No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 2 (เล่ม 14)

คือในทิศตะวันออก มหาราชธตรัฐ อันพวกเทวดาแวดล้อมแล้ว นั่งหันหน้า
ไปทางทิศตะวันตก ในทิศใต้ มหาราชวิรุฬหก อันพวกเทวดาแวดล้อมแล้ว
นั่งหันหน้าไปทิศเหนือ ในทิศตะวันตก มหาราชวิรูปักขะ อันพวกเทวดา
แวดล้อมแล้ว นั่งหันหน้าไปทิศตะวันออก ในทิศเหนือ มหาราชเวสวัณ อัน
เทวดาแวดล้อมแล้ว นั่งหันหน้าไปทิศใต้ พระพุทธเจ้าข้า ก็แหละในเวลาที่
เทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยกันเป็นผู้นั่งประชุมกันที่สุธรรมาสภา ทิพยบริษัท
ใหญ่เป็นผู้นั่งแล้วล้อมรอบ และมหาราชทั้ง ๔ องค์ก็เป็นผู้นั่งประจำทิศทั้ง ๔
แล้ว อาสนะนี้เป็นของพวกท่าน เหล่านั้น และอาสนะหลังเป็นของพวกเรา
พระพุทธเจ้าข้า พวกเทพเหล่าใด ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
เข้าถึงชั้นดาวดึงส์เมื่อไม่นาน เทพเหล่านั้น ย่อมรุ่งเรืองยิ่งเทพเหล่าอื่น ทั้ง
ด้วยรัศมีทีเดียว ทั้งด้วยยศ เพราะเหตุนั้น จึงเล่ากันมาว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์
จึงชื่นใจ บันเทิง เกิดปิติโสมนัสว่า โอหนอ ผู้เจริญ กายทิพย์ย่อมบริบูรณ์
กายอสูรย่อมเสื่อม
คาถาอนุโมทนา
พระพุทธเจ้าข้า ครั้งนั้น แล ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ทรงทราบความ
เลื่อมใส ของพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ทรงอนุโมทนาด้วยคาถาเหล่านี้ ว่า
[๒๑๐] โอหนอผู้เจริญ พวกเทพชั้นดาวดึงส์
พร้อมกับพระอินทร์ ย่อมบันเทิงไหว้พระ
ตถาคตและความที่เป็นธรรมเป็นธรรมดี.
เห็นอยู่ซึ่งพวกเทพใหม่เทียว ผู้มีรัศมี
มียศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสุคต
และมาในที่นี้.

2
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 3 (เล่ม 14)

พวกเทพเหล่านั้นรุ่งเรืองล่วงเทพเหล่า
อื่น โดยรัศมี โดยยศ โดยอายุ เป็น
สาวกของพระผู้มีปัญญา เหมือนแผ่นดิน
บรรลุคุณวิเศษแล้วในสวรรค์ชั้นนี้.
พวกเทพชั้นดาวดึงส์พร้อมทั้งพระ-
อินทร์เห็นข้อนี้แล้วจึงต่างยินดี ไหว้อยู่ซึ่ง
พระตถาคต และความที่ธรรมเป็นธรรมดี.
[๒๑๑] พระพุทธเจ้าข้า เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวกันมาว่า พวกเทพ
ชั้นดาวดึงส์จึงชื่นใจ บันเทิง เกิดปิติโสมนัสโดยประมาณยิ่งว่า โอหนอผู้เจริญ
กายทิพย์ย่อมบริบูรณ์ กายอสูรย่อมเสื่อม. ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ทรง
ทราบความเลื่อมใสพร้อมของทวยเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ทรงเรียกทวยเทพชั้น
ดาวดึงส์ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ พวกท่านอยากจะฟังพระคุณตามความเป็นจริง
แปดอย่างของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหรือไม่. พวกข้าพเจ้าอยากจะฟังพระคุณ
ตามความเป็นจริงแปดอย่างของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น. ทีนั้นท้าวสักกะจอม-
เทพจึงตรัสพระคุณตามความเป็นจริงแปดอย่างของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่พวก
เทพชั้นดาวดึงส์ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกเทพชั้นดาวดึงส์จะสำคัญข้อความ
นั้นเป็นไฉน
ว่าด้วยพระคุณ ๘ ประการ
[๑] ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่
ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก
เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปฏิบัติ เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อ

3
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 4 (เล่ม 14)

ความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความ
เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์
แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น.
[๒] พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระองค์ตรัสไว้
ดีแล้ว เป็นธรรมที่พึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เรียกให้มาดูได้ น้อมมา.
ในตน พวกผู้รู้พึงทราบเฉพาะตน. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาผู้แสดงธรรมที่
น้อมเอามาใช้ได้อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต
และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติไว้แล้วอย่างดีว่า นี้
เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล นี้เป็นโทษ นี้ไม่มีโทษ นี้พึงเสพ นี้ไม่พึงเสพ นี้เลว
นี้ประณีต นี้ดำ ขาว มีส่วนคล้ายกัน . เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่บัญญัติ
ธรรมที่เป็นกุศลอกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ พึงเสพ พึงไม่เสพ เลวประณีต
ดำ ขาว มีส่วนคล้ายกันอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็น
ส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับ
ไปถึงพระนิพพานแก่สาวกทั้งหลาย ทั้งพระนิพพาน ทั้งข้อปฏิบัติ ก็กลมกลืน
กันไว้เป็นอย่างดีแล้ว น้ำจากแม่น้ำคงคา กับน้ำจากแม่น้ำยมุนา ย่อมกลม-
กลืนกัน เข้ากันได้อย่างเรียบร้อย แม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก็ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพาน แก่พระสาวกทั้งหลาย ทั้ง
พระนิพพาน ทั้งข้อปฏิบัติก็กลมกลืนกัน เป็นอย่างดีแล้ว ฉันนั้นนั่นเทียว.
เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาเป็นผู้บัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพานได้

4
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 5 (เล่ม 14)

อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่า
ในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น .
[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงได้พระสหายแห่งข้อปฏิบัติ
ของพระผู้ยังต้องศึกษาอีกเทียว และพระผู้สิ้นอาสวะ อยู่จบวัตรแล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้าไม่ทรงติดด้วยข้อปฏิบัติและวัตรนั้น ทรงตามประกอบความเป็นผู้
เดียว เป็นที่มาแห่งความยินดีอยู่. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ตามประกอบ
ความเป็นผู้ยินดีในความเป็นผู้เดียวอย่างนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะ
เป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
[๖] ลาภสำเร็จอย่างยิ่ง ชื่อเสียงก็สำเร็จอย่างยิ่ง แด่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าพระองค์นั้น ปานกับพวกกษัตริย์ทรงพระศิริโฉม สง่า น่ารักอยู่ ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล ทรงปราศจากความเมา เสวยพระอาหาร
เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปราศจากความเมาบริโภคอาหารอยู่อย่างนี้ ผู้ถึง
พร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไร
ก็ทรงมีปกติทำอย่างนั้น ทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น ด้วย
ประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่าทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไร ก็ทรงมีปกติทำอย่างนั้น
ทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดา
ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะ
เป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบัน ยกเว้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัย เกี่ยวกับข้อ
ปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดา ที่ข้าม

5
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 6 (เล่ม 14)

ความสงสัยได้ ปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัย
เกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์อย่างนี้ ผู้ประกอบ
พร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต ไม่ว่าในปัจจุบันนี้ ยกเว้นแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าข้า ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัส
ถึงพระคุณตามที่เป็นจริง ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านี้แลแก่
ทวยเทพชั้นดาวดึงส์.
[๒๑๒] เพราะเหตุนั้น พระเจ้าข้า จึงเล่ากันมาว่า ทวยเทพชั้น
ดาวดึงส์จึงชื่นใจ บันเทิง เกิดปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ฟังพระคุณตามที่เป็น
จริงทั้งแปดประการของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้น เทพบางพวก กล่าว
อย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริง ๆ หนอ ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ๔ พระองค์ พึงทรงเกิดขึ้นในโลก และพึงทรงแสดงพระธรรม
เช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวน
มาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อ
ประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย.
เทพบางพวกก็กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๔ พระองค์ ยกไว้ก่อน น่าอัศจรรย์จริงหนอ เพื่อนทั้งหลาย พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์พึงทรงเกิดขึ้นในโลก และพึงทรงแสดงธรรม เช่น
เดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้น พึงเป็นไปเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก
เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์
เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย. เทพบางพวก
กล่าวอย่างนี้ว่า เพื่อนทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ยกไว้
ก่อน น่าอัศจรรย์จริงหนอ เพื่อนทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์
พึงทรงเกิดขึ้นในโลก และพึงทรงแสดงธรรม เช่นเดียวกับ พระผู้มีพระภาคเจ้า

6
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 7 (เล่ม 14)

ข้อนั้น พึงเป็นไปเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวน
มาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อ
ความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย. เมื่อพวกเขากล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าว
สักกะจอมเทพจึงได้ตรัสคำนี้ กะพวกเทพชั้นดาวดึงส์ว่า เพื่อนทั้งหลาย
ข้อนั้น เป็นไปไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่โอกาสที่ในโลกธาตุหนึ่ง พระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ พึงเกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลังกัน ฐานะนี้มีไม่ได้ โอ้หนอ
เพื่อนทั้งหลาย ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแหละ ทรงมีพระอาพาธ
น้อย ทรงมีพระโรคน้อย พึงทรงดำรงยืนนาน สิ้นกาลนานเถิด ข้อนั้น
จะพึงเป็นไปเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก
เพื่อความอนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อ
ความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย. ครั้งนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ที่มานั่ง
ประชุมพร้อมกันที่สุธรรมาสภา เพื่อประโยชน์อันใด แม้มหาราชทั้ง ๔ พระ-
องค์ ก็พากันคิดประโยชน์นั้นปรึกษากันถึงประโยชน์นั้น ตรัส แต่คำที่กล่าว
ถึงประโยชน์นั้น มหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ก็ตรัสพร่ำสอนเฉพาะแต่เรื่อง
ประโยชน์นั้น ในเพราะประโยชน์นั้น จึงประทับบนอาสนะของตน ๆ ไม่ยอม
แยกย้าย
[๒๑๓] ท้าวเธอเหล่านั้น กล่าวแต่คำที่กล่าว
แล้ว รับคำพร่ำสอน เป็นผู้มีจิตผ่องใส
แล้ว ได้ประทับบนอาสนะของตน.
บุพนิมิตแห่งการปรากฏขึ้นของพรหม
[๒๑๔] ครั้นนั้นแล ทางทิศเหนือเกิดแสงสว่างอันอุฬารอย่างเจิดจ้า
เป็นแสงที่ปรากฏขึ้น ชนิดที่ก้าวล่วงเทวานุภาพของทวยเทพทีเดียว. ครั้งนั้น

7
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 8 (เล่ม 14)

ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงเรียกพวกเทพชั้นดาวดึงส์มาตรัสว่า เพื่อนทั้งหลาย
นิมิตรทั้งหลายย่อมปรากฏ แสงสว่างอันอุฬารเกิดขึ้นอย่างแจ่มจ้า รัศมีย่อม
ปรากฏขึ้นมาโดยประการใด พรหมก็จักปรากฏขึ้นโดยประการนั้น เพราะเกิด
แสงสว่างอย่างเจิดจ้า รัศมีก็ปรากฏขึ้นมานี้ เป็นบุพนิมิตแห่งการปรากฏของ
พรหม.
[๒๑๕] นิมิตทั้งหลาย ย่อมปรากฏโดยประการ
ใด พรหมก็จักปรากฏโดยประการนั้น
เพราะการที่โอภาสอันไพบูลย์มาก ปรากฏ
นี้เป็นบุพนิมิตของพรหม.
[๒๑๖] ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าข้า พวกเทพชั้นดาวดึงส์นั่งบนอาสนะ
ของตน ๆ แล้วพูดว่า พวกเราจักรู้แสงนั้น สิ่งใดจักเป็นวิบาก เราทำให้แจ้ง
สิ่งนั้น แล้วจึงจักไป. แม้มหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ก็ประทับนั่งบนอาสนะ
ของตน ๆ แล้วก็ตรัสว่า พวกเราจักรู้แสงนั้น สิ่งใดจักเป็นวิบาก เราทำให้
แจ้งสิ่งนั้นแล้ว จึงจักไป. เมื่อฟังคำนี้แล้ว พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ทำใจ
ให้แน่วแน่ สงบอยู่ด้วยคิดว่า เราจักรู้แสงนั้น ผลจักเป็นอย่างไร เรา
ทำให้แจ้งผลนั้นแล้ว จึงจักไป. ตอนที่สนังกุมารพรหมจะปรากฏกายแก่พวก
เทพชั้นดาวดึงส์ ท่านจำแลงอัตภาพชนิดหยาบแล้ว จึงปรากฏ. ก็แหละ
ผิวพรรณโดยปกติของพรหม ไม่พึงปรากฏในสายตาของพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ได้ ตอนที่สนังกุมารพรหมจะปรากฏกายแก่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท่าน
รุ่งเรืองยิ่งกว่าหมู่เทพเหล่าอื่นทั้งโดยรัศมี ทั้งโดยยศ. ตอนที่สนังกุมารพรหม
ปรากฏกายแก่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท่านรุ่งเรืองยิ่งกว่าหมู่เทพเหล่าอื่น
ทั้งโดยรัศมี ทั้งโดยยศ แม้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนร่างทอง ย่อมรุ่งเรือง
ยิ่งกว่าร่างที่เป็นของมนุษย์ ฉะนั้นแล. ตอนที่สนังกุมารพรหมปรากฏกายแก่

8
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 9 (เล่ม 14)

พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ในบริษัทนั้นไม่มีเทพองค์ใด อภิวาทลุกขึ้นรับ หรือ
เชื้อเชิญด้วยอาสนะเลย. นิ่งกันหมดเทียว ประณมมือนั่งบนบัลลังก์ คราวนี้
สนังกุมารพรหมจักต้องการบัลลังก์ ของเทพองค์ใด ก็จักนั่งบนบัลลังก์ของ
เทพองค์นั้น. ก็สนังกุมารพรหม นั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์ใดแล เทพองค์นั้น
ก็ย่อมได้รับความยินดีอันยิ่งใหญ่ เทพองค์นั้นย่อมได้รับความดีใจอันยิ่งใหญ่
สนังกุมารพรหม นั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์ใด เทพองค์นั้นก็ย่อมได้รับความ
ยินดีอันยิ่งใหญ่ เทพองค์นั้นย่อมได้รับความดีใจอันยิ่งใหญ่ ถ้าจะเปรียบ
ก็เหมือนพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ได้รับมุรธาภิเษก ได้รับอภิเษกมาไม่นาน
พระราชานั้นย่อมจะทรงได้รับความยินดีอันยิ่งใหญ่ พระราชานั้นย่อมจะทรง
ได้รับซึ่งความดีพระทัยอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้น.
คาถาอนุโมทนาของสนังกุมารพรหม
ครั้งนั้น สนังกุมารพรหมทราบ ความเลื่อมใสพร้อมของทวยเทพชั้น
ดาวดึงส์แล้ว ก็หายไป อนุโมทนาด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
[๒๑๗] โอหนอ ท่านผู้เจริญ พวกเทพชั้น
ดาวดึงส์ พร้อมกับพระอินทร์ ย่อมบันเทิง
ไหว้อยู่ซึ่งพระตถาคต และความที่พระ
ธรรมเป็นธรรมดี .
เห็นอยู่ซึ่งพวกเทพรุ่นใหม่เทียว ผู้มี
รัศมี มียศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระ
สุคตแล้วมาในที่นี้.
พวกเทพเหล่านั้นรุ่งเรืองยิ่งกว่าพวก
เทพเหล่าอื่น โดยรัศมี โดยยศ โดยอายุ

9
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 10 (เล่ม 14)

เป็นสาวกของพระผู้มีปัญญาเหมือนแผ่น-
ดิน บรรลุคุณวิเศษแล้วในสวรรค์ชั้นนี้.
พวกเทพชั้นดาวดึงส์ พร้อมทั้งพระ
อินทร์ เห็นข้อนี้แล้วจึงต่างยินดีไหว้อยู่ซึ่ง
พระตถาคต และความที่ธรรมเป็นธรรมดี.
เสียงของสนังกุมารพรหม
[๒๑๘] สนังกุมารพรหม ได้ภาษิตข้อความนี้แล้ว. เมื่อสนังกุมาร
พรหมกำลังกล่าวข้อความนี้อยู่ ย่อมมีน้ำเสียงที่ประกอบพร้อมด้วยองค์ ๘ คือ
เสียงแจ่มใส ๑ เสียงเข้าใจ (ง่าย) ๑ เสียงไพเราะ ๑ เสียงน่าฟัง ๑ เสียงหยดย้อย ๑
เสียงไม่แตกพร่า ๑ เสียงลึก๑ เสียงกังวาน๑. สนังกุมารพรหม ย่อมทำให้
บริษัทเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยเสียง และเสียงของท่านไม่เปล่งก้องไปภายนอกบริษัท
เลย ก็ผู้ใดแลมีเสียงที่ประกอบพร้อมด้วยองค์แปดอย่างนี้ ผู้นั้นท่านเรียกว่า
ผู้มีเสียงเหมือนพรหม. ครั้งนั้นแล พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้กล่าวคำนี้กับ
สนังกุมารพรหมว่า สาธุมหาพรหม พวกข้าพเจ้า พิจารณาข้อนี้นั่นแล จึง
โมทนา ยังมีพระคุณตามความเป็นจริง ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ที่ท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ทรงภาษิตไว้แล้ว และพวกข้าพเจ้าก็ได้พิจารณา
ถึงพระคุณเหล่านั้นแล้ว จึงโมทนา. ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหมจึงได้ทูล
คำนี้กับท้าวสักกะจอมทวยเทพว่า ดีละ จอมทวยเทพ แม้หม่อมฉันก็พึงฟัง
พระคุณตามที่เป็นจริง ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. ท้าว
สักกะจอมทวยเทพฟังเฉพาะคำของสนังกุมารพรหมนั่นแลว่า อย่างนั้นท่าน
มหาพรหม แล้วจึงตรัสพระคุณตามที่เป็นจริงแปดประการของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ท่านมหาพรหมผู้เจริญ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือ

10
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 11 (เล่ม 14)

พระคุณ ๘ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
[๑] ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ทรงปฏิบัติ เพื่อความเกื้อกูล
แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่
ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย มาสักเพียงไร. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูล
แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่
ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และ
ไม่ว่าในปัจจุบันนี้เลย นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๒] พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระองค์ตรัสไว้ดี
แล้ว เป็นธรรมที่พึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เรียกให้มาพิสูจน์ดูได้ น้อม
เอามาใช้ได้ พวกผู้รู้พึงทราบเฉพาะตน. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่แสดง
ธรรมที่น้อมเอามาใช้ได้อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็น
ส่วนอดีตและไม่ว่าในปัจจุบันนี้เลย นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติไว้แล้วเป็นอย่างดี
ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล. นี้มีโทษ. นี้ไม่มีโทษ. นี้พึงเสพ. นี้ไม่พึงเสพ.
นี้เลว. นี้ประณีต. นี้ดำ ขาว มีส่วนคล้ายกัน. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่
บัญญัติธรรมที่เป็นกุศลอกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ พึงเสพ ไม่พึงเสพ เลว
ประณีต ดำ ขาว มีส่วนคล้ายกันอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้
ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต หรือปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
[๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับ
นำไปถึงพระนิพพานแก่พระสาวกทั้งหลาย ทั้งพระนิพพาน ทั้งข้อปฏิบัติ ก็

11