No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 12 (เล่ม 14)

กลมกลืนกัน เป็นอย่างดีแล้ว. น้ำจากแม่น้ำคงคากับน้ำจากแม่น้ำยมุนา ย่อม
กลมกลืนกัน เข้ากันได้อย่างเรียบร้อย ชื่อแม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ
องค์นั้น ก็ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปให้ถึงพระนิพพานแก่พระสาวก
ทั้งหลาย ทั้งพระนิพพานทั้งข้อปฏิบัติก็กลมกลืนกัน เป็นอย่างดีแล้ว ฉันนั้น
นั่นเทียว. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาผู้ที่บัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปให้ถึงพระ
นิพพานได้อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และ
ไม่ว่าปัจจุบันนี้เลย นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น .
[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงได้พระสหายแห่งข้อปฏิบัติ
ของพระผู้ยังต้องศึกษาอีกเทียว และพระผู้สิ้นอาสวะ ผู้จบวัตรแล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้าไม่ทรงติดด้วยข้อปฏิบัติ และวัตรนั้น ทรงตามประกอบความเป็น
ผู้เดียว เป็นที่มาแห่งความยินดีอยู่. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ทรงประกอบ
ความเป็นผู้ยินดีในความเป็นผู้เดียวอย่างนี้ ผู้ถึงความพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่
ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าปัจจุบันนี้เลย นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น.
[๖] ลาภสำเร็จอย่างยิ่ง ชื่อเสียงก็สำเร็จอย่างยิ่ง แด่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้น ปานกับพวกกษัตริย์ที่ทรงพระสิริโฉมสง่า น่ารักอยู่ ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล ทรงปราศจากความเมา เสวยพระอาหาร.
เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปราศจากความเมา บริโภคอาหารอยู่อย่างนี้ ผู้ถึง
พร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าปัจจุบันนี้เลย นอกจาก
พระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น.
[๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไร
ก็ทรงมีปกติทำอย่างนั้น ทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น
ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่า ทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไร ก็ทรงมีปกติทำ

12
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 13 (เล่ม 14)

อย่างนั้น ทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น. เราไม่พิจารณา
เห็นศาสดาที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้
ไม่ว่าในส่วนอดีตหรือในปัจจุบันนี้ ยกเว้นแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริเกี่ยวกับอัชฌาสัย เกี่ยวกับข้อ
ปฏิบัติ อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ข้าม
ความสงสัยได้ ปราศจากความเคลือบแคลงสิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัย
เกี่ยวกับข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์อย่างนี้ ผู้ประกอบ
พร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าปัจจุบันนี้เลย ยกเว้น
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
พระพุทธเจ้าข้า ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ได้ตรัสถึงพระคุณตามที่
เป็นจริง ๘ ประการ เหล่านี้แก่ สนังกุมารพรหม.
[๒๑๙] เพราะเหตุนั้น พระเจ้าข้า จึงเล่ากันมาว่า สนังกุมารพรหม
จึงชื่นใจ บันเทิง เกิดปิติโสมนัส เมื่อได้ฟังพระคุณตามที่เป็นจริง ๘ ประการ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้งนั้น สนังกุมารพรหม นิมิตอัตภาพใหญ่ยิ่งเป็น
เพศกุมาร ไว้ผม ๕ จุก ปรากฏแก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์. สนังกุมารพรหมนั้น
เหาะขึ้นสู่ฟ้านั่งโดยบัลลังก์ในอากาศ บุรุษมีกำลังพึงนั่งบนบัลลังก์ที่ปูลาดไว้
เป็นอย่างดี หรือโดยบัลลังก์บนภาคพื้นที่เสมอแม้ฉันใด สนังกุมารพรหมก็
ฉันนั้น เหาะขึ้นสู่ฟ้า นั่งโดยบัลลังก์ในอากาศแล้ว เรียกพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกเทพชั้นดาวดึงส์จะสำคัญข้อนั้นเป็นไฉนว่า พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มาตลอดกาลนานเพียงไร

13
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 14 (เล่ม 14)

เรื่องพระเจ้าทิสัมบดี
ท่านผู้เจริญ เคยมีพระราชาพระนามว่า ทิสัมบดีมาแล้ว . พระเจ้า
ทิสัมบดีได้ทรงมีพราหมณ์ที่ปรึกษาชี่อโควินท์. พระเจ้าทิสัมบดี ทรงมีพระราช
บุตรพระนามว่า เรณุกุมาร. สำหรับโควินทพราหมณ์ได้มีบุตรชื่อ โชติบาล
มาณพ. ด้วยประการฉะนี้ จึงได้มีเพื่อน ๘ คน คือเรณุราชบุตร ๑ โชติบาล
มาณพ ๑ และกษัตริย์ อื่นอีก ๖ องค์. ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปแห่งวัน
และคืน โควินทพราหมณ์ได้ทำกาละแล้ว. ครั้นโควินทพราหมณ์ตายแล้ว
พระเจ้าทิสัมบดี ก็ทรงคร่ำครวญว่า โอ้หนอ ในสมัยใด เรามอบหมายงาน
ทุกอย่างในโควินทพราหมณ์อิ่มเอิบสะพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณทั้ง ๕ ให้เขา
บำเรออยู่ ก็ในสมัยนั้นแลโควินทพราหมณ์ ตายไปเสียแล้ว. เมื่อพระเจ้า
ทิสัมบดีตรัสอย่างนี้แล้ว เรณุราชบุตรก็กราบทูลคำนี้ กับพระเจ้าทิสัมบดีว่า
ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์อย่าทรงคร่ำครวญในเพราะโควินทพราหมณ์ตายเลย
ลูกชายของโควินทพราหมณ์ชื่อโชติบาลยังมีอยู่ ฉลาดกว่าบิดาเสียด้วย และ
สามารถมองเห็นอรรถกว่าเสียด้วย. บิดาของเขาพร่ำสอนข้อความแม้เหล่าใด
ข้อความแม้เหล่านั้นเขาก็พร่ำสอนแก่โชติบาลมาณพทั้งนั้น . อย่างนั้นหรือ
พ่อกุมาร พระเจ้าทิสัมบดีตรัสถาม. อย่างนั้น เทวะ พระกุมารกราบทูล.
ครั้งนั้นแล พระเจ้าทิสัมบดีจึงทรงเรียกบุรุษคนใดคนหนึ่งมาสั่งว่า นี่บุรุษ เธอ
มานี่ เธอจงไปหาโชติบาลมาณพ แล้วจงกล่าวกะโชติบาลมาณพอย่างนี้ว่า ขอ
ความเจริญจงมีแก่โชติบาลมาณพผู้เจริญ พระเจ้าทิสัมบดีรับสั่งเรียกโชติบาล
มาณพผู้เจริญ พระเจ้าทิสัมบดีทรงใคร่จะทอดพระเนตรโชติบาลมาณพผู้เจริญ.
บุรุษนั้นรับ สนองพระราชโองการของพระเจ้าทิสัมบดีแล้ว ก็เข้าไปหาโชติบาล
มาณพ ครั้นเข้าไปแล้วก็ได้กล่าวคำนี้กะโชติบาลมาณพว่า ขอความเจริญจงมี
แก่ท่านโชติบาลมาณพ พระเจ้าทิสัมบดีสั่งให้เรียกท่านโชติบาลมาณพ พระเจ้า

14
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 15 (เล่ม 14)

ทิสัมบดีทรงใคร่จะทอดพระเนตรท่านโชติบาลมาณพ. โชติบาลมาณพสนองตอบ
แก่บุรุษนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าทิสัมบดี บันเทิงเป็นอันดี กับพระเจ้า
ทิสัมบดี ครั้นเสร็จสิ้นถ้อยคำ ชื่นชมพอให้เกิดความคิดถึงกันแล้ว จึงนั่งในที่
ส่วนหนึ่ง. พระเจ้าทิสัมบดีได้ตรัสคำนี้กับโชติบาลมาณพ ผู้นั่งในที่ส่วนหนึ่งว่า
ขอให้ท่านโชติบาลจงพร่ำสอนพวกเราเถิด ขอท่านโชติบาลอย่าทำให้พวกเรา
เสื่อมเสียจากคำพร่ำสอนเลย เราจะตั้งท่านในตำแหน่งบิดา เราจักอภิเษกใน
ตำแหน่งท่านโควินท์. โชติบาลมาณพ รับสนองพระราชโองการของพระเจ้า
ทิสัมบดีว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล ท่านผู้เจริญ พระเจ้าทิสัมบดี
ทรงอภิเษกโชติบาลมาณพในตำแหน่งท่านโควินท์ ตั้งไว้ในตำแหน่งบิดาแล้ว.
ชื่อมหาโควินท์
โชติบาลมาณพได้รับอภิเษกในตำแหน่งท่านโควินท์ ได้รับ แต่งตั้ง
ในตำแหน่งบิดาแล้ว บิดาพร่ำสอนข้อความแม้เหล่าใด แก่พระเจ้าทิสัมบดีนั้น
ก็พร่ำสอนข้อความแม้เหล่านั้น แม้ข้อความเหล่าใด ที่บิดามิได้พร่ำสอนแด่
พระเจ้าทิสัมบดี ก็มิได้พร่ำสอนข้อความแม้เหล่านั้น บิดาจัดการงานแม้เหล่า
ใด แด่พระเจ้าทิสัมบดีนั้น ก็จัดการงานแม้เหล่านั้น บิดามิได้จัดการงาน
เหล่าใดแก่พระเจ้าทิสัมบดีก็ไม่จัดการงานเหล่านั้น คนทั้งหลายกล่าวขวัญถึง
เขาอย่างนี้ว่า ท่านโควินทพราหมณ์หนอ ท่านมหาโควินทพราหมณ์หนอ. ด้วย
ปริยายอย่างนี้แล มหาโควินท์ ชื่อนี้จึงได้เกิดขึ้นแล้วแก่โชติบาลมาณพ.
เรื่องเรณุราชบุตร
[๒๒๐] ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ ๖
พระองค์เหล่านั้นแล้ว ได้ทูลคำนี้กับกษัตริย์ ๖ พระองค์เหล่านั้นว่า ข้าแต่

15
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 16 (เล่ม 14)

พระองค์ พระเจ้าทิสัมบดีแล ทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่
ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว ก็ใครเล่าหนอจะรู้ชีวิต ข้อนี้ย่อมเป็นไปได้ทีเดียว คือข้อ
ที่ว่า เมื่อพระเจ้าทิสัมบดีเสด็จสวรรคตแล้ว พวกข้าราชการก็จะพึงอภิเษกเจ้า
เรณุราชบุตรในราชสมบัติ มาเถิดพระองค์ ขอให้พวกพระองค์เข้าเฝ้าเจ้า
เรณุผู้ราชบุตร ทูลอย่างนี้ว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าแล เป็นพระสหาย ที่โปรด
ปรานที่ชื่นพระทัยไม่เป็นที่สะอิดสะเอียนของพระองค์เรณุ ใต้ฝ่าพระบาททรง
มีความสุขอย่างไร พวกข้าพระพุทธเจ้าก็มีความสุขอย่างนั้น ใต้ฝ่าพระบาท
ทรงมีความทุกข์อย่างไร พวกข้าพระพุทธเจ้าก็มีความทุกข์อย่างนั้น พระเจ้า
ทิสัมบดีแล ทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัย
แล้ว ก็ใครเล่าหนอจะรู้ชีวิต ข้อนี้ย่อมเป็นไปได้ทีเดียว คือข้อที่ว่า เมื่อ
พระเจ้าทิสัมบดีเสร็จสวรรคตแล้ว พวกข้าราชการก็จะพึงอภิเษกพระองค์เรณู
ในราชสมบัติ ถ้าพระองค์เรณุพึงทรงได้ราชสมบัติ ก็จะพึงทรงแบ่งราชสมบัติ
แก่พวกข้าพระพุทธเจ้า. หกกษัตริย์เหล่านั้น ต่างทรงรับคำของมหาโควินท-
พราหมณ์แล้วทรงเข้าไปเฝ้าเจ้าเรณุราชบุตร แล้วได้กราบทูลคำนี้กะเจ้าเรณุ-
ราชบุตรว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าแล เป็นพระสหายที่โปรดปรานที่ชื่นพระทัย
ไม่เป็นที่สะอิดสะเอียนของพระองค์เรณุ ใต้ฝ่าพระบาททรงมีความสุขอย่างไร
พวกข้าพระพุทธเจ้าก็มีความสุขอย่างนั้น ใต้ฝ่าพระบาททรงมีความทุกข์อย่างไร
พวกข้าพระพุทธเจ้าก็มีความทุกข์อย่างนั้น พระเจ้าทิสัมบดีแล ทรงพระชรา
แล้ว เป็นผู้เฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว ก็ใครเล่าหนอจะ
รู้ชีวิต ข้อนี้ย่อมเป็นไปทีเดียว คือข้อที่ว่า เมื่อพระเจ้าทิสัมบดีเสด็จสวรรคต
แล้ว พวกข้าราชการก็จะพึงอภิเษกพระองค์เรณุในราชสมบัติ ถ้าใต้ฝ่าพระบาท
พระองค์เรณุพึงทรงได้ราชสมบัติ ก็จะทรงแบ่งราชสมบัติ แก่พวกข้าพระพุทธ-
เจ้า. คนอื่นใครเล่าหนอ พึงมีความสุขในแว่นแคว้นของหม่อมฉัน นอกจาก

16
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 17 (เล่ม 14)

พวกท่าน ถ้าหม่อมฉันจักได้ราชสมบัติ หม่อมฉันจักแบ่งราชสมบัติแก่พวก
ท่าน เรณุราชบุตรตรัส.
พระเจ้าเรณุได้รับอภิเษก
ครั้งนั้นแล โดยการล่วงไปแห่งวันและคืน พระเจ้าทิสัมบดีก็เสด็จ
สวรรคตแล้ว เมื่อพระเจ้าทิสัมบดีเสด็จสวรรคตแล้ว พวกข้าราชการก็อภิเษก
เจ้าเรณุราชบุตรในราชสมบัติ. เจ้าเรณุได้รับอภิเษกแล้วก็ทรงเอิบอิ่มเพรียบ-
พร้อมไปด้วยกามคุณทั้ง๕ ให้บำเรออยู่. ครั้นนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้า
ไปเฝ้ากษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์นั้น แล้วได้กราบทูลคำนี้กับกษัตริย์ ๖ พระองค์
นั้นว่า พระเจ้าทิสัมบดีสวรรคตแล้วแล. เจ้าเรณุก็ได้รับอภิเษกด้วยราชสมบัติ
ทรงเอิบอิ่มเพียบพร้อมไปด้วยกามคุณทั้ง ๕ ให้บำเรออยู่ ก็ใครเล่าหนอ จะรู้
ว่ากามทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา เชิญเถิดพระองค์ พวกพระองค์จง
ทรงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเรณุ แล้วกราบทูลพระเจ้าเรณุอย่างนี้ว่า ขอเดชะ
พระเจ้าทิสัมบดีของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระองค์
เรณุเล่าก็ทรงได้รับอภิเษกด้วยราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงระลึกถึงพระราช
ดำรัสนั้นได้อยู่หรือ. ท่านหกกษัตริย์นั้น ทรงตอบรับคำของมหาโควินท
พราหมณ์แล้วจึงพากันเข้าเฝ้าพระเจ้าเรณุ แล้วได้กราบทูลคำนี้กะพระเจ้าเรณุ
ว่า ขอเดชะ พระเจ้าทิสัมบดี ก็เสด็จสวรรคตไปแล้ว. ใต้ฝ่าละอองธุลีพระ
บาทพระองค์เรณุเล่า ก็ทรงได้รับอภิเษกด้วยราชสมบัติแล้วพระองค์ยังทรง
ระลึกพระราชดำรัสนั้นได้อยู่หรือ. หม่อมฉันยังจำได้อยู่ท่าน พระเจ้าเรณุตอบ
แล้ว ตรัส อีกว่า ใครเล่าหนอจะสามารถแบ่งมหาปฐพีนี้ ที่ยาวไปทางเหนือ
และใต้เป็นเหมือนทางเกวียนให้เป็น ๗ ส่วนเท่า ๆ กันได้ เป็นอย่างดีละท่าน.
คนอื่นนอกจากมหาโควินทพราหมณ์แล้ว ใครเล่าหนอจะสามารถ. ครั้งนั้นแล

17
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 18 (เล่ม 14)

พระเจ้าเรณุรับสั่งกับบุรุษคนใดคนหนึ่งว่า บุรุษ เธอมานี่ เธอจงไปหา
มหาโควินทพราหมณ์ แล้วกล่าวกะมหาโควินทพราหมณ์อย่างนี้ว่า พระเจ้า
เรณุรับสั่งเรียกใต้เท้า. บุรุษนั้น รับสนองพระราชโองการของพระเจ้าเรณุว่า
ขอรับใส่เกล้า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้แล้ว จึงไปหามหาโควินทพราหมณ์แล้ว
ได้กล่าวคำนี้กะมหาโควินทพราหมณ์ว่า พระคุณท่าน พระเจ้าเวณุสั่งเรียก
ใต้เท้า ขอรับกระผม. มหาโควินทพราหมณ์ก็รับคำของบุรุษนั้น แล้วจึงเข้า
เฝ้าพระเจ้าเรณุ แล้วกราบทูลสนทนาสัมโมทนียกถาพอให้คิดถึงกันแล้วจึงนั่ง
ที่ส่วนข้างหนึ่ง. พระเจ้าเรณุ ได้ทรงมีพระราชดำรัสนี้กับมหาโควินทพราหมณ์
ผู้นั่งแล้วที่ส่วนข้างหนึ่งนั่นแหละว่า ท่านโควินท์จงมาแบ่งมหาปฐพีนี้ที่ยาวไป
ทางเหนือและทางใต้เป็นเหมือนทางเกวียนให้เป็น ๗ ส่วนอย่างดีเท่ากัน. ท่าน
มหาโควินทพราหมณ์ รับสนองพระราชบัญชาของพระเจ้าเรณุ แล้วก็แบ่ง
ชนิดแบ่งอย่างดีซึ่งมหาปฐพีนี้ ที่ยาวไปทางเหนือและทางใต้เป็นเหมือนทาง
เกวียนเป็น ๗ ส่วนเท่ากัน คือทั้งทุกส่วนให้เหมือนทางเกวียน เล่ากันมาว่า
ส่วนตรงท่ามกลางนั้นเป็นชนบทของพระเจ้าเรณุ.
[๒๒๑] เมืองที่โควินท์สร้างไว้แล้วเหล่านี้คือ
ทันตปุระแห่งแคว้นกาลิงค์ ๑ โปตนะแห่ง
แคว้นอัสสกะ ๑ มาหิสสดี (มเหสัย) แห่ง
แคว้นอวันตี ๑ โรรุกะแห่งแคว้นโสจิระ
(สะวีระ) ๑ มิถิลาแห่งแคว้นวิเทหะ ๑
สร้างเมืองจัมปาในแคว้นอังคะ ๑ และ
พาราณสีแห่งแคว้นกาสี ๑.
[๒๒๒] ครั้งนั้นแล กษัตริย์ ๖ พระองค์นั้นทรงเป็นผู้ชื่นใจ ทรง
มีความดำริเต็มที่แล้วด้วยลาภตามที่เป็นของตน ทรงคิดว่า โอหนอ พวกเรา

18
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 19 (เล่ม 14)

ได้สิ่งที่เราอยากได้ สิ่งที่เราหวัง สิ่งที่เราประสงค์ สิ่งที่เราปรารถนาอย่างยิ่ง
แล้ว.
[๒๒๓] ในครั้งนั้น มีมหาราชผู้ทรงภาระ ๗
พระองค์คือ พระเจ้าสัตตภู ๑ พระเจ้าพรหม
ทัต ๑ พระเจ้าเวสสภู ๑ พระเจ้าภรตะ
พระเจ้าเรณุ ๑ พระเจ้าธตรัฐอีก ๒ พระองค์
ดังนี้แล.
จบ ปฐมภาณวาร.
เกียรติศัพท์อันงามของมหาโควินท์
[๒๒๔] ครั้งนั้นแล กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์นั้น เสด็จไปหามหา
โควินทพราหมณ์แล้ว ได้ตรัสคำนี้กะมหาโควินทพราหมณ์ว่า ท่านโควินท์
ผู้เจริญ เป็นพระสหายที่โปรดปรานที่ชอบพระทัยไม่เป็นที่สะอิดสะเอียนของ
พระเจ้าเรณุฉันใดแล ท่านโควินทผู้เจริญ ก็เป็นสหาย เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ
ไม่เป็นที่รังเกียจแม้ของพวกเรา ฉันนั้นเหมือนกัน ขอให้ท่านพราหมณ์โควินท์
ผู้เจริญได้โปรดพร่ำสอนพวกเราเถิด ขอท่านพราหมณ์โควินท์อย่าให้พวกเรา
เสื่อมเสียจากคำพร่ำสอน. ท่านพราหมณ์ มหาโควินท์ ทูลสนองพระดำรัสของ
กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ ผู้ทรงได้รับมุรธาภิเษก เสร็จแล้วเหล่านั้นว่า อย่าง
นั้น พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้แล. ครั้งนั้นแล ท่านพราหมณ์ มหาโควินท์
พร่ำสอนพระราชา ๗ พระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์ได้รับมุรธาภิเษกด้วยราชสมบัติ
แล้วด้วยอนุสาสนี สอนพราหมณ์มหาศาล ๗ คน และสอนมนต์แก่ข้าบริวาร
๗๐๐ คน. ครั้งนั้นแล โดยสมัยอื่นอีก เกียรติศัพท์อันงามอย่างนี้ ของพราหมณ์
มหาโควินท์ กระฉ่อนไปว่า พราหมณ์มหาโควินท์อาจเห็นพรหม พราหมณ์
มหาโควินท์อาจสากัจฉา สนทนา ปรึกษากันกับพรหม. ครั้งนั้นแล ความ

19
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 20 (เล่ม 14)

ตรึกนี้ได้มีแล้วแก่พราหมณ์มหาโควินท์ว่า เกียรติศัพท์อันงามอย่างนี้ของเรา
แล กระฉ่อนไปแล้วว่า พราหมณ์มหาโควินท์อาจเห็นพรหม พราหมณ์มหา
โควินท์ อาจสากัจฉา สนทนา ปรึกษา กับพรหม จึงคิดว่า ก็เราเองย่อมไม่
เห็นพรหม ยังไม่สากัจฉากับพรหม ยังไม่สนทนากับ พรหม ยังไม่ปรึกษา
กับพรหมเลย แต่เราก็ได้ฟังคำนี้ของพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
เป็นอาจารย์ของอาจารย์ กล่าวอยู่ว่า ผู้ใดหลีกเร้น ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่ง
กรุณาอยู่ ผู้นั้นย่อมเห็นพรหมได้ ย่อมสากัจฉา สนทนาปรึกษากับพรหมก็ได้
เพราะเหตุนั้น ถ้าไฉนเราพึงหลีกเร้น ๔ เดือน ในฤดูฝน พึงเพ่งกรุณาฌาน.
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าเรณุ แล้วกราบทูลคำนี้
กับพระเจ้าเรณุว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกียรติศัพท์อันงามอย่างนี้
ของข้าพระพุทธเจ้าแล ฟุ้งไปว่า มหาโควินทพราหมณ์อาจเห็นพรหมก็ได้
มหาโควินทพราหมณ์อาจจะสากัจฉา สนทนา ปรึกษากับพรหมได้ ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าเองเห็นพรหมไม่ได้เลย จะสากัจฉากับพรหมก็ไม่ได้ จะสนทนา
กับพรหมก็ไม่ได้ จะปรึกษากับพรหมก็ไม่ได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้
ของพวกพราหมณ์ผู้เฒ่า เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ของอาจารย์กล่าวอยู่
ว่า ผู้ใดหลีกเร้น ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาอยู่ ผู้นั้นจะเห็นพรหมได้
จะสากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระ-
พุทธเจ้าจึงอยากจะหลีกเร้นไป ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌาน เป็นผู้อัน
ใคร ๆ ไม่พึงเข้าไปหาเลย ยกเว้นแต่ผู้นำอาหารคนเดียว. พระเจ้าเรณุตรัสว่า
บัดนี้ท่านโควินท์ผู้เจริญ ย่อมสำคัญเวลาอันสมควร.
มหาโควินท์เข้าเฝ้า ๖ กษัตริย์
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ จึงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ ๖ พระองค์
นั้น แล้วได้กราบทูลคำนี้กะกษัตริย์ ๖ พระองค์นั้นว่า พระเจ้าข้า เกียรติศัพท์

20
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 21 (เล่ม 14)

อันงามอย่างนี้ ของข้าพระพุทธเจ้าฟุ้งไปว่า มหาโควินทพราหมณ์ อาจเห็น
พรหมก็ได้ อาจจะสากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ ข้าพระพุทธ-
เจ้าเอง เห็นพรหมไม่ได้เลย จะสากัจฉากับพรหมก็ไม่ได้ จะสนทนากับพรหม
ก็ไม่ได้ จะปรึกษากับพรหมก็ไม่ได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้ของพวก
พราหมณ์ผู้เฒ่าเป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ ของอาจารย์ พูดกันอยู่ว่า ผู้
ใดหลีกเร้นอยู่ ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาอยู่ผู้นั้นจะเห็นพรหมได้ จะ
สากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า
อยากจะหลีกเร้นอยู่ ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌาน เป็นผู้อันใคร ๆ ไม่พึง
เข้าไปหาเลย ยกเว้นแต่คนที่นำอาหาร ไปส่งคนเดียว. กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์
นั้น ก็ทรงอนุญาตว่า บัดนี้ ท่านโควินท์ผู้เจริญ ย่อมสำคัญเวลาอันสมควร.
ครั้งนั้นแล มหาโควินทพราหมณ์ เข้าไปหาพราหมณ์มหาศาลทั้ง ๗
และข้าบริวาร ๗๐๐ คน แล้วได้กล่าวคำนี้กะพราหมณ์มหาศาล ๗ คน และ
ข้าบริวาร ๗๐๐ คนว่า เกียรติศัพท์อันงามอย่างนี้ ของข้าพเจ้าฟุ้งขจรไปว่า
มหาโควินทพราหมณ์ อาจเห็นพรหมก็ได้ มหาโควินทพราหมณ์อาจจะสากัจฉา
จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้ ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เห็นพรหมเลย จะ
สากัจฉากับพรหมก็ไม่ได้ จะสนทนากับพรหมก็ไม่ได้ จะปรึกษากับพรหมก็ไม่
ได้ แต่ข้าพเจ้าได้ฟังคำนี้ของพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์
ของอาจารย์พูดกันอยู่ว่า ผู้ใดหลีกเร้นอยู่ ๔ เดือน ในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌาน
อยู่ ผู้นั้นจะเห็นพรหมได้ จะสากัจฉา จะสนทนา จะปรึกษากับพรหมก็ได้
ถ้าเช่นนั้น ขอให้พวกท่านจงทำสาธยายมนต์ทั้งหลายตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้
เรียนมาโดยพิสดาร จงสอนมนต์กันและกันเถิด ข้าพเจ้าอยากจะหลีกเร้น ๔
เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌาน เป็นผู้อันใคร ๆ ไม่พึงเข้าไปหาเลย ยกเว้น
แต่คนส่งอาหารคนเดียว. คนเหล่านั้นกล่าวว่า บัดนี้ ท่านโควินท์ผู้เจริญ ย่อม

21