่มี. ลมที่
ทำหน้าที่เด็ดตั้งขึ้นแล้วก็เด็ดดอกไม้จากขั้ว ลมที่ทำหน้าที่รับก็รับไว้ ลมที่ทำ
หน้าที่หอบส่งก็ส่งเข้าไปสู่สุธรรมาเทวสภา. ลมที่ทำหน้าที่กวาดก็กวาดเอาดอก
ไม้เก่าทิ้ง. ลมที่ทำหน้าที่ปูลาดก็จัดแจงปูลาดใบฝักและเกสร. ที่ตรงกลางมี
ธรรมาสน์ มีบัลลังก์แก้วสูงขนาดโยชน์ มีเสวตฉัตรสูงสามโยชน์กั้นไว้ข้างบน
ถัดจากบัลลังก์นั้น ก็ปูอาสนะท้าวสักกเทวราช. ถัดนั้นมาก็เป็นอาสนะของเทพ
บุตรอีกสามสิบสามองค์. ถัดนั้นมาก็เป็นอาสนะของเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่ ๆ
เหล่าอื่น. สำหรับ เทพเหล่าอื่นก็ใช้ฝักดอกไม้เป็นอาสนะ. พวกเทวดาเข้าสู่
เทวสภาเเล้วนั่งอยู่. เกลียวละอองดอกไม้ฟุ้งไปจรดฝักเบื้องบนแล้วตกมาทำให้
อัตภาพประมาณสามคาวุตของเทวดาทั้งหลายเหมือนชโลมด้วยน้ำครั่ง. พวก
เทวดาเหล่านั้นเล่นกีฬานั้นสี่เดือนจึงสิ้นสุดลง. พวกเทวดาย่อมประชุมกัน เพื่อ
ประโยชน์แก่การเสวย ปาริฉัตรตกกีฬาด้วยประการฉะนี้.
๑. อํ. สตฺตก. ๑๘๘.

40
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 41 (เล่ม 14)

ก็แหละ ในเทวโลก เทวดาโฆษณาการฟังธรรมใหญ่เดือนละ ๘ วัน
ในวันทั้ง ๘ นั้น สนังกุมารมหาพรหม ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ภิกษุธรรมกถึก
หรือไม่อย่างนั้นก็เทพบุตรธรรมกถึกองค์ใดองค์หนึ่ง กล่าวธรรมกถาในสุธรรมา
เทวสภา. ในวัน ๘ ค่ำ ของปักษ์ พวกอำมาตย์ของมหาราชทั้ง ๔ องค์ ใน
วัน ๑๔ ค่ำ โอรสทั้งหลาย ในวัน ๑๕ ค่ำ มหาราชทั้ง ๔ องค์ เสด็จ
ออกไป ทรงถือแผ่นกระดาษทองและชาติหิงคุลก์ ท่องเที่ยวไปตามคามนิคม
และราชธานีทั้งหลาย. พระองค์ทรงบันทึกไว้ด้วยชาติหิงคุลก์บนแผ่นทองว่า
หญิงหรือชายชื่อโน้นนั้น ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงธรรมเป็นสรณะ ถึง
พระสงฆ์เป็นสรณะ. รักษาศีล ๕กระทำอุโบสถ ๘ ทุกเดือน บำเพ็ญการบำรุง
มารดา การบำรุงบิดา กระทำการบูชาด้วยดอกอุบล ๑๐๐ กำ บูชาด้วย แจกัน
ดอกไม้ในที่โน้น ตามประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ทำการฟังธรรมไม่เป็นเวลา
สร้างฉัตรเวที มุทธิเวที กุจฉิเวที บัลลังก์สิงห์ บันไดสิงห์ บำเพ็ญสุจริต ๓
ประการ ประพฤติยึดมั่นกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แล้วนำมามอบให้ที่มือ
ของปัญจสิขะ. ปัญจสิขะก็ให้ที่มือของมาตลี. สารถีมาตลีก็ถวายแด่ท้าวสักก
เทวราช เมื่อคนทำบุญมีไม่มาก สมุดบัญชีก็น้อย. พอพวกเทวดาได้เห็น
บัญชีนั้น เท่านั้น ก็เสียใจว่า เพื่อนเอ๋ย มหาชนประมาทจริงหนอ อบาย ๔
จักเต็ม เทวโลก ๖ จักว่างเปล่า. แต่ถ้าบัญชีหนา เมื่อพวกเทวดาได้เห็นมัน
เท่านั้น ก็พากันดีใจว่า โอ เพื่อเอ๋ย มหาชนมิได้ประมาท อบาย ๔
จักว่าง เทวโลก ๖ จักเต็ม พวกเราจักได้ห้อมล้อมผู้มีบุญใหญ่ที่ได้ทำบุญ
ไว้ในพระพุทธศาสนาแล้วมาเล่นนักษัตรด้วยกัน. ท้าวสักกเทวราชทรงถือบัญชี
นั้นแล้วก็ทรงสั่งสอน. โดยแบบปกติ เมื่อท้าวสักกเทวราชนั้นกำลังตรัส
พระสุรเสียงได้ยินไป ๑๒ โยชน์. เมื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงดังพระสุรเสียงก็กลบ
เทวนครหมดทั้งหมื่นโยชน์ตั้งอยู่. อย่างที่กล่าวมานี้ เทวดาทั้งหลายย่อมประชุม

41