No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 22 (เล่ม 14)

สำคัญเวลาอันสมควรเถิด. ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์เข้าไปหาภริยา
๔๐ นาง ผู้เสมอกันแล้วก็ได้กล่าวคำนี้กะภรรยาทั้ง ๔๐ นางผู้เสมอกัน ว่า แนะ
นางผู้เจริญ เกียรติศัพท์อันงามอย่างนี้ ของฉันแล ฟุ้งขจรไปแล้วว่า มหา-
โควินทพราหมณ์ อาจเห็นพรหมก็ได้ อาจจะสากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษา
กับพรหมก็ได้ ฉันเองเห็นพรหมไม่ได้เลย จะสากัจฉากับพรหมก็ไม่ได้ จะ
สนทนากับพรหมก็ไม่ได้ จะปรึกษากับพรหมก็ไม่ได้ แต่ฉันได้ฟังคำนี้ของ
พวกพราหมณ์ผู้เฒ่า เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ของอาจารย์ พูดกันอยู่ว่า
ผู้ใดหลีกเร้นอยู่ ๔ เดือน ในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌานอยู่ ผู้นั้นจะเห็นพรหมก็
ได้ จะสากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ เพราะเหตุนั้น ฉัน
อยากหลีกเร้น ๔ เดือนในฤดูฝน จะเพ่งกรุณาฌาน ใคร ๆ ไม่พึงเข้าไปหา
ยกเว้นแต่คนส่งอาหารคนเดียว. พวกนางตอบว่า บัดนี้ ท่านโควินท์ผู้เจริญ
ย่อมสำคัญเวลาอันสมควร.
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ ให้สร้างสัณฐาคารใหม่ทางทิศ
ตะวันออก แห่งพระนครนั่นเองแล้วก็หลีกเร้น ในฤดูฝนจนครบ ๔ เดือน เพ่ง
กรุณาฌานแล้ว ไม่มีใครเข้าไปหาท่านนอกจากคนส่งอาหารคนเดียว. ครั้ง
นั้นแล โดยล่วงไป ๔ เดือน ความกระสันได้มีแล้วทีเดียว ความหวาดสะดุ้ง
ก็ได้มีแล้วแก่มหาโควินทพราหมณ์ว่า ก็แหละเราได้ฟังคำนี้ของพราหมณ์ผู้เฒ่า
เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ของอาจารย์ พูดกันอยู่ว่า ผู้ใดหลีกเร้นอยู่ตลอด
๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌานอยู่ ผู้นั้นจะเห็นพรหมได้ จะสากัจฉา จะ
สนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ แต่ส่วนเราเห็นพรหมไม่ได้เลย สากัจฉา
กับพรหมก็ไม่ได้ สนทนากับพรหมก็ไม่ได้ ปรึกษากับพรหมก็ไม่ได้

22
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 23 (เล่ม 14)

ว่าด้วยการปรากฏของสนังกุมารพรหม
ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหมทราบความดำริทางใจของมหาโควินท-
พราหมณ์ด้วยใจแล้ว ก็หายไปในพรหมโลก ได้ปรากฏต่อหน้ามหาโควินท-
พราหมณ์เหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์มีความกลัวตัวสั่น ขนพอง เพราะเห็นรูป
อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน.
ว่าด้วยปฏิปทาให้ถึงพรหมโลก
ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาโควินท์ กลัวแล้วสลดแล้ว เกิดขนชูชัน
แล้วได้กล่าวกะพรหมสนังกุมารด้วยคาถาว่า
[๒๒๕] ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใคร มีรัศมี
มียศ มีสิริ พวกเราไม่รู้จักท่าน จึงขอ
ถามท่าน ทำอย่างไร พวกเราจึงจะรู้จัก
ท่านเล่า.
พวกเทพทั้งปวงในพรหมโลกย่อมรู้จัก
เราว่าเป็นกุมารมานมนานแล้ว ทวยเทพ
ทั้งหมดก็รู้จักเรา โควินท์ ท่านจงรู้อย่างนี้.
ที่นั่ง น้ำ น้ำมันทาเท้า และขนมสุก
คลุกน้ำผึ้ง สำหรับพรหม ขอเชิญท่านด้วย
ของควรค่า ขอท่านจงรับของควรค่าของ
ข้าพเจ้าเถิด.

23
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 24 (เล่ม 14)

โควินท์ ท่านพูดถึงของควรค่าใด เรา
จะรับเอาของควรค่า (นั้น) ของท่าน เรา
เปิดโอกาสแล้ว ท่านจงถามอะไร ๆ ที่ท่าน
ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์
เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขใน
เบื้องหน้า.
[๒๒๖] ครั้งนั้นแล ความคิดนี้ได้มีแก่มหาโควินทพราหมณ์ว่า เรา
เป็นผู้ที่สนังกุมารพรหมเปิดโอกาสให้แล้ว เราพึงถามอะไรหนอแล กับสนัง-
กุมารพรหม ประโยชน์ปัจจุบันหรือประโยชน์เบื้องหน้า ครั้งนั้นแล ความคิด
นี้ได้มีแล้วแก่มหาโควินทพราหมณ์ว่า สำหรับประโยชน์ปัจจุบัน เราเป็น
ผู้ฉลาดแล แม้คนเหล่าอื่นก็ย่อมถามประโยชน์ปัจจุบันกะเรา อย่ากระนั้นเลย
เราพึงถามประโยชน์ที่เป็นไปในภพเบื้องหน้าเท่านั้นกะสนังกุมารพรหม ครั้ง
นั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ จึงได้กล่าวคาถากับสนังกุมารพรหมว่า
[๒๒๗] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความสงสัย ขอถาม
ท่านสนังกุมารพรหมผู้ไม่มีความสงสัยใน
ปัญหาที่พึงรู้อื่น สัตว์ตั้งอยู่ในอะไร และ
ศึกษาอยู่ในอะไรจึงจะถึงพรหมโลกที่ไม่
ตายได้.
ดูก่อนพราหมณ์ สัตว์ละความยึดถือ
อัตตาว่าเป็นของเรา ในสัตว์ทั้งหลาย ที่
เกิดเป็นมนุษย์ เป็นผู้เดียวโดดเด่น น้อม
ไปในกรุณาปราศจากกลิ่นเหม็น เว้นจาก

24
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 25 (เล่ม 14)

เมถุน ตั้งอยู่ในธรรมนี้ และศึกษาอยู่
ในธรรมนี้จึงจะถึงพรหมโลกที่ไม่ตายได้
ข้อปฏิบัติให้ถึงพรหมโลก
[๒๒๘] ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า ละความยึดถืออัตตาเป็นของ
เราได้แล้ว. คนบางคนโนโลกนี้ สละกองโภคะน้อย หรือสละกองโภคะมาก
สละเครือญาติน้อย หรือสละเครือญาติมาก ปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้า
ย้อมฝาด บวชเป็นบรรพชิต ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า ละความยึดถือ
อัตตาเป็นเราได้แล้ว ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า เป็นผู้เดียวโดดเด่น
คนบางคนในโลนนี้ ใช้ที่นอนที่นั่งเงียบอยู่ หลีกเร้นอยู่ที่ป่า โคนไม้ ภูเขา
ซอกเขา ถ้ำเขา ป่าช้า ราวป่า กลางแจ้ง ลอมฟาง ดังว่ามานี้ ข้าพเจ้า
นั้นย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า เป็นผู้เดียวโดดเด่น. ข้อว่า น้อมไปในกรุณา
ข้าพเจ้านั้นย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า คนบางคนในโลกนี้ แผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง
มีโจสหรคตด้วยกรุณาอยู่ ทิศที่สองก็อย่างนั้น ทิศที่สามก็อย่างนั้น ทิศที่สี่ก็
อย่างนั้น แผ่ไปด้วยใจที่สหรคตด้วยกรุณา ไม่มีเวร ไม่มีความพยาบาท
กว้างขวาง ถึงความเป็นใหญ่ ไม่มีจำกัด ตลอดทิศทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง
เบื้องขวาง ทุกแห่ง ตลอดโลกทั้งหมดอย่างทั่วถึงอยู่ ดังที่ว่ามานี้ ข้าพเจ้า
นั้นย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านว่า น้อมไปในกรุณา. ก็แลข้าพเจ้าย่อมไม่รู้ทั่วถึงจาก
ท่านผู้กล่าวถึงกลิ่นที่เหม็น
[๒๒๙] ข้าแต่พรหม ในหมู่มนุษย์มีกลิ่นเหม็น
อะไร หมู่มนุษย์ในโลกนี้ ไม่รู้จักกลิ่น
เหม็นเหล่านี้ ธีระ ท่านโปรดกล่าว หมู่

25
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 26 (เล่ม 14)

สัตว์อันอะไรร้อยรัดจึงมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป
กลายเป็นสัตว์อบาย มีพรหมโลกอันปิด
แล้ว.
ความโกรธ ความเท็จ ความหลอก-
ลวง ความประทุษร้ายมิตร ความตระหนี่
ความถือตัวจัด ความริษยา ความอยาก
ความสงสัย ความเบียดเบียนผู้อื่น ความ
โลภ ความประทุษร้าย ความมัวเมา และ
ความหลง ผู้ประกอบในกิเลสเหล่านี้
เป็นผู้ไม่ปราศจากกลิ่นเหม็นเน่า กลาย
เป็นสัตว์อบาย มีพรหมโลกอันปิดแล้ว.
[๒๓๐] ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงจากท่านผู้กล่าวถึงกลิ่นเหม็นอยู่โดยประ-
การที่กลิ่นเหม็นเหล่านั้นอันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีอย่างง่าย ๆไม่ได้ ข้าพเจ้า
จักบวชเป็นบรรพชิต. บัดนี้ ท่านโควินท์ผู้เจริญย่อมสำคัญเวลาอันสมควร.
มหาโควินท์ทูลลาบวช
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเรณุ แล้วกราบ
ทูลคำนี้กะพระเจ้าเรณุว่า ขอพระองค์โปรดทรงแสวงหาที่ปรึกษาคนอื่นผู้ที่จัก
พร่ำสอนเกี่ยวกับราชสมบัติของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ ณ บัดนี้ ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ตามที่ข้าพระพุทธเจ้า
ได้ฟังคำของพรหมกล่าวถึงกลิ่นเหม็น กลิ่นเหม็นเหล่านั้นอันผู้อยู่ครองเรือน
จะพึงย่ำยีไม่ได้ โดยง่ายเลย ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าจักออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิต.

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 27 (เล่ม 14)

[๒๓๑] ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลเชิญพระ
เจ้าเรณุ ภูมิบดี ขอพระองค์โปรดทรง
ทราบด้วยราชสมบัติ ข้าพระพุทธเจ้าไม่
ยินดีในความเป็นที่ปรึกษา.
ถ้าท่านมีความต้องการยังพร่องอยู่ เรา
จะเพิ่มให้ท่านจนเต็มที่ ใครเบียดเบียน
ท่าน เราผู้เป็นจอมทัพแห่งแผ่นดินจะ
ป้องกัน ท่านเป็นเหมือนบิดา เราเป็น
เหมือนบุตร ท่านโควินท์ อย่าทิ้งพวกเรา
ไปเลย.
ข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีความต้องการ
ที่ยังพร่อง ผู้เบียดเบียนข้าพระพุทธเจ้า
ก็ไม่มีแต่เพราะฟังคำของอมนุษย์ ข้าพระ
พุทธเจ้าจึงไม่ยินดีในเรือน.
อมนุษย์พวกไหน เขาได้กล่าวข้อความ
อะไรกะท่าน ซึ่งท่านได้ฟังแล้ว จึงทิ้ง
พวกเรา ทิ้งเรือนของเรา และทิ้งเรา
ทั้งหมด.
ในกาลก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้า เข้า
ไปอยู่แล้ว เป็นผู้ใคร่บูชา ไฟที่เติมใบ
หญ้าคา โชติช่วงแล้ว.

27
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 28 (เล่ม 14)

แต่นั้น พรหมองค์เก่าแก่จากพรหม
โลกมาปรากฏกายแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว
พรหมนั้นได้แก้ปัญหาของข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าฟังคำนั้นแล้ว จึงไม่ยินดี
ในเรือน.
โควินท์ ท่านกล่าวคำใด เราเชื่อคำ
นั้นของท่าน ท่านฟังถ้อยคำของอมนุษย์
จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร พวกเรา
จักคล้อยตามท่าน โควินท์ขอท่านจงเป็น
ครูของพวกเรา.
มณี ไพฑูรย์ ไม่ขุ่นมัว ปราศจาก
มลทินงดงามฉันใด พวกเราฟังแล้วจัก
ประพฤติในคำพร่ำสอนของท่านโควินท์
ฉันนั้น.
[๒๓๒] ถ้าท่านโควินท์ผู้เจริญ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แม้
พวกเราก็จักออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต และคติของท่านก็จักเป็นคติ
ของพวกเรา. ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้าเฝ้ากษัตริย์ ๖ พระองค์
นั้นแล้วได้ทูลคำนี้กะกษัตริย์ ๖ พระองค์นั้นว่า ใต้ฝ่าพระบาท บัดนี้ ขอพระ
องค์โปรดแสวงหาคนอื่นผู้ที่จักพร่ำสอนในเรื่องราชสมบัติของพวกพระองค์มา
เป็นที่ปรึกษาเถิด ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตตาม
คำของพรหมผู้กล่าวถึงกลิ่นเหม็นที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังนั้นแล กลิ่นเหม็น
เหล่านั้น อันผู้อยู่ครอบครองเรือนจะพึงย่ำยีง่าย ๆ ไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจัก
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. ครั้งนั้นแล กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์นั้น

28
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 29 (เล่ม 14)

หลีกไปในที่ส่วนหนึ่งแล้วปรึกษากันว่า ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์พวกนี้เป็นคนละโมบ
ในทรัพย์ อย่ากระนั้นเลย พวกเราพึงเกลี้ยกล่อมโควินทพราหมณ์ด้วยทรัพย์.
กษัตริย์เหล่านั้นเข้าไปหามหาโควินทพราหมณ์แล้วตรัสอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ
สมบัติในราชสมบัติทั้ง ๗ นี้ มีอยู่เพียงพอจริง ๆ ท่านต้องการด้วยประมาณ
เท่าไร ๆ จากราชสมบัติทั้ง ๗ นั้น จงนำมาให้มีประมาณเท่านั้น. อย่าเลย
ใต้ฝ่าพระบาท สมบัติแม้นี้ของข้าพระองค์ก็มีพอแล้ว สมบัติของพวกพระองค์
ก็อย่างนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์จักสละทุกอย่างแล้วออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต ตามคำของพรหมผู้กล่าวถึงกลิ่นเหม็นที่ข้าพระองค์ได้ฟังมานั่นแล
กลิ่นเหม็นทั้งหลายเหล่านั้นอันผู้อยู่ครอบครองเรือนจะพึงย่ำยีอย่างง่าย ๆ ไม่ได้
ข้าพระพุทธเจ้าจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. ครั้งนั้นแล เหล่า ๖
กษัตริย์นั้นหลีกไปในส่วนข้างหนึ่งแล้วช่วยกันคิดว่า ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์พวกนี้
เป็นคนละโมบในสตรี อย่ากระนั้นเลย พวกเราพึงเกลี้ยกล่อมมหาโควินท์
พราหมณ์ด้วยพวกสตรี กษัตริย์เหล่านั้นเข้าไปหามหาโควินทพราหมณ์แล้วตรัส
อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พวกสตรีในราชสมบัติทั้ง ๗ นี้มีอยู่อย่างเหลือเฟือ
จริง ๆ ท่านต้องการพวกสตรีจำนวนเท่าไร จากราชสมบัติทั้ง ๗ นั้น จะนำ
มาให้จำนวนเท่านั้น. พอละ ใต้ฝ่าพระบาท ภริยาของข้าพระองค์มี ๔๐ นาง
ผู้เสมอกัน ข้าพระองค์จักสละนางเหล่านั้นทั้งหมดออกจากเรือนบวชเป็นบรรพ
ชิตตามคำของพรหมผู้กล่าวถึงกลิ่นเหม็นเน่าที่ข้าพระองค์ได้ฟังมานั่นแหละ กลิ่น
ที่เหม็นเน่าเหล่านั้น อันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีอย่างง่าย ๆ ไม่ได้ ข้าพระองค์
จักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. ถ้าท่านโควินท์ผู้เจริญจักออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิต พวกเราก็จักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเหมือนกัน และอัน
ใดเป็นคติของท่าน อันนั้นก็จักเป็นคติของพวกเรา.

29
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 30 (เล่ม 14)

[๒๓๓] ถ้าพวกพระองค์ละกามทั้งหลาย ซึ่ง
เป็นแหล่งที่ปุถุชนข้องได้แล้ว จงปรารภ
ความเพียรมั่นคง เป็นผู้มีขันติเป็นกำลัง
ทั้งมีใจตั้งมั่นเถิด.
ทางนั่นเป็นทางตรง ทางนั่นเป็นทาง
ยอดเยี่ยม พระสัทธรรมอันพวกสัตบุรุษ
รักษาแล้วเพื่อการเข้าถึงพรหมโลก.
การอำลาของมหาโควินท์
[๒๓๔] ถ้าอย่างนั้น ท่านโควินท์ผู้เจริญ โปรดจงรอ ๗ ปี โดย
ล่วงไป ๗ ปี พวกเราก็จักบวชออกจากเรือนเลิกเกี่ยวข้องกับการเรือนเหมือนกัน
และอันใดเป็นคติของท่าน อันนั้นก็จักเป็นคติของพวกเรา. ใต้ฝ่าพระบาท ๗
ปี นานเกินไป ข้าพระองค์ไม่สามารถรอพวกพระองค์ได้ตั้ง ๗ ปี ก็ใครเล่า
หนอจะรู้ชีวิตได้ ภพหน้าจำต้องไป ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไปด้วยความรู้
ต้องทำกุศล ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี ก็อย่างคำ
ของพรหมผู้กล่าวถึงกลิ่นเหม็นเน่าที่ข้าพระองค์ได้ฟังมาแล้วนั่นแหละ กลิ่น
คาวเหล่านั้นอันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีอย่างง่าย ๆ ไม่ได้ ข้าพระองค์จักออก
จากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
ถ้าอย่างนั้น ท่านโควินท์ผู้เจริญโปรดจงรอ ๖ ปี ฯลฯ โปรดจงรอ
๕ ปี. โปรดจงรอ ๔ ปี. โปรดจงรอ ๓ ปี. โปรดจงรอ ๒ ปี.. โปรดจงคอย
๑ ปี โดยล่วง ๑ ปีไป พวกเราก็จักบวชออกจากเรือนเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเรือน
และอันใดเป็นคติของท่าน อันนั้นก็จักเป็นคติของพวกเรา.

30
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 31 (เล่ม 14)

ใต้ฝ่าพระบาท ๑ ปี นานเกินไป ข้าพระองค์ไม่อาจคอยพวกพระองค์
๑ ปี ก็ใครเล่าจะรู้ชีวิตได้ ภพหน้าจำต้องไป ต้องใช้ความรู้ตัดสินใจให้เด็ด
ขาดลงไป ต้องทำกุศลไว้ ต้องประพฤติพรหมจรรย์. ผู้เกิดมาแล้ว ไม่ตายไม่
มี ก็อย่างคำของพรหมกล่าวอยู่เกี่ยวกับกลิ่นเหม็นเน่า ที่ข้าพระองค์ได้ฟังมา
แล้วนั่นแหละ กลิ่นเหม็นเหล่านั้น อันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยีอย่างง่าย ๆ
ไม่ได้ ข้าพระองค์จักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ถ้าอย่างนั้น ท่านโควินท์ผู้เจริญ โปรดจงรอ ๗ เดือน โดยกาล
ล่วงไป ๗ เดือน พวกเราก็จักบวชออกจากเรือนเลิกยุ่งกับการเรือนเหมือนกัน
และอันใดเป็นคติของท่าน อันนั้นก็จักเป็นคติของพวกเรา.
ใต้ฝ่าพระบาท ๗ เดือนนานเกินไป ข้าพระองค์คอยพวกพระองค์ ๗
เดือนไม่ได้ ใครเล่าจะรู้ความเป็นอยู่ได้ ภพหน้าจำต้องไป ต้องใช้ความรู้ตัด
สินใจให้เด็ดขาดลงไป ต้องสร้างกุศลไว้ ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ผู้เกิดมา
ไม่ตายไม่มี ก็อย่างคำของพรหมกล่าวอยู่เกี่ยวกับกลิ่นเหม็นเน่า ที่ข้าพระองค์
ได้ฟังมาแล้วนั่นแหละ กลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้น อันผู้อยู่ครองเรือนจะพึงย่ำยี
อย่างง่าย ๆ ไม่ได้ ข้าพระองค์จักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต .
ถ้าอย่างนั้น ท่านโควินท์ผู้เจริญ โปรดจงคอย ๖ เดือน. โปรดจง
คอย ๕ เดือน. โปรดจงคอย ๔ เดือนโปรดจงคอย ๓ เดือน. โปรดจงคอย
๒ เดือน. โปรดจงคอย ๑ เดือน. โปรดจงคอยครึ่งเดือน โดยครึ่งเดือนล่วง
ไป พวกเราก็จักบวชออกจากเรือนเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเรือน และคติของท่าน
จักเป็นคติของพวกเรา
ใต้ฝ่าพระบาท ครึ่งเดือนนานเกินไป ข้าพระองค์คอยพวกพระองค์
ถึงครึ่งเดือนไม่ได้ ก็ใครเล่าจะรู้ชีวิตได้ ภพหน้าจำต้องไป ต้องใช้ความรู้

31