No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 522 (เล่ม 13)

อุบาสก จึงคิดว่า สมควรที่จะสร้างบรรณศาลาถวายพระผู้เป็นเจ้าในที่นี้แล้ว
เลิกการงานของตนขนทัพพสัมภาระ ทำบรรณศาลา ฉาบ โบกฝาด้วยดินเหนียว
ติดประตู ทำพนักนั่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง ด้วยคิดว่า พระผู้เป็น
เจ้าจักทำการบริโภค หรือไม่หนอ.
พระเถระมาจากภายในบ้าน เข้าไปสู่บรรณศาลา แล้วนั่งที่พนัก.
แม้อุบาสกมาแล้วไหว้นั่ง ณ ที่ใกล้แล้ว ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บรรณ
ศาลาผาสุกไหม. ผาสุก สมควรแก่บรรพชิต. ท่านจักอยู่ที่นี้หรือ. อย่างนั้น
อุบาสก. อุบาสกนั้นรู้แล้วว่า พระเถระจักอยู่โดยอาการรับให้พระเถระทราบว่า
ท่านพึงไปสู่ประตูเรือนของกระผมเป็นนิตย์แล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขอ
ท่านจงให้พรอย่างหนึ่ง แก่กระผมเถิด. ดูก่อนอุบาสก บรรพชิตก้าวล่วงแล้ว.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นพรที่ควรและไม่มีโทษ. อุบาสก จงบอก. ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ มนุษย์ทั้งหลายในที่เป็นที่อยู่ประจำ ย่อมปรารถนาการมาในมงคล
หรือ อมงคล ย่อมโกรธแก่พระเถระผู้ไม่มา เพราะฉะนั้น ท่านแม้ไปสู่ที่
นิมนต์อื่นแล้ว เข้าไปสู่เรือนของกระผมแล้ว พึงทำภัตกิจ. พระเถระรับแล้ว.
ก็โพธิสัตว์นั้น ปูเสื่อลำแพนในศาลาตั้งเตียงตั่ง วางพนักพิงวางที่
เช็ดเท้า ขุดสระ ทำที่จงกรมเกลี่ยทราย เห็นสัตว์มาทำลายฝา ทำดินเหนียว
ให้ตก ก็ล้อมรั้วหนาม เห็นสัตว์ลงสระทำน้ำให้ขุ่นก็ก่อบันไดภายใน ล้อมรั้ว
หนามภายนอก ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน เห็นสัตว์ทำสกปรกที่อันลมควร
ในมหาจงกรม ก็ล้อมที่จงกรมด้วยรั้ว ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน ยังอาวาส
ให้สำเร็จอย่างนี้ ถวายไตรจีวร บิณฑบาต ยา ภาชนบริโภค เหยือกน้ำ
กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม ไม้เท้า รองเท้า ตุ่มน้ำ ร่ม คบเพลิง ไม้แคะ
มูลหู บาตร ถลกบาตร ผ้ากรองน้ำ ที่กรองน้ำ ก็หรือ สิ่งที่บรรพชิตควร
บริโภคอื่นแด่พระเถระ ชื่อว่า บริขารที่พระโพธิสัตว์ไม่ถวายแก่พระเถระไม่มี.

522
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 523 (เล่ม 13)

พระโพธิสัตว์นั้น รักษาศีล รักษาอุโบสถ บำรุงพระเถระตลอดชีวิต. พระ-
เถระอยู่ในอาวาสนั้นเทียว บรรลุพระอรหัตแล้วนิพพาน. ฝ่ายพระโพธิสัตว์
ทำบุญตลอดอายุแล้วไปเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้น มาสู่มนุษยโลกไป
เกิดเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิในราชธานี ชื่อว่า กุสาวดี.
บุญแม้อันไม่ใหญ่ยิ่งได้กระทำแล้วในศาสนาของท่านอย่างนี้
มหาวิบาก จึงมี เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาพึงทำบุญนั้น.
บทว่า มหาวิยูหํ ความว่า มหากูฏาคารอันทำด้วยเงิน. ทรงพระ-
ประสงค์ที่จะประทับอยู่ในกูฏาคารนั้น จึงได้เสด็จไป. บทว่า เอตฺตาวตา
กามวิตกฺก ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ทรงข่มวิตกทั้งสามที่ประตู
กูฏาคารนั่นเทียวอย่างนี้ว่า.-
ดูก่อนกามวิตก ท่านพึงกลับเพียงเท่านี้ เบื้องหน้าแต่นี้ไป ท่านไม่มี
ที่อยู่ นี้ชื่อว่า ฌาณาคาร ฌาณาคารนี้ ไม่ใช่ที่อยู่ร่วมกับท่าน.
ในบทว่า ปฐมชฺฌานํ เป็นต้น ชื่อว่า กสิณบริกรรมกิจย่อมไม่มีต่าง
หาก ครั้นมีความต้องการนีลกสิณ นิลมณีก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วย
ปิตกกสิณ สุวัณณะก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโลหิตกสิณ รัชตะมณี ก็
ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโอทาตกสิณ รัชตะก็ย่อมมี ท่านบัญญัติกสิณ
ในฐานะที่แลดูแล้ว ๆ อย่างนี้ในบทว่า เมตฺตาสหคเตน เป็นต้น คำที่จะพึง
กล่าวแม้ทั้งหมด ได้กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล. ท่านกล่าวฌานสี่
อัปปมัญญาสี่ในบาลีด้วยประการฉะนี้. ก็มหาบุรุษยังสมาบัติแปดทั้งหมด
อภิญญาห้าให้เกิดแล้วเข้าสมาบัติโดยอาการสิบสี่ด้วยสามารถอนุโลม ปฏิโลม
เป็นอาทิ ให้เป็นไปด้วยความสุข ในสมาบัตินั้นเทียว เหมือนภมรเข้ารวงผึ้ง
เป็นอยู่ด้วยมธุรส ฉะนั้น.

523
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 524 (เล่ม 13)

บทว่า กุสาวติราชธานี ความว่า กุสาวดีราชธานี เป็นประมุข คือ
เป็นใหญ่ทั้งหมดแห่งพระนครเหล่านั้น. บทว่า ภตฺตาภิหาโร ความว่า ภัต
อันจะพึงนำไปเฉพาะ. บทว่า วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส ความว่า ท่านคิด
อย่างนี้ เพราะเหตุไร. เพราะรำคาญด้วยเสียงบุคคลเหล่านั้น. ก็ท่านกล่าวว่า
เสียงย่อมรบกวนผู้เข้าสมาบัติ เพราะฉะนั้น มหาบุรุษจึงรำคาญด้วยเสียง. ถ้า
เช่นนั้น ทำไมจึงไม่บอกว่า พวกท่านจงอย่ามา. เดี๋ยวนี้พระราชาไม่เห็น
เพราะฉนั้น จึงไม่กล่าวว่า จักไม่ได้วัตรเป็นนิตย์ วัตรนั้นของชนเหล่านั้น
จงอย่าขาดไป.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดนั้นได้มีแล้วเมื่อไร. ในวันกาล
กิริยาของพระราชา. ได้ยินว่า ในกาลนั้น เทพดาทั้งหลายคิดว่า พระราชาจง
อย่าทรงกระทำกาลกิริยาอย่างอนาถา จงมีธิดา บุตรทั้งหลายที่ร้องไห้แวดล้อม
กระทำกาลกิริยาเถิด. ลำดับนั้น นึกถึงเทวียังจิตแห่งเทวีเกิดขึ้นอย่างนี้. บทว่า
ปิตานิ วตฺถานิ ความว่า ได้ยินว่า ผ้าเหลืองเหล่านั้น เป็นที่พึงพอพระ-
ราชหฤทัยของพระราชาโดยปกติ เพราะฉะนั้น พระนางสุภัททาเทวี จึงตรัส
ว่า ท่านทั้งหลายจงห่มผ้าเหลือง. บทว่า เอตฺเถว เทวิ เทวิ ติฏฺฐ ความว่า
ชื่อว่า ฌานาคารนี้ ไม่ใช่สถานอยู่ร่วมกับท่านทั้งหลาย ชื่อว่า สถานที่ได้
ความยินดีในฌานท่านอย่าเข้ามาในที่นี้.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายในโลกย่อมรุ่งโรจน์
ยิ่งในกาลสมัยใกล้ตาย ด้วยเหตุนั้น พระนางเทวีนั้น ทรงเห็นความที่พระราชา
ทรงมีพระอินทรีย์ผ่องใส จึงมีพระดำรัสอย่างนั้น.
แต่นั้น พระนางเทวีไม่ทรงปรารถนากาลกิริยาของพระราชาชั้นว่า
ขอกาลกิริยาอย่าได้มีแด่พระราชา ตรัสถึงคุณสมบัติของพระราชานั้น ทรงคิด
ว่า เราจักทำอาการให้ทรงมีพระชนม์อยู่จึงทูลว่า อิมานิ เต เทว เป็นต้น.

524
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 525 (เล่ม 13)

ในบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺทํ ชเนหิ ความว่า จงทรงยังความรัก
ให้เกิดขึ้น คือ จงทรงกระทำปีติ. บทว่า ชีวิเต ปน อเปกฺขํ ความว่า
พระองค์จงทรงทำความอาลัย คือ ความอยากในชีวิต. บทว่า เอวํโข มํ ตฺวํ
เทวิ ความว่า ครั้นพระนางเทวีสำคัญพระราชาว่า พระราชานี้เป็นบรรพชิต
จึงทูลว่า ข้าแต่เทวะ หม่อมฉันเป็นหญิงย่อมไม่รู้จักถ้อยคำอันควรแก่บรรพชิต
หม่อมฉันจะกล่าวอย่างไร มหาราช พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิจึงตรัสว่า
เอวํ โข มํ ตฺวํ เทวิ สมุทาจาร ดังนี้. บทว่า ครหิตา ความว่า สเปกข-
กาลกิริยา อันพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกและบรรพชิตเหล่า
อื่น ผู้เป็นพหุสูตติเตียนแล้ว. เพราะเหตุอะไร. เพราะกาลกิริยาที่มีความ
ห่วงใย เป็นเหตุให้เกิดเป็นยักษ์ สุนัข แพะ โค กระบือ หนู ไก่ และ
นกเป็นต้น ในเรือนของตนเท่านั้น.
บทว่า อถโข อานนฺท ความว่า พระนางเทวี ไปในที่ควรส่วนสุด
ข้างหนึ่งแล้ว ทรงพระกันแสง ทรงเช็ดพระอัสสุชล จึงตรัสดังนั้น. บทว่า
คหปติสฺส วา ความว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส. ได้ยินว่า สมบัติ
อันมากย่อมมีแก่ชนเหล่านั้นเหมือนมีแก่บุตรของโสณเศรษฐีเป็นต้น ฉะนั้น.
ได้ยินว่า ถาดแห่งภัตใบหนึ่งของโสณเศรษฐีบุตร มีราคาตั้งสองแสน เมื่อ
ชนเหล่านั้นบริโภคภัตเช่นนั้น ชั่วครู่ก็เกิดความเมาในภัต ทำให้อึดอัด ลำบาก
เพราะภัต ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ความ
ว่า นครที่เราอยู่มีเพียงนครเดียวเท่านั้น. บุตรธิดาเป็นต้นและทาสมนุษย์ทั้ง
หลายอยู่ในนครที่เหลือ. แม้ในปราสาทและกูฏาคารทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียว
กัน.
ในบัลลังก์เป็นต้น ก็ทรงใช้บัลลังก์เดียวเท่านั้น. บัลลังก์ที่เหลือ เป็น
ของใช้สำหรับ บุตรเป็นต้น. แม้ในสตรีทั้งหลาย สตรีคนเดียวเท่านั้น บำรุง

525
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 526 (เล่ม 13)

สตรีที่เหลือเป็นเพียงบริวาร. บทว่า ปริทหามิ ความว่า เรานุ่งผ้าคู่เดียวเท่า
นั้น. ผ้าคู่ที่เหลือย่อมมีแก่บุรุษ ๑๖ แสน ๘๐ พันคนผู้ขอเที่ยวไป. บทว่า
ภุญฺชามิ แสดงว่า เราบริโภคข้าวสุกเพียงหนึ่งทะนาน โดยปัตถะเป็นประมาณ
ที่เหลือได้แก่บุรุษ ๘ แสน ๔๐ พัน ที่ขอเที่ยวไป. จริงอยู่ สำรับหนึ่ง พอ
แก่ชนสิบคน. ได้ยินว่า พระนคร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ปราสาทพันหลัง และ
กูฏาคารหนึ่งพัน เกิดขึ้นเพราะผลบุญไหลมาแห่งบรรณศาลาหลังเดียว. บัลลังก์
๘๔,๐๐๐ หลังเกิดขึ้น ด้วยผลบุญไหลมาแห่งเตียงที่ถวายเพื่อประโยชน์แก่การ
นอน. ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก ม้า ๑,๐๐๐ ตัว รถ ๑,๐๐๐ คัน เกิดขึ้นด้วย
ผลบุญที่ใหลมาแห่งตั่งที่ถวาย เพื่อประโยชน์แก่การนั่ง. แก้วมณี ๘๔,๐๐๐
ดวง เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งประทีปหนึ่งดวง. สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐
สระ เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งสระโบกขรณีหนึ่งสระ. สตรี ๘๔,๐๐๐ นาง
บุตร ๑,๐๐๐ คน คหบดี ๑,๐๐๐ คน เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งการ
ถวายบริโภคภาชนะ บาตร ถลกบาตร ธรมกรก ผ้ากรองน้ำ หม้อน้ำ
กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม กุญแจ ไม้แคะมูลหู ผ้าเช็ดเท้า รองเท้า ร่ม และ
ไม้เท้า. แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งทานโครส.
ผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับเกิดขึ้นด้วยผลบุญอันไหลมาแห่งทานผ้านุ่งผ้าห่ม. สำรับ
ใส่ พระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับ พึงทราบว่า เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมา
แห่งทานโภชนา. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงสมบัติของพระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดิตั้งแต่ต้นโดยพิสดาร ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงสมบัตินั้นทั้งหมด
เหมือนแสดงโรงเล่นฝุ่นแก่เด็กทั้งหลาย บรรทมบนพระแท่นเป็นที่ดับขันธ
ปรินิพานแล้วตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอจงดู ดังนี้เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิปริณตา ความว่า ถึงซึ่งความแปรปรวน
เหมือนประทีปดับ โดยละปกติไปฉะนั้น. บทว่า เอวํ อนิจฺจาโข อานนฺท

526
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 527 (เล่ม 13)

สํขารา ความว่า ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว กลับไม่มีอย่างนี้.
บุรุษผูกพะองในต้นไม้จำปาสูงร้อยศอก ขึ้นแล้ว ถือเอาดอกไม้จำปาแก้พะอง
ลงมาฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงยก ซึ่งสมบัติของพระ
เจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ สูงถึงแสนโกฏิปี ไม่ใช่น้อย เหมือนผูกพะอง ทรงถือ
เอา อนิจลักษณะที่ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งสมบัติ ก้าวลงเหมือนแก้พะอง ด้วย
ประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น ในกาลก่อน พระเจ้า วสภะ ทรงสดับพระสูตรนี้
ที่พระทีฆภาณกเถระสาธยายในอัมพลัฏฐิกา ด้านทิศตะวันออกแห่งโลหะ
ปราสาทแล้วทรง คิดว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรากล่าวอะไรในที่นี้ พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวเฉพาะ สมบัติในฐานที่ตนได้กินได้ดื่มเท่านั้น ทรงเหยียดพระหัตถ์ซ้าย
ประสานด้วยพระหัตถ์ขวาว่า ท่านมีจักษุด้วยจักษุห้าประการ เห็นสูตรนี้แล้ว
กล่าวอย่างนี้ ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงอย่างนี้แล. ทรงมีพระหฤทัยยินดีว่า สาธุ สาธุ ทรงให้สาธุการ.
บทว่า เอวํ อธุวา ความว่า ปราศจากความแน่นอน เหมือนคลื่น
น้ำเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า เอวํ อนสฺสาสิกา ความว่า ปราศจากลมอัสสาสะ
เหมือนน้ำที่ดื่มแล้ว และเหมือนจันทร์ที่ลูบไล้ในความฝันอย่างนี้. บทว่า
สรีรํ นิกฺขิเปยฺย ความว่า ทิ้งสรีระ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
อานนท์ การทิ้งหรือการปฏิบัติสรีระอื่น ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต. ก็แลครั้น
ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสเรียกพระเถระอีกว่า ธรรมดาอานุภาพแห่งพระเจ้า
จักรพรรดิ ย่อมอันตรธานในวันที่เจ็ดแห่งการบวช. ส่วนสมบัติทั้งหมด นี้คือ
กำแพงรัตนะเจ็ดขึ้น ตาลรัตนะ สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ สระ ธรรมปราสาท
ธรรมาโบกขรณี จักรรัตนะ อันตรธานแล้วในวันที่เจ็ด แต่กาลกิริยาแห่ง
พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ. ในช้างเป็นต้น ก็ธรรมดาอย่างนี้. ที่หมดอายุขัย
ก็ทำกาลกิริยาไป. ครั้นอายุยังเหลืออยู่ หัตถีรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลอุโบสถ

527
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 528 (เล่ม 13)

อัสสรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลวลาหก มณีรัตนะก็จะไปสู่ วิบุลบรรพตเท่านั้นเอง.
อานุภาพแห่งอิตถีรัตนะ ย่อมอันตรธานไป. จักษุของคหบดีรัตนะก็จะกลับ
เป็นปกติ. การขวนขวายของปริณายกรัตนะ ก็ย่อมพินาศ.
บทว่า อิทมโวจ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสบทนี้
ทั้งหมดที่มาแล้วและไม่มาแล้วในพระบาลี. บทที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น
ดังนี้.
จบ อรรถกถามหาสุทัสสนสูตรที่ ๔

528
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 529 (เล่ม 13)

๕. ชนวสภสูตร
คติพยากรณ์ เรื่องผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ
[๑๘๗] ข้าพเจ้า ได้สดับมาดังนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระตำหนักคิญชกาวสถะ
ในบ้านนาทิกะ. ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ ถึงชนผู้บำรุง
ซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี
มัลละ เจติ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น
คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วง
ไปนานแล้วเป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพ-
พาน ณ ที่นั่น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ
กว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้วเป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์
๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว
แล้วทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐๐ คน ทำกาละ
ล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีอันไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า.
[๑๘๘] ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ ได้สดับข่าวมาว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้-
เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจติ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน
ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ
กว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์

529
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 530 (เล่ม 13)

เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพพาน ณ ที่นั้น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ชน
ผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระสกทาคามี
เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้
เพียงครั้งเดียว แล้วจักทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า
๕๐๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓
อย่าง มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า.
เพราะเหตุนั้นแล ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ ได้ฟังปัญหาพยากรณ์ของพระผู้
มีพระภาคเจ้าแล้วดีใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส.
ปริวิตกของพระอานนทเถระ
[๑๘๙] พระอานนท์ผู้มีอายุได้สดับข่าวมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้เคียงทั้ง
หลาย คือ กาลี โกศล วัชชี มัลละ เจติ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ
สุรเสน ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้าน
นาทิกะกว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไป
ซึ่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพพาน ณ ที่นั้น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็น
ธรรมดา ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว
เป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ
เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วจักทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชน
ผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน
เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิ
ญาณเป็นเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้นแล ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะได้ฟังปัญหา
พยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วดีใจ เบิกบานเกิดปีติโสมนัส.

530
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 531 (เล่ม 13)

ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุมีปริวิตกว่า ก็ชนผู้บำรุงชาวมคธเหล่า
นี้ มีมากและเป็นรัตตัญญู ทำกาละล่วงไปนานแล้ว อังคะและมคธ เห็นจะ
ว่างเปล่าจากชนผู้บำรุงชาวมคธซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้ว ก็ด้วยเหตุนั้นแล
ชาวมคธทั้งหลายเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใส
ในพระสงฆ์ กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ชาวมคธเหล่านั้น ทำกาละล่วงไป
นานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ การพยากรณ์จะพึงสำเร็จประโยชน์
แม้แก่พวกเขา ชนมากจะพึงเลื่อมใส แต่นั้น จะพึงไปสู่สุคติ อนึ่ง พระเจ้า
พิมพิสาร จอมเสนี พระเจ้าแผ่นดินแห่งมคธพระองค์นี้ ทรงดำรงอยู่ในธรรม
เป็นพระราชาปกครองโดยธรรม ทรงเกื้อกูลแก่พราหมณ์คหบดี ชาวนิคมและ
ชาวชนบททั้งหลาย อนึ่ง ได้ยินว่า พวกมนุษย์พากันสรรเสริญว่า พระเจ้า-
แผ่นดินมคธนั้น ทรงดำรงอยู่ในธรรม เป็นพระราชาปกครองโดยธรรม ทรง
ปกครองให้พวกเราเป็นสุขอย่างนี้ เสด็จสวรรคตเสียแล้ว พวกเรา อยู่เป็นผาสุก
ในแว่นแคว้นของพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในธรรม เป็นพระราชาปกครองโดย
ธรรมอย่างนี้ แม้อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้นแล ทรงเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
ทรงเลื่อมใสในพระธรรม ทรงเลื่อมใสในพระสงฆ์ ทรงทำให้บริบูรณ์ในศีล
ทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกมนุษย์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม้จนกระทั่งเวลาจะเสด็จ
สวรรคต พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนีพระเจ้าแผ่นดินมคธ ก็ยังทรงสรรเสริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้นเสด็จสวรรคต
ล่วงไปนานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ การพยากรณ์จะพึงสำเร็จ
ประโยชน์แม้แก่พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้น ชนมากจะพึงเลื่อมใส แต่นั้นจะพึงไป
สู่สุคติก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ในแผ่นดินมคธ เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงไม่ทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงชาวมคธ ซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้วในแผ่นดิน
มคธที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้นั้น ในการอุบัติทั้งหลายเล่า ก็ถ้าพระผู้มีพระ-

531