ประพรมด้วยกลิ่นสุรภี มีจันทน์แดงเป็นต้น ตบแต่งให้สวยงามเหมือนวิมาน
เทพภายใต้เกลื่อนกล่นด้วยดอกสุรภีดอกกุสุมอันมีสีวิจิตร เบื้องบนมีเพดาน
ประดับประดาด้วยลายกุสุมอันพึงพอใจรวบรวมภายในดวงดาวทองแล้วทูลว่า
ข้าแต่สมติเทพ ขอพระองค์จงพระดำริการมาแห่งหัตถีรัตนะมีรูปปานนี้.
พระราชานั้นก็ทรงถวายมหาทาน โดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลก่อน และทรง
สมาทานศีลแล้วประทับนั่งระลึกถึงบุญสมบัตินั้น. ลำดับนั้น ช้างประเสริฐอัน
อานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว เหมือนจะครอบงำสักการะพิเศษ
นั้นจากตระกูลฉัททันต์ หรือจากตระกูลอุโบสถ มีสรีระขาวปลอดตกแต่งการ
เดิน คอและปากมีสีแดงดุจมณฑลแห่งพระอาทิตย์อ่อน ๆ มีที่ประดิษฐ์
เจ็ดประการ มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ตั้งไว้อย่างดี มีนม เล็บ และปลายงวง
แดงแย้ม สามารถเหาะได้เหมือนโยคีผู้มีฤทธิ์ ใหญ่ขาว เหมือนบริเวณที่
ย้อมด้วยจุณแห่งมโนสิลา มายืนอยู่ในประเทศนั้น. ช้างนั้นมาจากตระกูลช้าง
ฉัททันต์ ย่อมเล็กกว่า ช้างทั้งหมด. ช้างที่มาจากตระกูลช้างอุโบสถ ย่อม
ใหญ่กว่า ช้างทั้งปวง. แต่ในบาลี ย่อมมาว่า นาคราชชื่อ อุโบสถ ดังนี้.
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าช้างนาคราช ไม่คู่ควรแก่ใครๆ
เป็นช้างเล็กกว่าช้างทั้งหมด ย่อมมาดังนี้. ช้างนี้นั้นย่อมมาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ
ผู้มีวัตรแห่งจักรพรรดิ ทรงดำริโดยนัยกล่าวแล้วนั่นเทียว. ก็ช้างนาคราชมา
สู่โรงช้างมงคลปกติเองไม่กำจัดช้างมงคล ยืนอยู่ในที่นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ปุน จปรํ อานนฺท ฯเปฯ นาคราช ดังนี้.
ก็บุคคลทั้งหลายมีคนเลี้ยงช้างเป็นต้น เห็นหัตถีรัตนะที่ปรากฏอย่าง
นั้นแล้ว รื่นเริงดีใจรีบไปทูลแด่พระราชา. พระราชารีบเสด็จมาดู หัตถี-
รัตนะนั้น ทรงมีพระราชหฤทัยผ่องใส ทรงคิดว่า หัตถียานประเสริฐหนอ
ถ้าสมควรนำเข้าฝึก ดังนี้. ทรงเหยียดพระหัตถ์ ลำดับนั้น ช้างนั้นเหมือน