No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 542 (เล่ม 13)

ด้วยอกุศลธรรมอยู่. ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ไม่
เกี่ยวข้องด้วยกาม ไม่คลุกคลีด้วยอกุศลธรรมนั้น. ความปราโมทย์เกิดต่อจาก
ความบันเทิง แม้ฉันใด ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดแก่ผู้ไม่
เกี่ยวข้องด้วยกาม ไม่คลุกคลีด้วยอกุศลธรรม ฉันนั้นเหมือนกันแล. การ
บรรลุโอกาสนี้เป็นประการที่ ๑ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.
[๒๐๓] อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีกายสังขารหยาบ
ไม่สงบระงับ มีวจีสังขารหยาบไม่สงบระงับ มีจิตตสังขารหยาบไม่สงบระงับ.
โดยสมัยอื่น เขาฟังธรรมของพระอริยเจ้า กระทำในใจโดยแยบคาย ปฏิบัติ
ธรรมสมควรแก่ธรรม. เมื่อเขาอาศัยการฟังธรรมของพระอริยเจ้า มนสิการ
โดยแยบคาย ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กายสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ
วจีสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ จิตตสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ. ความสุข
ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะกายสังขารที่หยาบสงบระงับ
เพราะวจีสังขารที่หยาบสงบระงับ เพราะจิตตสังขารที่หยาบสงบระงับ. ความ
ปราโมทย์เกิดต่อจากความบันเทิงแม้ฉันใด ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่า
สุขย่อมเกิดขึ้น เพราะกายสังขารที่หยาบสงบระงับ เพราะวจีสังขารที่หยาบ
สงบระงับ เพราะจิตตสังขารหยาบสงบระงับฉันนั้นเหมือนกัน. การบรรลุโอกาส
นี้เป็นที่ ๒ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.
[๒๐๔] อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมไม่รู้ตามความ
เป็นจริงว่า นี้กุศล ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้อกุศล ย่อมไม่รู้ตามความ
เป็นจริงว่า นี้มีโทษ ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่มีโทษ ย่อมไม่รู้ตาม
ความเป็นจริงว่า นี้ควรเสพ ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่ควรเสพ

542
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 543 (เล่ม 13)

ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เลว ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ประณีต
ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นส่วนธรรมดำและธรรมขาว. โดยสมัยอื่น
เขาฟังธรรมของพระอริยเจ้า กระทำในใจโดยแยบคาย ปฏิบัติธรรมสมควรแก่
ธรรม ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้กุศล ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้อกุศล
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้มีโทษ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่มีโทษ
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ควรเสพ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่ควร
เสพ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เลว ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ประณีต
ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นส่วนธรรมดำและธรรมขาว. เมื่อเขารู้อย่างนี้
เห็นอย่างนี้ อวิชชาย่อมละได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น. ความสุข โสมนัสอันยิ่งกว่า
สุข ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะปราศจากอวิชา เพราะวิชาเกิดขึ้น. ความ
ปราโมทย์เกิดต่อจากความบันเทิงแม้ฉันใด ความสุข โสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อม
เกิดขึ้น เพราะปราศจากอวิชา เพราะวิชาเกิดขึ้นฉันนั้นเหมือนกัน. การ
บรรลุโอกาสนี้เป็นประการที่ ๓ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข. การ
บรรลุโอกาส ๓ ประการเหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.
ว่าด้วยสติปัฏฐาน
[๒๐๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้
แล้ว เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มากล่าวว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์จะสำคัญความข้อ
นั้นเป็นไฉน สติปัฏฐาน ๔ นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติดีแล้ว เพื่อบรรลุกุศล สติปัฏฐาน
๔ มีอะไรบ้าง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณากายในกาย เป็นภายใน มี

543
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 544 (เล่ม 13)

ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อ
ภิกษุพิจารณากายในกาย เป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดย
ชอบในกายานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดยชอบในกายานุปัสสนานั้นแล้ว ยัง
ญาณทัสสนะให้เกิดในกายอื่นในภายนอก. ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
เป็นภายในมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่
เมื่อภิกษุพิจารณาเวทนาในเวทนาเป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใส
โดยชอบในเวทนานุปัสสนานั้น เธอตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบในเวทนา
นุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดในเวทนาอื่นภายนอก ภิกษุพิจารณาจิต
ในจิตเป็นภายใน มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกอยู่ เมื่อภิกษุพิจารณาจิตในจิตเป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ย่อม
ผ่องใสโดยชอบในจิตตานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบ
ในจิตตานุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดในจิตอื่นในภายนอก. ภิกษุ
พิจารณาธรรมในธรรมเป็นภายใน มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุพิจารณาธรรมในธรรมเป็นภายในอยู่
ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบในธัมมานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดย
ชอบ ผ่องใสโดยชอบในธัมมานุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดใน
ธรรมอื่นในภายนอก. สติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้
ผู้เห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติแล้ว เพื่อบรรลุคุณ
ว่าด้วยบริขารแห่งสมาธิ
[๒๐๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหม ได้กล่าวเนื้อความ
นี้แล้ว ได้เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มากล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย เทวดา
ชั้วดาวดึงส์จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการนี้ อัน

544
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 545 (เล่ม 13)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงบัญญัติแล้ว เพื่อความเจริญแห่งสัมมาสมาธิเพื่อความบริบูรณ์แห่งสัมมา
สมาธิ บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการเป็นไฉน คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ. ความที่
จิตมั่นแวดล้อมด้วยองค์ ๗ นี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิอันเป็นอริยะ มีอุปนิสัย
ดังนี้บ้าง มีบริขารดังนี้บ้าง สัมมาสังกัปปะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิ
สัมมาวาจาย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะย่อมเพียงพอ
แก่บุคคลผู้มีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมากัมมันตะ
สัมมาวายามะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาสติย่อมเพียงพอ
แก่บุคคลผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสติ
สัมมาญาณะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสมาธิ สัมมาวิมุตติ ย่อมเพียงพอแก่บุคคล
ผู้มีสัมมาญาณะ ก็บุคคลเมื่อกล่าวโดยชอบถึงความข้อนั้น พึงกล่าวว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบ
ด้วยกาลควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
เพราะฉะนั้น ประตูแห่งพระนิพพานเปิดเพื่อท่านแล้ว. บุคคลเมื่อกล่าว
โดยชอบถึงความนี้เทียวกะบุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น
ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงกล่าวว่า ก็พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม
เข้ามา. อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ประตุแห่งพระนิพพานเปิดเพื่อท่านแล้ว.
ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระ-
พุทธเจ้า ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระธรรม ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลทั้งหลายที่พระ
อริยเจ้าชอบใจ. ชนเหล่านี้เป็นโอปปาติกะ นำมาแล้วในพระธรรม ชนผู้บำรุง

545
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 546 (เล่ม 13)

ชาวมคธเกินสองล้านสี่แสนคน ทำกาละล่วงไปนานแล้วเป็นพระโสดาบัน
เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะ
ตรัสรู้ในเบื้องหน้า. ข้าพเจ้ากลัวการพูดเท็จ จึงไม่อาจคำนวณได้ว่าในชน
เหล่านี้ มีพระสกทาคามีเท่าไร และหมู่สัตว์นอกนี้บังเกิดด้วยส่วนบุญ.
ปริวิตกของท้าวเวสวัณมหาราช
[๒๐๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้
แล้ว. เมื่อสนังกุมารพรหมกล่าวเนื้อความนี้อยู่ ท้าวเวสวัณมหาราชเกิดความ
ดำริแห่งใจอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาหนอ
จักมีพระศาสดาผู้ยิ่งเห็นปานนี้ จักมีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ จักปรากฏ
การบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งเห็นปานนี้. ครั้งนั้น สนังกุมารพรหมได้ทราบความ
ดำริในใจของท้าวเวสวัณมหาราชด้วยใจแล้ว ได้กล่าวกะท้าวเวสวัณมหาราช
ดังนี้ว่า ท่านเวสวัณมหาราชจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในอดีตกาล ก็ได้มี
พระศาสดาผู้ยิ่งเห็นปานนี้ ได้มีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ ได้ปรากฏการ
บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งเห็นปานนี้ แม้ในอนาคตกาล ก็จักมีพระศาสดาผู้ยิ่งเห็น
ปานนี้จักมีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ จักปรากฏการบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง
เห็นปานนี้.
[๒๐๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหม ได้กล่าวเนื้อความนี้
แก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว. ท้าวเวสวัณมหาราชได้บอกเนื้อความนี้ที่ได้สดับ
ต่อหน้า ได้รับต่อหน้าสนังกุมารพรหมผู้กล่าวแก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ในบริษัท
ของตน. ชนวสภยักษ์กราบทูลความนี้ที่ได้สดับต่อหน้า ที่ได้รับต่อหน้าท้าว
เวสวัณมหาราชผู้กล่าวในบริษัทของตนแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงสดับต่อหน้า ทรงรับต่อหน้าชนวสภยักษ์และทรงทราบได้เองได้ตรัส

546
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 547 (เล่ม 13)

บอกเนื้อความนี้แก่ท่านพระอานนท์. พระอานนท์ผู้มีอายุได้ฟังมาต่อพระพักตร์
ได้รับมาต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวบอกความข้อนี้แก่ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา. พรหมจรรย์นี้นั้น บริบูรณ์ แพร่หลาย กว้าง
ขวาง ชนเป็นอันมากทราบชัด เป็นปึกแผ่น จนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ประกาศดีแล้ว ดังนี้แล.
จบ ชนวสภสูตรที่ ๕

547
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 548 (เล่ม 13)

อรรถกถาชนวสภสูตร
ชนวสภสูตร มีคำว่าเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ :-
การพรรณนาบทไม่ตื้นในชนวสภสูตร ดังนี้. บทว่า ปริโต ปริโต
ชนปเทสุ ความว่า ในชนบทใกล้เคียง. บทว่า ปริจารเก ความว่า ผู้บำรุง
พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์. บทว่า อุปปตฺตีสุ ความว่า ในการอุบัติ
แห่งญาณคติ และบุญ. บทว่า กาสีโกสเลสุ ความว่า ในแคว้นกาสีและโกศล.
อธิบายว่า ในกาสีรัฐ และโกศลรัฐ. ในบททั้งปวงก็มีนัยเช่นเดียวกัน. แต่ไม่
ทรงพยากรณ์ในรัฐทั้ง ๖ คือ อังคะ มคธ โยนก กัมโพช อัสสกะ และ
อวันตี. ก็ทรงพยากรณ์ในชนบทสิบก่อนแห่งมหาชนบทสิบหกนี้.
บทว่า นาทิกิยา ความว่า ชาวบ้านนาทิกะ. บทว่า เตน จ ความ
ว่า ด้วยความเป็นพระอนาคานี้ เป็นต้นนั้น. บทว่า สุตฺวา ความว่า ได้ฟัง
พยากรณ์ปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกำหนดด้วยพระสัพพัญุตญาณ
พยากรณ์อยู่ ก็จะถึงที่สุด ในความเป็นพระอนาคามี เป็นต้น ของชนเหล่า
นั้น ก็จะมีใจเป็นของตนด้วยความเป็นพระอนาคามีเป็นต้นนั้น. แต่ในอรรถกถา
ท่านกล่าวว่า บทว่า เตน คือ ชาวบ้านนาทิกะเหล่านั้น. จริงอยู่ อักษร น
ในอรรถนั่น เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า ภควนฺตํ กิตฺตยมานรูโป ความว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทรง
บริกรรมอย่างนี้ว่า โอหนอพระพุทธเจ้า โอหนอพระธรรม โอหนอพระสงฆ์
โอหนอพระธรรมที่ตรัสดี แล้วสวรรคต. บทว่า พหุชโน ปสีเทยฺย ความ
ว่า ชนมากถึงความเลื่อมใสอย่างนี้ว่า บิดา มารดา พี่ชาย พี่สาว บุตร ธิดา
สหาย ของพวกเรา พวกเราเคยกินร่วม นอนร่วมกับท่านนั้น พวกเราจะทำ
สิ่งที่น่าพอใจอย่างนี้ และอย่างนี้แก่ท่านนั้น ได้ยินว่า ท่านนั้นเป็นอนาคามี
สกทาคามี โสดาบัน โอหนอ เป็นการดี โอหนอเป็นการชอบ.

548
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 549 (เล่ม 13)

บทว่า คตึ คือ ญาณคติ. บทว่า อภิสมฺปรายํ ความว่า มีญาณ
เป็นไปเบื้องหน้า. บทว่า อทฺทสา โข ความว่า ได้เห็นชนประมาณ
เท่าใด. ประมาณ ๒,๔๐๐,๐๐๐ คน. บทว่า อุปสนฺตปติสฺโส ความ ทรง
มีทัศนสงบแล้ว. บทว่า ภาติริว ความว่า เปล่งปลั่งยิ่ง คือ รุ่งโรจน์ยิ่ง.
บทว่า อินฺทฺริยานํ ความว่า พระอินทรีย์ซึ่งมีพระหฤทัยเป็นที่หก. บทว่า
อทฺทสํ โข อหํ อานนฺท ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราได้เห็นชาว
มคธผู้บำรุง ไม่ใช่จำนวนสิบ จำนวนยี่สิบ จำนวนร้อย จำนวนพัน แต่
จำนวนไม่ต่ำกว่า ๒,๔๐๐,๐๐๐ คน. แต่ชนมีประมาณเท่านี้ เห็นเราแล้ว
อาศัยเราพ้นจากทุกข์แล้ว โสมนัสมีกำลังเกิดขึ้นแล้ว จิตเลื่อมใส เพราะจิต
เลื่อมใส โลหิตซึ่งมีจิตเป็นสมุฏฐานก็ผ่องใส เพราะโลหิตผ่องใส อินทรีย์ทั้ง
หลายซึ่งมีมนะเป็นที่หก ก็ผ่องใส ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า อถโข
อานนฺท เป็นต้น. พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้น ทรงสดับธรรมกถาของสมเด็จ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้น เป็นใหญ่แห่งชนหนึ่งแสนยิ่งด้วยสิบพัน บรรลุ
เป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมีพระนามว่า ชนวสภะ.
บทว่า อิโต สตฺต ความว่า จุติจากเทวโลกนี้เจ็ดครั้ง. บทว่า ตโต
สตฺต ความว่า จุติจากมนุษยโลกนั้นเจ็ดครั้ง. บทว่า สํสรามิ จตุทฺทส
ความว่า ตามลำดับขันธ์ทั้งหมด สิบสี่ครั้ง. บทว่า นิวาสมภิชานามิ ความ
ว่า เรารู้นิวาสด้วยอำนาจแห่งชาติ. บทว่า ยตฺถ เม วุสิตํ ปุเร ความว่า เรา
เข้าถึงความเป็นสหายแห่งเวสวัณในเทวโลก และเป็นราชาในมนุษยโลกอยู่แล้ว
ในกาลก่อน แต่อัตภาพนี้ และเพราะได้อยู่อย่างนี้แล้ว บัดนี้ได้เป็นโสดาบัน
กระทำบุญมากในวัตถุทั้ง ๓ แม้สามารถบังเกิดเบื้องสูงด้วยอานุภาพแห่งบุญนั้น
จึงได้เกิดแล้วในที่นี้เทียว เพราะกำลังแห่งความใคร่ในสถานที่อยู่ตลอดกาลนาน.

549
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 550 (เล่ม 13)

ด้วยบทว่า อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺฐติ นี้ ท่านแสดงว่า เราไม่
หลับประมาทว่า เราเป็นโสดาบัน ยังกาลให้ล่วงแล้ว ก็เราได้เจริญวิปัสสนา
เพื่อประโยชน์แก่พระสกทาคามี อยู่อย่างมีความหวังว่า เราจะบรรลุในวันนี้ ๆ.
บทว่า ยทคฺเค ความว่า ท่านกล่าวมุ่งถึงวันบรรลุพระโสดาบันในปฐมทัศน์ที่
สวนลัฏฐิวัน. บทว่า ตทคฺเค อหํ ภนฺเต ทีฆรตฺตํ อวินิปาโต อวินิปาตํ
สญฺชานามิ ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ทำวันนั้นเป็นต้นเหตุ ไม่
ตกต่ำเป็นเวลานาน นับได้ ๑๔ อัตภาพก่อน ได้จำธรรมที่ไม่ยังตนให้ตกต่ำที่
บรรลุแล้ว ด้วยอำนาจโสดาปัตติมรรค ที่สวนลัฏฐิวัน. บทว่า อนจฺฉริยํ ความ
ว่าอัศจรรย์เนืองๆ. การที่เราไปด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้เห็นพระผู้มีพระภาค
เจ้าในระหว่างทาง เป็นการอัศจรรย์ที่คิดถึงบ่อยๆ และธรรมที่เราได้ฟังเฉพาะ
พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้บริษัทของมหาราชเวสวัณนั้น แม้ข้อนี้
ก็เป็นการอัศจรรย์. บทว่า เทฺว ปจฺจยา ความว่า ภาพที่เห็นในระหว่างทาง
และความใคร่ที่จะบอกธรรมที่ได้ฟังต่อหน้าท้าวเวสวัณ. บทว่า สนฺนิปติตา
ความว่า ประชุม เพราะเหตุอะไร. ได้ยินว่า เทพเหล่านั้น ประชุมด้วยเหตุ
๔ ประการ คือ เพื่อสงเคราะห์วันวัสสูปนายิกา เพื่อสงเคราะห์วันปวารณา
เพื่อฟังธรรม เพื่อเล่นปาริฉัตรกีฬา. ในเหตุการณ์เหล่านั้น ในวันอาสาฬห-
ปุณมี เหล่าเทพในเทวโลกทั้งสอง ประชุมในเทวสภา ชื่อ สุธัมมา ว่า พรุ่ง
นี้เป็นวันวัสสูปนายิกา แล้วปรึกษากันว่า ในวิหารโน้น มีพระภิกษุเข้าพรรษา
หนึ่งรูป ในวิหารโน้น มีพระภิกษุเข้าพรรษา ๒ รูป ๓ รูป ๔ รูป ๕ รูป ๑๐ รูป
๒๐ รูป ๓๐ รูป ๔๐ รูป ๕๐ รูป ๑๐๐ รูป ๑,๐๐๐ รูป ท่านทั้งหลายจงทำการ
รักษาอารามในที่นั้น ๆให้ดี. การสงเคราะห์วัสสูปนายิกา ทวยเทพได้ทำแล้ว
ดังนี้. แม้ในกาลนั้น ทวยเทพได้ประชุมแล้ว ด้วยการณ์นั่นเทียว. บทว่า
อิทํ เตสํ โหติ อาสนสฺมึ ความว่า อาสวะนี้ เป็นของมหาราชทั้งสีเหล่านั้น

550
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 551 (เล่ม 13)

ครั้นมหาราชแม้เหล่านั้น ได้นั่งอย่างนี้แล้ว ต่อมาภายหลัง อาสนะจึงมีแก่เรา.
บทว่า เยนตฺเถน ความว่า ด้วยประโยชน์แห่งวัสสะปนายิกาใด. บทว่า ตํ
อตฺถํ จินฺตยิตฺวา ความว่า คิดการอารักขาพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ป่านั้นแล้ว
ปรึกษากับมหาราชทั้งสี่ว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแจงอารักขาพระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่ใน
ป่านั้น ๆ. บทว่า วุตฺตวจนาปิ ตํ ความว่า เทวบุตร ๓๓ องค์ ย่อมกล่าว
ออกชื่อว่า มหาราช. เทวบุตร ๓๓ องค์ ย่อมพร่ำเรียกอย่างนั้น. มหาราช
นอกนี้ ก็ระบุชื่อรอง ๆ ลงมา. ก็บทว่า ตํ แม้ในบททั้งสองเป็นเพียงนิบาต
เท่านั้น. บทว่า อปกฺกนฺตา ความว่า ไม่หลีกไปแล้ว.
บทว่า อุฬาโร คือ ไพบูลย์ ใหญ่. บทว่า เทวานุภาวํ ความว่า
แสงสว่างแห่งผ้า เครื่องประดับ วิมาน และสรีระของเทวดาทั้งปวง ย่อมแผ่
ไปไกล ๑๒ โยชน์ ส่วนแสงสว่างแห่งสรีระของเทวดาผู้มีบุญมากแผ่ไปไกล
๑๐๐ โยชน์ ก้าวล่วง ซึ่งเทวานุภาพนั้น. บทว่า พฺรหฺมุโน เหตํ ปุพฺพนิ-
มิตฺตํ ความว่า ท่านแสดงว่า แสงอรุณเป็นบุพพังคมะ เป็นบุพนิมิตแห่ง
พระอาทิตย์อุทัยฉันใด นั่นเป็นบุรพนิมิต แม้แห่งพรหมฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า
อนภิสมฺภวนิโย ความว่า ไม่พึงถึง. ความว่า ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ย่อม
ไม่เห็นพรหมนั้น. บทว่า จกฺขุปถสฺมึ ความว่า ในประสาทจักษุ หรือ
คลองจักษุ. วรรณะนั้น ไม่พึงเห็นหรือไม่พึงถึงในคลองจักษุของเทพทั้งหลาย.
บทว่า นาภิภวติ ความว่า ได้กล่าวแล้ว. จริงอยู่ เทวดาชั้นต่ำ ๆ ย่อมอาจ
เห็นอัตภาพที่สร้างอย่างไพบูลย์ของเทวดาชั้นสูง ๆ. บทว่า เวทปฏิลาภํ ความ
ว่า กลับได้ความยินดี. บทว่า อธุนาภิสิตฺโต รชฺเชน ความว่า ทรงอภิเษก
ด้วยสมบัติ. ก็อรรถนี้ พึงแสดงเรื่องทุฏฐคามณีอภัย.
ได้ยินว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น ทรงชนะกษัตริย์ทมิฬถึง ๓๒
พระองค์ ทรงถึงอภิเษกในกรุงอนุราธบุรี ด้วยพระหฤทัยโสมนัสยินดี แต่ไม่

551