No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 552 (เล่ม 13)

ได้ความหลับ ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่นั้นมา
หม่อมฉันไม่ได้หลับเลย. พระภิกษุสงฆ์ทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น
ขอพระองค์ทรงอธิฐานพระอุโบสถศีลในวันนี้ และพระองค์ทรงอธิษฐานพระ-
อุโบสถศีลแล้ว. พระสงฆ์ไปส่งพระภิกษุผู้บำเพ็ญพระอภิธรรม ๘ รูป ว่า ขอ
ให้ท่านสาธยายจิตตยมก. พระภิกษุเหล่านั้น ไปแล้วทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร
ขอพระองค์ทรงบรรทมหลับ แล้วเริ่มสาธยาย. พระราชาทรงสดับการสาธยาย
อยู่ก็ทรงก้าวไปสู่ความหลับ. พระเถระทั้งหลายคิดว่า อย่าปลุกพระราชา แล้ว
หลีกไป ในวันที่สอง พระราชาทรงตื่นขึ้น เมื่อพระอาทิตย์อุทัย เมื่อไม่ทรง
เห็นพระเถระ. จึงตรัสถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไปไหน. ทรงได้รับคำกราบทูลว่า
พระเถระรู้ว่า พระองค์ก้าวสู่ความหลับแล้วไป. พระราชตรัสว่า พระผู้เป็น
เจ้าย่อมรู้. แม้เภสัชคือความหลับ ตราบใด ชื่อว่าเภสัช คือความไม่รู้ของ
เด็กทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ตราบนั้น.
บทว่า ปญฺจสิโข ความว่า เป็นเช่นกับปัญจสิชคนธรรพ์. ได้ยินว่า
เทวบุตรทั้งหมดได้นิรมิตอัตภาพของเทพบุตร ปัญจสิขคนธรรพ์ เพราะฉะนั้น
แม้พรหมก็ได้นิรมิตอัตภาพเช่นนั้น ปรากฏแล้วเช่นกัน . บทว่า ปลฺลงฺเกน
นิสีทิ ความว่า นั่งขัดสมาธิ.
บทว่า วิสฏฺโฐ ความว่า ละเอียดดีคือไม่กระด้าง. บทว่า วิญฺเญยฺโย
ความว่าให้รู้ประโยชน์. บทว่า มญฺชุ คือ อ่อนหวานกลมกล่อม. บทว่า
สวนิโย คือ ควรฟัง ได้แก่ เสนาะโสต. บทว่า พินฺทุ ความว่า ก้อน
เดียว. บทว่า อวิสารี ความว่า สละสลวย ไม่แตกพร่า. บทว่า คมฺภีโร
ความว่า เกิดลึกตั้งแต่มูลนาภี. ไม่ได้เกิดกระทบเพียงลิ้น ฟัน ริมฝีปาก หรือ
เพดาน. ด้วยว่า เสียงที่เกิดเพียงนี้ จะไม่อ่อนหวาน และไม่ดังไปไกล.
บทว่า นินฺนาที ความว่า กึกก้องเหมือนเสียงคำรามของมหาเมฆ และเสียง

552
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 553 (เล่ม 13)

ตะโพน. อนึ่ง บนหลัง ๆ ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็นประโยชน์ของบทก่อน ๆ.
บทว่า ยถาปริสํ ความว่า ให้บริษัทรู้ทั่วถึงกัน. เสียงแห่งพรหมนั้น ย่อม
ดังภายในบริษัทเท่านั้น ย่อมไม่ดังออกไปภายนอก.
บทว่า เย หิ เกจิ เป็นต้น บ่งบอก เพื่อแสดงการปฏิบัติ เพื่อ
ประโยชน์แก่ชนมาก. บทว่า สรณํ คตา ความว่า ท่านไม่กล่าวถึงผู้ถึง
สรณตามมีตามเกิด แต่กล่าวหมายถึงสรณที่ถือไม่ผิด. บทว่า คนฺธพฺพกายํ
ปริปูเรติ ความว่า เพิ่มคณะแห่งคันธัพเทพให้บริบูรณ์. ท่านกล่าวว่า
เทวโลก ๖ ชั้น จำเดิมแต่กาลที่พระศาสดาของพวกเราได้อุบัติในโลกแล้ว
เกิดไม่มีระหว่าง เหมือนทะนานที่ทุบแป้งบริบูรณ์ และเหมือนป่าศร ป่าอ้อ
จึงชื่อว่า มาริสา.
บทว่า ยาว สุปญฺญตฺตาปิ เม เตน ภควตา ความว่า พระ
ผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดาของเราทรงบัญญัติดีแล้ว คือ ตรัสดีแล้ว. ในบทว่า
อิทฺธิปาทา นั่น พึงทราบว่า อิทธิ ด้วยอรรถว่าสำเร็จ พึงทราบว่า บาท
ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า อิทฺธิ พหุลีกตาย ความว่า เพราะความที่
อิทธิมีเพียงพอ. บทว่า อิทฺธิวิเสวิตาย ความว่า เพราะมีอิทธิเป็นพิเศษ
ท่านกล่าวว่า จิณฺณวสิตาย ด้วยสามารถเสพบ่อย ๆ. บทว่า อิทฺธิวกุพฺพน-
ตาย ความว่า เพราะความที่เจริญอิทธิบ่อย ๆ เพื่อประโยชน์ที่จะแสดง
กระทำโดยประการต่างๆ. ในบทว่า ฉนฺทสมาธิปธานสำขารสมนฺนาคตํ
เป็นต้นมีอรรถดังนี้. สมาธิซึ่งมีฉันทะเป็นเหตุ หรือมีฉันทะเป็นหลัก ชื่อว่า
ฉันทสมาธิ. บทว่า ฉนฺทสมาธิ นั่น เป็นชื่อแห่งสมาธิซึ่งได้มาเพราะกระทำ
ฉันทะ ซึ่งมีความใคร่ที่จะกระทำเป็นใหญ่. สังขารที่เป็นปธาน ชื่อว่า ปธาน
สังขาร. บทว่า ปธานสํขารา นั่น เป็นชื่อของสัมมัปปธานวิริยะอันยังกิจ ๔
ประการให้สำเร็จ. บทว่า สมนฺนาคตํ ความว่า เข้าถึงแล้วด้วยฉันทสมาธิ

553
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 554 (เล่ม 13)

และปธานสังขาร. บทว่า อิทฺธิปาทํ ความว่า กองแห่งจิตที่เหลือ หรือ
เจตสิก เป็นบาทด้วยอรรถว่า ตั้งมั่นแห่งฉันทสมาธิ และปธานสังขาร
อันประกอบพร้อมด้วยอภิญญาจิต ซึ่งถึงอันนับว่า อิทธิ โดยปริยายว่า สำเร็จ
หรือโดยปริยายนี้ว่า เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายสำเร็จด้วยอรรถว่า สำเร็จ คือ
เป็นผู้สำเร็จแล้ว สมบูรณ์แล้ว ถึงที่สุดแล้ว. เพราะคำว่า อิทธิบาท ท่าน
กล่าวว่า เวทนาขันธ์ แห่งความเป็นจริงใด ฯลฯ วิญญาณขันธ์. พึงทราบอรรถ
แม้ในบทที่เหลือโดยนัยนี้. เพราะสมาธิที่ทำฉันทะเป็นใหญ่ จึงได้มา ท่าน
เรียกว่า ฉันทสมาธิฉันใด สมาธิที่ทำวิริยจิต วิมังสาเป็นใหญ่ได้มา เรียกว่า
วิมังสาสมาธิ ฉันนั้น.
อนึ่ง พึงทราบอรรถในคำนี้ว่า บาทในส่วนต้นว่า อุปจารฌาน
เป็นบาท ปฐมฌานเป็นอิทธิ ปฐมฌานเป็นบาท ทุติยฌานเป็นอิทธิ เป็น
อิทธิในส่วนปลาย. ก็อิทธิบาทกถา ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค และใน
วิภังคอรรถกถา โดยพิสดาร. แต่เกจิอาจารย์ กล่าวว่า อิทธิที่สำเร็จแล้ว
เป็นอิทธิที่ยังไม่สำเร็จ. เพื่อประโยชน์แห่งการพูดถึงวาทะแห่งเกจิอาจารย์เหล่า
นั้น ชื่อว่า อุตรจูฬิกวาร มาแล้วในอภิธรรมว่า อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทิท-
ธิบาท วิริยิทธิบาท จิตติทธิบาท วิมัสิทธิบาท ในอิทธิบาททั้ง ๔ นั้น
ฉันทิทธิบาทเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ ในสมัยใด เจริญโลกุตรฌาน
อันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ อันเป็นอปจยคามี เพื่อละทิฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ
สงัดจากกามทั้งหลาย ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌาน อันเป็นทุกขาปฏิปทา ทันธา-
ภิญญาอยู่ ในสมัยนั้น ธัมมฉันทะใด ชื่อว่าฉันทะ เพราะได้กระทำฉันทะแล้ว
ชื่อว่า กุศลเพราะใคร่ที่จะกระทำ นี้เรียกว่า ฉันทิทธิบาท ธรรมที่เหลือ
สัมประยุตด้วยฉันทิทธิบาท. ก็ธรรมเหล่านี้ มาแล้วด้วยอำนาจแห่งโลกุตตร.

554
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 555 (เล่ม 13)

ในที่นี้ รัฐบาลเถระทำฉันทะเป็นธุระ ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดแล้ว
โสณเถระ กระทำวิริยเป็นธุระ สัมภูตเถระ กระทำจิตเป็นธุระ ท่านโมฆราชผู้มี
อายุทำวิมังสาเป็นธุระ ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น. ในข้อนี้ ครั้นบุตรอำมาตย์
ทั้ง ๔ คน ปรารถนาฐานันดร เข้าไปอาศัยพระราชาอยู่ คนหนึ่งเกิดความ
พอใจในการบำรุงรู้อัธยาศัย และความชอบพระทัยของพระราชา คอยบำรุง
ทั้งกลางวัน และกลางคืน ยังพระราชาให้พอพระราชหฤทัย แล้วได้ฐานันดร
ฉันใด พึงทราบพระภิกษุผู้ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นด้วยฉันทธุระฉันนั้น.
ส่วนคนหนึ่ง คิดว่า ใครจะสามารถเพื่อบำรุงทุกวัน ๆ ได้ เมื่อกิจเกิดขึ้นเราจะ
ยังพระราชาให้พอพระทัยด้วยความพยายาม ครั้นปัจจันตชนบท เกิดจลาจลถูก
พระราชาส่งไปปราบศัตรูด้วยความพยายาม ถึงแล้วซึ่งฐานันดรฉันใด ภิกษุนั้น
ให้โลกุตตรธรรมเกิดขึ้นด้วยวิริยธุระ พึงทราบฉันนั้น. คนหนึ่ง คิดว่า แม้การ
บำรุงทุกวัน ๆ เป็นภาระหนัก เหมือนลูกศรเสียบอกทีเดียว เราจะยังพระราชา
ให้พอพระทัยด้วยอำนาจมนต์ จึงยังพระราชาให้พอพระหฤทัยด้วยการร่ายมนต์
เพราะวิชาภูมิศาสตร์ได้อบรมไว้แล้ว ถึงฐานันดรฉันใด ภิกษุนั้น ผู้ยังโลกุตตร
ธรรมให้เกิดขึ้นด้วยจิตธุระ พึงทราบฉันนั้น. บุตรอำมาตย์คนอื่นคิดว่า ชื่อว่า
พระราชาย่อมพระราชทานฐานันดรแก่ผู้ถึงพร้อมด้วยชาติ ด้วยการบำรุงเป็นต้น
เหล่านี้ เมื่อทรงพระราชทานแก่บุคคลเช่นนั้น ก็จะทรงพระราชทานแก่เรา
อาศัยชาติสัมปทาอย่างเดียว ก็ถึงซึ่งฐานันดร ฉันใด ภิกษุนั้น อาศัยวิมังสา
อันบริสุทธิ์ดี ยังโลกุตตรธรรมเกิดขึ้นด้วยวิมังสาธุระ พึงทราบฉันนั้น.
บทว่า อเนกวิหิตํ ความว่า วิธีไม่ใช่หนึ่ง. บทว่า อิทฺธิวิธํ
ความว่า ส่วนของอิทธิ.
บทว่า สุขสฺสาธิคมาย ความว่า เพื่อบรรลุถึงฌานสุข มรรคสุข
และผลสุข. บทว่า สํสฏฺโฐ ความว่า จิตตสัมปยุต. บทว่า อริยธมฺมํ

555
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 556 (เล่ม 13)

ความว่า ธรรมอันพระอริยะ. พระผู้มีพระภาค คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.
บทว่า สุณาติ ความว่า ธรรมที่ภิกษุและภิกษุณีเป็นต้น แสดงต่อพระพักตร์
พระศาสดา ชื่อว่าฟังอยู่. บทว่า โยนิโสมนสิกโรติ ความว่า กระทำในใจ
โดยอุบาย โดยคัลลอง โดยเหตุการณ์ ด้วยอำนาจ เป็นต้น ว่า ไม่เที่ยง.
อธิบายว่า ภิกษุปรารภกรรมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ที่ท่านกล่าว
อย่างนี้ว่า ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ คือ การกระทำไว้ในใจโดยอุบาย
การกระทำไว้ในใจโดยคัลลอง หรือ การระลึก การผูก การรวบรวมพร้อม
แห่งจิต การกระทำไว้ในใจ โดยอนุโลมสัจจะ ในความไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง
ในความไม่สวยงามว่า ไม่สวยงาม ในทุกข์ว่า ทุกข์ ในความเป็นอนัตตาว่า
เป็นอนัตตา นี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ. บทว่า อสํสฏฺโฐ ความว่า ไม่
คลุกคลีอยู่กับวัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง. บทว่า อุปฺปชฺชติ สุขํ ความว่า
ปฐมฌานสุข ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺสํ ความว่า
โสมนัสอื่น ๆ เพราะฌานสุขเป็นปัจจัยย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากสมาบัติ. บทว่า
ปมุทา คือ ปีติ ซึ่งมีกำลังน้อย กว่าอาการของตุฏฐี. คำว่า ปาโมชฺชํ
คือ ปีติและโสมนัสมีกำลัง. บทว่า ปฐโม โอกาสาธิคโม ความว่า ปฐม
ฌาน ข่มนิวรณห้า ถือโอกาสของตนดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจงกล่าวว่า
ปฐโม โอกาสาธิคโม (การบรรลุโอกาสอันแรก).
ในบทว่า โอฬาริกา นั่น กายสังขารและวจีสังขารยังหยาบ จิตตสังขาร
จะหยาบอย่างไร. เพราะจิตตสังขารยังไม่ละ. ก็กายสังขารย่อมละด้วยจตุถฌาน.
วจีสังขารละด้วยทุติยฌาน. จิตตสังขารละด้วยนิโรธสมาบัติ. ครั้นกายสังขาร
แล้วจีสังขารแม้ละแล้ว จิตตสังขารทั้งหลายนั้น ก็ตั้งอยู่ด้วยประการฉะนี้
จึงเป็นโอฬาริกะ เพราะยังละไม่ได้ โดยยึดกายสังขารวจีสังขารที่ละได้แล้ว.
บทว่า สุขํ ความว่า ผลสมาบัติสุขอันเกิดแต่จตุตถฌาน ซึ่งเกิดแก่ผู้ออกจาก

556
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 557 (เล่ม 13)

นิโรธ. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺสํ ความว่า โสมนัสอื่น ๆ แก่ผู้ออก
แล้ว จากผลสมาบัติ. บทว่า ทุติโย โอกาสาธิคโม ความว่า จตุถฌาน
ข่มสุขทุกข์ ถือโอกาสตนตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุติโย โอ-
กาสาธิคโม. ส่วนทุติยฌาน และตติยฌาน ท่านถือเอาแล้วใน จตุถฌานนั่น
เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวแยกต่างหาก.
ในบทว่า อิทํ กุสลํ เป็นต้น มีอรรถาธิบาย ดังนี้. กุสลกรรมบถสิบ
ชื่อว่า กุสล. บทว่า อกุสลํ ได้แก่อกุศลกรรมบถสิบ. แม้สาวัชชทุกเป็นต้น
พึงทราบด้วย สามารถแห่งอกุศลกรรมบถสิบเหล่านั้นเทียว. ก็นั่นทั้งหมดเป็น
กัณหะ สุกะ และ สปฏิภาค จึงชื่อว่า กณฺหสุกฺกสปฺปฏิภาคํ. ก็นิพพานเท่านั้น
เป็นอัปปฏิภาค. บทว่า อวิชฺชา ปหียติ ความว่า อวิชชา ซึ่งปกปิดวัฏฏะ ย่อม
ละได้. บทว่า วิชฺชา อุปฺปชฺชติ ความว่า อรหัตตมรรควิชชา ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า
สุขํ คือ สุขอันเกิดแต่อรหัตตมรรคและผล. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺสํ
ความว่า โสมนัสอื่น ๆ ของผู้ออกแล้วจากผลสมาบัติ. บทว่า ตติโย โอกา-
สาธิคโม ความว่า อรหัตตมรรค ข่มกิเลสทั้งหมด ถือโอกาสตนแล้วตั้งอยู่
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตติโย โอกาสาธิคโม. ส่วนมรรคที่เหลือ
เมื่ออรหัตตมรรคถือเอาแล้ว ก็ประมวลเข้ากันได้ จึงไม่กล่าวแยกต่างหาก.
ส่วน โอกาสาธิคม ๓ ประการนี้ พึงกล่าวอย่างพิสดาร ด้วยสามารถ
อารมณ์ ๓๘ ประการ. อย่างไร. ท่านกำหนดอารมณ์ทั้งหมดด้วยสามารถอุปจาร
และอัปปนา โดยนัยที่กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั่นเทียว กล่าวถึงปฐมฌานใน
ฐานะ ๒๔ ประการว่า ปฐโม โอกาสาธิคโม. ท่านกำหนดทุติยฌาน และ
ตติยฌาน ในฐานะ ๑๓ ประการ และจตุตถฌาน ในฐานะ ๑๕ ประการให้ถึง
นิโรธสมาบัติกล่าวว่า ทุติโย โอกาสาธิคโม. ส่วน อุปจารฌาน ๑๐ ประการ
เป็นปทัฏฐาน แห่งมรรครวมเข้ากับโอกาสาธิคมที่ ๓. อนึ่ง พึงกล่าวแม้ด้วย

557
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 558 (เล่ม 13)

อำนาจสิกขา อย่างนี้ ในสิกขา ๓ ประการ อธิสีลสิกขา รวมเข้ากับปฐมโอ-
กาสาธิคมะ อธิจิตตสิกขา รวมเข้ากับ ทุติยโอกาสาธิคมะ อธิปัญญาสิกขา
รวมเข้ากับตติยโอกาสาธิคมะ. แม้ในสามัญญผล ท่านกล่าวแม้ด้วยสามารถ
แห่งสามัญญผลสูตร อย่างนี้ว่า ตั้งแต่จุลศีล จนถึงปฐมฌาน เป็น
โอกาสาธิคมที่ ๑ ตั้งแต่ทุติยฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นโอกาสา-
ธิคมะที่ ๒ ตั้งแต่วิปัสสนาจนถึงอรหัตต์ เป็นโอกาสาธิคมะที่ ๓ ส่วนในปิฎก
๓ ประการ พึงกล่าว แม้ด้วยสามารถปิฎกอย่างนี้ว่า วินัยปิฎก บวกเข้ากับ
ปฐมโอกาสาธิคมะ สุตตันตปิฎก บวกเข้ากับทุติยโอกาสาธิคมะ อภิธรรมปิฎก
บวกเข้ากับตติยโอกาสาธิคมะ.
ได้ยินว่า พระมหาเถระในกาลก่อน ย่อมตั้งพระสูตรนี้เท่านั้นในวัน
วัสสูปนายิกา. เพราะเหตุไร. เพราะพวกเราจักจำแนกปิฎก ๓ กล่าว. เพราะ
เมื่อรวมพระไตรปิฎกกล่าว พระสูตรก็กล่าวได้ยาก เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ก็ไม่
อาจ กล่าวได้. สูตรนี้ที่จำแนกไตรปิฎกกล่าว ก็จะกล่าวได้ง่าย.
บทว่า กุสลสฺสาธิคมาย ความว่า เพื่อประโยชน์บรรลุมรรคกุศลและ
ผลกุศล. จริงอยู่ ทั้งสองอย่างนั่น ชื่อว่า เป็นกุศล ด้วยอรรถว่า ไม่มีโทษ
หรือด้วยอรรถว่า เกษม. บทว่า ตตฺถ สมฺมา สมาธิยติ ความว่า ภิกษุตั้ง
มั่นชอบ ในกายภายในนั้น ก็จะเป็นเอกัคคตาจิต. บทว่า พหิทฺธา ปรกาเย
ญาณทสฺสนํ อภินิพฺพตฺเตติ ความว่า ส่งญาณอันมุ่งต่อกายคนอื่น จาก
กายตน. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. พึงทราบสติที่กำหนดกายเป็นต้น ด้วยบทว่า
สติมา ในบททั้งปวง. พึงทราบกายเป็นต้นเทียว กำหนดแล้วด้วยบทว่า โลเก.
ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔ นั่น พึงทราบว่า ท่านกล่าวเจือด้วยโลกกิยะ และโลกุตตระ.
บริขาร ในบทนี้ว่า สมาธิปริกขารา มี ๓ อย่าง. เครื่องประดับใน
บทนี้ว่า รถมีสีขาวเป็นบริขาร มีฌานเป็นเพลา มีวิริยะเป็นล้อ ชื่อว่า บริขาร.

558
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 559 (เล่ม 13)

ปริวารในบทนี้ว่า ล้อมด้วยดีแล้วด้วยนครปริกขาร ๗ ประการ ชื่อว่า ปริขาร.
สัมภาระในบทนี้ว่า คิลานปจฺจยชีวิตปริกฺขารา ชื่อว่า ปริขาร. ก็ในที่นี้
ท่านกล่าวว่า สมาธิปริกขาร ๗ ประการ ด้วยสามารถปริวารและปริขาร.
ปริวาริกะ ชื่อว่า ปริขาร. บทว่า อยํ วุจฺจติ โภ อริโย สมฺมาสมาธิ
ความว่า นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิอริยอันล้อมองค์ ๗ เหมือนจักรพรรดิล้อม
ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ฉะนั้น. บทว่า สอุปนิโส อิติปิ ความว่า ท่าน
เรียกว่า สอุปนิสัย แม้ด้วยประการนี้. บทว่า สปริวาโรเยว ได้กล่าว
แล้ว. บทว่า สมฺมาทิฎฺฐิสฺส ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ. บทว่า
สมฺมาสํกปฺโป จ โหติ ความว่า สัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นไป. ในบท
ทั้งปวงก็มีนัยเช่นกัน. ก็อรรถนี้ พึงทราบด้วยอำนาจมรรคบ้าง ด้วยอำนาจ
ผลบ้าง. อย่างไร. มรรคสัมมาสังกัปปะ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในมรรคสัมมาทิฏฐิ
ฯลฯ และมรรควิมุติ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในมรรคญาณ อนึ่ง ผลสัมมา-
สังกัปปะ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในผลสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ และผลวิมุติ ย่อมมีแก่
ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในผลสัมมาญาณ. บทว่า สฺวากฺขาโต เป็นต้น ท่านพรรณนา
ไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า อปารุตา ความว่า เปิดแล้ว. บทว่า อมตสฺส
ความว่า นิพพาน. บทว่า ทฺวารา ความว่า ทางเข้า. บทว่า อเวจฺจปฺ-
ปสาเทน ความว่า ความเสื่อมใสไม่หวั่นไหว. บทว่า ธมฺเม วีนีตา ความ
ว่า แน่นอนแล้วด้วยธรรมนิยาม. บทว่า อถายํ อิตรา ปชา ความว่า
ท่านกล่าวหมายถึงพระอนาคามี. บทว่า อนาคามิโน อตฺถี ท่านกล่าวแล้ว.
บทว่า ปุญฺญภาคา ความว่า เกิดแล้วด้วยส่วนแห่งบุญ. บทว่า โอตฺตปฺปํ
ความว่า มีใจเกรงกลัว. ถ้าอย่างนั้น มุสา พึงมีในกาลไหน เพราะฉะนั้น
เราไม่อาจนับโดยภัยมุสาวาทได้ แต่ไม่ได้แสดงว่า กำลังนับของเราไม่มี. สนัง-
กุมารพรหมถามเวสวัณอย่างเดียว ด้วยบทนี้ว่า ตํ กึ มญฺญต ภวํ. แต่

559
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 560 (เล่ม 13)

สนังกุมารพรหมนั้น ไม่มีลัทธิว่า พระศาสดาอย่างนั้น ไม่มีแล้ว หรือจักไม่มี.
จริงอยู่ ในอภิสมัยของพระพุทธเจ้า ทั้งปวงไม่มีพิเศษ. บทว่า สายํ ปริสายํ
ความว่า ในบริษัท ของตน.
บทว่า ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ ความว่า ไตรสิกขาทั้งสิ้นนี้นั้น คือ
พรหมจรรย์. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น. ส่วนบทเหล่านี้อันพระธรรมสังคาหกเถระ
ทั้งหลาย ได้ตั้งไว้แล้ว ดังนี้.
จบ อรรถกถาชนวสภสูตรที่ ๕
รวมพระสูตรในเล่มนี้
๑. มหาปทานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
๒. มหานิทานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
๓. มหาปรินิพพานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
๔. มหาสุทัสสนสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
๕. ชนวสภสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา

560
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 1 (เล่ม 14)

พระสุตตันตปิฎก
ทีฆนิกาย มหาวรรค
เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๖. มหาโควินทสูตร
เรื่องปัญจสิขะ คนธรรพบุตร
[๒๐๙] ข้าพเจ้าฟังมาแล้ว อย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่เขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์.
ครั้งนั้นแล ปัญจสิขคนธรรพ์บุตร เมื่อราตรีก้าวล่วงแล้ว มีรัศมีงดงามยิ่ง
ส่องเขาคิชฌกูฏให้สว่างไสว แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนอยู่ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ปัญจสิขคน
ธรรพบุตรยืนแล้วแลที่ส่วนข้างหนึ่ง ไค้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระพุทธเจ้าข้า คำใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมาแล้วต่อหน้า ได้รับ
มาแล้วต่อหน้าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลคำนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ปัญจสิขะเธอจงบอกแก่เราเถิด พระพุทธเจ้าข้า วัน
ก่อน หลายวันมาแล้วในวันอุโบสถที่ ๑๕ นั้น ในราตรีวันเพ็ญแห่งปวารณา
เทพชั้นดาวดึงส์ทั้งสิ้นเป็นผู้นั่งประชุมพร้อมกัน ที่สุธรรมาสภาและทิพยบริษัท
ใหญ่เป็นผู้นั่งล้อมรอบ และมหาราชทั้ง ๔ องค์ ต่างเป็นผู้นั่งประจำทิศทั้ง ๔

1