No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 512 (เล่ม 13)

ประพรมด้วยกลิ่นสุรภี มีจันทน์แดงเป็นต้น ตบแต่งให้สวยงามเหมือนวิมาน
เทพภายใต้เกลื่อนกล่นด้วยดอกสุรภีดอกกุสุมอันมีสีวิจิตร เบื้องบนมีเพดาน
ประดับประดาด้วยลายกุสุมอันพึงพอใจรวบรวมภายในดวงดาวทองแล้วทูลว่า
ข้าแต่สมติเทพ ขอพระองค์จงพระดำริการมาแห่งหัตถีรัตนะมีรูปปานนี้.
พระราชานั้นก็ทรงถวายมหาทาน โดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลก่อน และทรง
สมาทานศีลแล้วประทับนั่งระลึกถึงบุญสมบัตินั้น. ลำดับนั้น ช้างประเสริฐอัน
อานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว เหมือนจะครอบงำสักการะพิเศษ
นั้นจากตระกูลฉัททันต์ หรือจากตระกูลอุโบสถ มีสรีระขาวปลอดตกแต่งการ
เดิน คอและปากมีสีแดงดุจมณฑลแห่งพระอาทิตย์อ่อน ๆ มีที่ประดิษฐ์
เจ็ดประการ มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ตั้งไว้อย่างดี มีนม เล็บ และปลายงวง
แดงแย้ม สามารถเหาะได้เหมือนโยคีผู้มีฤทธิ์ ใหญ่ขาว เหมือนบริเวณที่
ย้อมด้วยจุณแห่งมโนสิลา มายืนอยู่ในประเทศนั้น. ช้างนั้นมาจากตระกูลช้าง
ฉัททันต์ ย่อมเล็กกว่า ช้างทั้งหมด. ช้างที่มาจากตระกูลช้างอุโบสถ ย่อม
ใหญ่กว่า ช้างทั้งปวง. แต่ในบาลี ย่อมมาว่า นาคราชชื่อ อุโบสถ ดังนี้.
ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าช้างนาคราช ไม่คู่ควรแก่ใครๆ
เป็นช้างเล็กกว่าช้างทั้งหมด ย่อมมาดังนี้. ช้างนี้นั้นย่อมมาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ
ผู้มีวัตรแห่งจักรพรรดิ ทรงดำริโดยนัยกล่าวแล้วนั่นเทียว. ก็ช้างนาคราชมา
สู่โรงช้างมงคลปกติเองไม่กำจัดช้างมงคล ยืนอยู่ในที่นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ปุน จปรํ อานนฺท ฯเปฯ นาคราช ดังนี้.
ก็บุคคลทั้งหลายมีคนเลี้ยงช้างเป็นต้น เห็นหัตถีรัตนะที่ปรากฏอย่าง
นั้นแล้ว รื่นเริงดีใจรีบไปทูลแด่พระราชา. พระราชารีบเสด็จมาดู หัตถี-
รัตนะนั้น ทรงมีพระราชหฤทัยผ่องใส ทรงคิดว่า หัตถียานประเสริฐหนอ
ถ้าสมควรนำเข้าฝึก ดังนี้. ทรงเหยียดพระหัตถ์ ลำดับนั้น ช้างนั้นเหมือน

512
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 513 (เล่ม 13)

กับช้างแม่นม สยายหูแสดงเสียงร้องเข้าไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงใคร่จะ
เสด็จขึ้นประทับช้างนั้น. ลำดับนั้น ปริชนของพระราชานั้นรู้พระประสงค์ ทำ
ธงทอง เครื่องประดับทองคลุมด้วยข่ายทองนำเข้าหาหัตถีรัตนะนั้น. พระราชา
ไม่ให้ประทับนั่งช้างนั้น เสด็จขึ้นบันไดที่ทำด้วยรัตนะเจ็ดประการ มีพระราช
หฤทัยน้อมไปในอากาศ. พร้อมด้วยจิตตุบาท ของพระราชานั้น หัตถินาค-
ราชนั้น ก็ลอยขึ้นสู้ท้องฟ้าที่รุ่งเรืองด้วยแสงแก้วอินทนิล และแก้วมณี เหมือน
ราชหงษ์ฉะนั้น. ต่อจากนั้น บริษัทของพระราชาทั้งหมดก็เหาะขึ้นโดยนัยอัน
กล่าวแล้วในจักกจาริกานั่นเทียว. พระราชาพร้อมกับบริษัทขึ้นชมปฐวีทั้งสิ้น
ก็กลับราชธานีภายในอาหารเช้า ด้วยประการฉะนี้. หัตถีรัตนะแม้ของพระเจ้า
มหาสุทัสสนจักรพรรดิราชก็เป็นเช่นนั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
หิสฺวา รญฺโญ ฯเปฯ ปาตุรโหสิ ดังนี้.
ก็อำมาตย์ทั้งหลาย ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีหัตถีรัตนะปรากฏอย่าง
นี้แล้ว ให้กระทำและประดับประดา โรงม้ามงคลตามปกติ ให้มีพื้นสะอาดราบ
เรียบ ยังพระอุตสาหะให้เกิดขึ้นแก่พระราชา เพื่อทรงคิดการมาแห่งม้านั้น
โดยนัยก่อนนั่นเทียว. พระราชานั้น ทรงมีสักการะน้อมในทานที่ทรงกระทำ
แล้วโดยนัยก่อนนั่นเทียว ทรงสมาทานศีลและวัตร ประทับนั่งสำราญบนพื้น
ปราสาททรงระลึกบุญสมบัติ. ลำดับนั้น อัศวราช ชื่อว่า วลาหก จากตระกูล
ม้าสินธพ อันอานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว มีศิริแห่งกลุ่มเมฆ
ขาวในสรทกาลที่ต้องสายฟ้า มีเท้าแดง มีกลีบเท้าแดง มีรูปร่างแข็งแรง
บริสุทธิ์สนิท เช่นกับกลุ่มรัศมีแห่งพระจันทร์ มีศีรษะดำ เพราะถึงพร้อมด้วย
ขนตั้งตรงวงกลมละเอียดสีขาวเช่นหญ้าปล้องที่สำเร็จด้วยดีตั้งไว้แล้ว สามารถ
เหาะได้มาอยู่ในโรงนั้น. ก็อัศวราชนั้น มาแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
เหมือนหัตถีรัตนะฉะนั้น. บททั้งปวงที่เหลือ พึงทราบโดยนัยกล่าวแล้วใน

513
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 514 (เล่ม 13)

หัตถีรัตนะนั่นแหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงอัสสรัตนะอย่างนั้น จึง
ตรัสว่า ปุน จปรํ ดังนี้เป็นต้น.
ก็มณีรัตนะจากวิบุลบรรพตยาวสี่ศอก มีรูปทรงงดงาม ประดับประดา
ด้วยทองและปทุมทั้งสอง มีกลีบเป็นมุกดา อันบริสุทธิ์เปล่งออกจากสองก้อน
ในที่สุดสองข้างมีมณีแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร ราวจะแผ่ไปกระทบศิริแห่ง
พระจันทร์เพ็ญ ที่หมู่ดาวล้อมรอบ มาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอัสสรัตนะ
ปรากฏแล้วอย่างนี้. เมื่อมณีรัตนะนั้นมาแล้วอย่างนี้ อันบุคคลวางไว้ในข่าย
มุกดา ยกขึ้นสู่อากาศประมาณหกสิบศอก เพียงยอดไม้ไผ่ แสงสว่างจะแผ่ไป
สู่โอกาส ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ อันเป็นเหตุให้โอกาสนั้นทั้งหมด เกิด
แสงสว่างเหมือนในเวลาอรุณขึ้นฉะนั้น. แต่นั้น ชาวนาก็ประกอบกสิกรรม
พ่อค้าก็ประกอบการซื้อขาย ศีลปินนั้น ๆ ก็ประกอบการงานนั้นๆ สำคัญว่าเป็น
กลางวัน. มณีรัตนะนั้นทั้งหมดได้มีแล้วอย่างนั้น แม้แก่พระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดินั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปุน จปรํ
อานนฺท ฯเปฯ มณิรตนํ ปาตุรโหสิ ดังนี้.
อิตถีรัตนะมีการณ์พิเศษปรากฏแก่พระเจ้าจักพรรดิผู้ทรงมีสุขวิสัยพิเศษ
มีมณีรัตนะปรากฏแล้วอย่างนี้. ก็พระญาติทั้งหลาย ย่อมนำอิตถีรัตนะนั้นจาก
มัทรราชตระกูลมาเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น. หรือมาจากอุตตร-
กุรุประเทศด้วยบุญญานุภาพ. ก็สมบัติแห่งอิตถีรัตนะนั้น ที่เหลือมาแล้วใน
บาลีนั่นเทียว โดยนัยมีอาทิว่า ดูกรพระอานนท์ อีกประการหนึ่ง อิตถีรัตนะซึ่ง
มีรูปสุดสวย น่าดู. ปรากฏแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช. ใน
บรรดาสมบัตินั้น ชื่อว่า อภิรูปา เพราะอิตถีรัตนะนั้น มีรูปสวยงาม บริบูรณ์
ด้วยทรวดทรง. และ ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะเมื่อดูก็ถูกตา แม้ต้องเลิกธุรกิจ
อย่างอื่น มองดู. ชื่อว่า ปาสาทิกา เพราะเมื่อดูก็ยังให้เลื่อมใสด้วยอำนาจ

514
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 515 (เล่ม 13)

โสมนัส. บทว่า ปรมาย ความว่า อุดมเพราะนำมาซึ่งความเลื่อมใสอย่างนี้.
บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย ความว่า เพราะวรรณงาม. บทว่า สมนฺนาคตา
ความว่า เข้าถึงแล้ว. อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า อภิรูปา เพราะไม่สูงนัก ไม่
เตี้ยนัก. ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก. ชื่อว่า ปาสาทิกา
เพราะไม่ดำนักไม่ขาวนัก. ชื่อว่า ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา
เพราะก้าวล่วงวรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณทิพย์. จริงอยู่ แสงสว่างวรรณะของ
พวกมนุษย์ ย่อมไม่เปล่งออกภายนอก. แต่ของเทพทั้งหลาย ย่อมเปล่งไปแม้ไกล.
ส่วนแสงสว่างสรีระแห่งอิตถีรัตนะนั้น ย่อมยังประเทศประมาณสิบสองศอกให้
สว่างได้. ก็ในบรรดาสมบัติมีไม่สูงนักเป็นต้น ของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว
อาโรหสมบัติ ด้วยคู่ที่หนึ่ง กล่าวปริณาหสมบัติ ด้วยคู่ที่สอง กล่าววรรณ-
สมบัติด้วยคู่ที่สาม กล่าวความที่กายวิบัติด้วยกายวิบัติด้วยอาการหกประการนั่น.
กล่าวกายสมบัติด้วยบทนี้ว่า อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณํ. บทว่า ตูลปิจุโน วา
กปฺปาสปิจุโน วา ความว่า ดุจปุยนุ่น หรือ ปุยฝ้าย แห่งกายสัมผัส ซึ่ง
เอาไปวางไว้บนก้อนเนยใส แล้วแยกออกเจ็ดส่วน. บทว่า สีเต ความว่า
อบอุ่น ในการที่พระราชาเย็น. บทว่า อุณฺเห ความว่า เย็น ในเวลาที่
พระราชาร้อน. บทว่า จนฺทนคนฺโธ ความว่า กลิ่นจันทน์แดงอันประกอบด้วย
ชาติสี่ชนิด ยังใหม่บดละเอียดดีตลอดกาล ย่อมระเหยออกจากกาย. บทว่า
อุปฺปลคนฺโธ ความว่า กลิ่นหอมอย่างยิ่งแห่งนีลุบล ซึ่งบานแย้มขณะนั้น
ย่อมพุ่งออกจากปากในเวลาไอหรือพูด. ก็เพื่อทรงแสดงอาจาระ อันสมควร
แห่งสรีรสมบัติ ประกอบด้วยสัมผัสสมบัติและคันธสมบัติอย่างนี้ จึงตรัสว่า ตํ
โข ปน เป็นต้น. ในอาจาระนั้น อิตถีรัตนะเห็นพระราชาแล้วลุกขึ้นก่อนทีเดียว
จากอาสนะที่นั่ง เหมือนคนถูกไฟไหม้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปุพฺพุฏฺฐายิน
ครั้นพระราชานั้นประทับนั่งแล้ว อิตถีรัตนะกระทำกิจมีพัดด้วยใบตาลเป็นต้น

515
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 516 (เล่ม 13)

แก่พระราชานั้น แล้วจึงพัก คือนั่งที่หลัง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัจฉานิ-
ปาตินี. อิตถีรัตนะย่อมขวนขวายกิจอันพึงทำด้วยวาจาว่า ข้าแต่เทวะ หม่อม
ฉันจะทำอะไรแก่พระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กึการปฏิสาวีนี. อิตถีรัตนะ
ย่อมพระพฤติ ย่อมกระทำสิ่งที่พอพระราชหฤทัย ของพระราชาเท่านั้น เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า มนาปจารินี. อิตถีรัตนะ ย่อมกล่าวคำที่น่ารักแก่พระราชา
เท่านั้น เพราะฉะนั้น. จึงชื่อว่า ปิยวาทินี. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ตํ โข ปน เป็นต้น เพื่อทรงแสดงว่า อาจาระของอิตถีรัตนะนี้นั้น บริสุทธิ์ถ่าย
เดียว โดยไม่มีสาไถยะเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน อติจารี ความว่า
ไม่ประพฤติล่วงเกิน. ท่านกล่าวว่า อิตถีรัตนะไม่ปรารถนาชายอื่น แม้ด้วยจิต
นอกจากพระราชา. ในบทนั้น อาจาระเหล่าใดของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว
ว่า อภิรูปา เป็นต้น ในเบื้องต้น และกล่าวว่า ปุพพุฏฐายินีในที่สุด อาจาระ
เหล่านั้น เป็นคุณโดยปกติเท่านั้นเอง. ก็สมบัติเป็นต้นว่า อติกฺกนฺตา มา-
นุสวณฺณํ พึงทราบว่า บังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอานุภาพกรรมเก่า ตั้งแต่
จักรรัตนะปรากฏขึ้น เพราะอาศัยบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ. หรือ สมบัติว่า
อภิรูปตา เป็นต้น เกิดบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ตั้งแต่จักรรัตนะปรากฏแล้ว.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เอวรูปํ อิตฺถีรตนํ ปาตุรโหสิ
ดังนี้.
ก็คหบดีรัตนะ เพื่อให้กิจทั้งหลายที่พึงกระทำด้วยทรัพย์ เป็นไปโดย
สะดวก ย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอิตถีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้.
คหบดีนั้น โดยปกติมีโภคะมากเกิดในตระกูลมีโภคะมาก เจริญด้วยกองทรัพย์
ของพระราชา เป็นเศรษฐีคหบดี. ก็ทิพยจักษุอันเป็นเหตุเห็นขุมทรัพย์ภายใน
หนึ่งโยชน์แม้ในภายในปฐพี ซึ่งเกิดแต่ผลกรรม สงเคราะห์ด้วยอานุภาพ
จักรรัตนะ ย่อมปรากฏแก่คหบดีรัตนะนั้น คหบดีรัตนะนั้น เห็นสมบัตินั้น

516
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 517 (เล่ม 13)

แล้ว ดีใจ ไปปวารณาพระราชาด้วยทรัพย์ รับทำกิจทั้งหลาย ที่จะพึงทำด้วย
ทรัพย์ทั้งหมดให้สำเร็จ. คหบดีรัตนะแม้ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ก็
ยังกิจอันพึงทำทรัพย์ให้สำเร็จอย่างนั้น เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุน จปรํ อานนฺท ฯ เป ฯ เอวรูปํ คหปติรตนํ
ปาตุรโหสิ ดังนี้.
ก็ปริณายกรัตนะ ซึ่งสามารถจัดแจงสรรพกิจ ย่อมปรากฏแก่พระเจ้า-
จักรพรรดิผู้มีคหบดีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้. ปริณายกรัตนะนั้น เป็น
พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชานั่นเทียว. โดยปกติทีเดียว ปริณายกรัตนะ
นั้นเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญาอาศัยบุญญานุภาพของพระราชา ย่อม
เข้าถึงญาณรู้จิตของบุคคลอื่นด้วยอานุภาพแห่งกรรมของตน ซึ่งเป็นเหตุให้รู้
วาระจิตแห่งบริษัท ประมาณสิบสองโยชน์ สามารถกำหนดรู้หิตะประโยชน์
และอหิตะประโยชน์ แก่พระราชาได้. ปริณายกรัตนะแม้นั้น เห็นอานุภาพของ
ตนนั้น ดีใจปวารณาพระราชาด้วยการบริหารกิจทั้งหมด. ปริณายกรัตนะ
ปวารณาแม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุนจปรํ อานนฺสท ฯ เป ฯ ปริณายกรตนํ
ปาตุรโหสิ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํ ความว่า
เพื่อตั้งให้ดำรงในฐานันดรนั้น ๆ.
บทว่า สมเวปากินิยา ความว่า อันเกิดแต่ผลกรรมอันสม่ำเสมอ.
บทว่า คหณิยา ความว่า ด้วยเตโชธาตอันเกิดแก่กรรม. ในบทนี้ อาหาร
สักว่า เสวยแล้วของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ย่อมย่อย ก็หรือย่อมตั้งอยู่
อย่างนั้นเหมือนภัต ที่เสวย ถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ
แม้ทั้งสองนั้น. ก็ความพอพระราชหฤทัยในพระกระยาหารในกาลแห่งภัต ย่อม
บังเกิดขึ้นแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิใด พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ-
ราชนี้ ทรงถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ ดังนี้.

517
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 518 (เล่ม 13)

บทว่า มาเปสิโข ความว่า ทรงให้ตีกลองประกาศในพระนคร
ทรงให้ฝูงชนกระทำการสร้าง. ก็สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ แห่งก็ผุดขึ้นพร้อมกับ
ความเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริ ของพระราชา. บทว่า มาเปสิโข นั่น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงสระโบกขรณีเหล่านั้น. บทว่า ทฺวีหิ เวทิกาหิ
ความว่า ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่งในที่สุดแห่งอิฐทั้งหลาย ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่ง
ในที่สุดกำหนดบริเวณ.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ได้มีแล้วเพราะอะไร.
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง มหาบุรุษมองดูมหาชนไปอาบ และดื่ม คิดว่า
ชนเหล่านั้น ย่อมไปด้วยเพศคนบ้า ถ้าพึงมีดอกไม้ประดับในสระนั่นแก่ชน
เหล่านั้น ก็จะเป็นการดี ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดินั้น ได้มี
พระราชดำริ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺโพตุกํ ความว่า พระเจ้า
มหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงดำริว่า ธรรมดาดอกไม้ย่อมบานในฤดูเดียวเท่านั้น
ก็เราจักทำโดยประการที่ดอกไม้จักบาน ในทุกฤดู. บทว่า โรปาเปสิ
ความว่า ทรงให้นำพืชอุบลนานาชนิดเป็นต้น จากที่นั้น ๆ ทรงให้ปลูก.
ดอกไม้ทั้งหมด ก็สำเร็จพร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริของพระเจ้ามหา
สุทัสสนจักรพรรดินั้น. ชาวโลกเข้าใจว่า ดอกไม้นั้นพระราชาทรงให้ปลูก.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า โรปาเปสิ ดังนี้. ตั้งแต่นั้นมา
มหาชนได้ประดับดอกไม้ที่เกิดจากน้ำและเกิดจากบนบกนานับประการไป
เหมือนเล่นนักขัตฤกษ์ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระราชาทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำชนให้ถึงพร้อมด้วย
ความสุขยิ่งกว่านั้น จึงทรงคิดจัดหาความสุขแก่ชนด้วยบทว่า ยนฺนูนาหํ
อิมาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร เป็นต้น แล้วทรงกระทำกิจทั้งปวง. ในบรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า นฺหาเปสุํ ความว่า คนอื่นชำระร่างกาย คนอื่นประกอบ

518
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 519 (เล่ม 13)

จุณทั้งหลาย คนอื่นนำน้ำมาให้แก่ผู้อาบน้ำที่ขอบสระโบกขรณี คนอื่นรับผ้า
และให้ผ้า. บทว่า ปฏฺฐเปสิ ความว่า ทรงตั้งอย่างไร. ทรงตั้งพนักงาน
ประดับประดาอันสมควรแก่สตรี และบุรุษทั้งหลาย ทรงตั้งเพียงสตรีเท่านั้น
ด้วยสามารถบำเรอในที่นั้น ๆ ทรงตั้งกิจทั้งหมดที่เหลือด้วยสามารถการบริจาค
ทรงให้ตีกลองประกาศว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงถวายทาน ท่าน
ทั้งหลายจงบริโภคทานนั้น.
มหาชนมาสู่ขอบสระโบกขรณีอาบน้ำ เปลี่ยนผ้า ลูบไล้ด้วยของหอม
ต่าง ๆ ประดับประดาอันวิจิตร ไปโรงทาน กินและดื่มสิ่งที่ต้องการในบรรดา
ยาคู ภัต และขบเคี้ยวหลายประการ และเครื่องดื่ม ๘ อย่าง นุ่งห่มผ้าฝ้าย
อันละเอียดอ่อน มีสีต่าง ๆ เสวยสมบัติละบุคคลผู้มีของเช่นนั้นไป. คนที่
ไม่มีของเช่นนั้น ถือเอาแล้วจากไป. บุคคลที่นั่งในช้าง ม้า และยานเป็นต้น
เที่ยวไปนิดหน่อย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็ถือเอาไป. บุคคลที่นอนแม้
ในที่นอนอันประเสริฐ เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับไป.
ผู้ที่เสวยสมบัติกับสตรีทั้งหลาย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับเอาไป.
ผู้ประดับประดาเครื่องรัตนะเจ็ดชนิด เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป
ต้องการก็รับเอาไป. ทานแม้นั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงลุกขึ้นแล้ว
ก็ทรงถวาย. การงานอย่างอื่นของชาวชมพูทวีปทั้งหลายไม่มี. ชาวชมพูทวีป
เที่ยวบริโภคทานของพระราชาเท่านั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีทั้งหลายคิดว่า พระราชานี้ แม้เมื่อจะ
ถวายทานปานนี้ ก็ไม่ทรงให้นำอะไรมาว่า ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารเป็นต้น
หรือให้น้ำนมเป็นต้นแก่เรา ก็ข้อนั้นไม่สมควรที่จะนิ่งดูดายว่า พระราชาของ
พวกเรา ไม่ทรงให้นำมา. พราหมณ์คหบดีเหล่านั้น ก็รวบรวมทรัพย์สมบัติ
จำนวนมากนำไปทูลถวายแด่พระราชา. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า อถโข อานนฺท พฺราหฺมณคหปติกา ดังนี้เป็นต้น.

519
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 520 (เล่ม 13)

บทว่า เอวํ สมจินฺเตสุํ ความว่า คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ เพราะ
เหตุอะไร. เพราะพราหมณ์คหบดีทั้งหลาย คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ว่า บางคนนำ
ทรัพย์สมบัติจากเรือนน้อย บางคนนำมามาก เมื่อทรัพย์สมบัติกำลังรวบรวม
แม้เสียงอึกกระทึกก็จะพึงเกิดขึ้นว่า ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือน
ดี เรานำมาจากเรือนไม่ดี ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือนมาก
เราไม่มาก ดังนี้ เสียงอึกกระทึกนั้น อย่าพึงเกิดขึ้นเลย.
บทว่า เอหิ ตฺวํ สมฺม ความว่า ดูก่อนผู้มียศ ท่านจงมา. บทว่า
ธมฺมํ นาม ปาสาทํ ความว่า ยกขึ้นแล้วทรงตั้งชื่อ ปราสาท. ก็วิศว-
กรรมเทวบุตรรับทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ปราสาทจะใหญ่เท่าไร ครั้น
ตรัสว่า ปราสาทนั้น ยาวหนึ่งโยชน์ กว้างครึ่งโยชน์ สร้างด้วยรัตนะทั้งปวง
ทูลรับพระดำรัสพระราชาว่า จงสำเร็จดังนั้น พระดำรัสของพระองค์ดี ลำดับ
นั้นทูลให้ พระ.ธรรมราชาทรงรับทราบแล้ว ก็สร้าง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ภทฺทํ ตวาติ โข อานนฺท ความว่า
ดูก่อนพระอานนท์ (วิศวกรรม เทพบุตร ทูลรับสนอง) ว่า พระดำรัสของ
พระองค์อย่างนี้ดี. บทว่า ปฏิสฺสุณิตฺวา ความว่า รับทราบแล้ว คือ
กราบทูลแล้ว. บทว่า ตุณฺหีภาเวน ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
ทรงปรารถนาว่า เราจักมีโอกาสกระทำการปฏิบัติสมณธรรม ทรงรับด้วยการ
ทรงนิ่ง.
บทว่า สารมโย ความว่า สำเร็จด้วยแก่นจันทร์. ในบทว่า ทฺวีหิ
เวทิกาหิ นั่น เวทีหนึ่งมีในยอดอุณหิส เวทีหนึ่งมีในที่สุดกำหนดภายใต้.
บทว่า ทุกฺทิกฺโข โหติ ความว่า เห็นได้ยาก คือ เห็นได้ลำบาก เพราะ
สมบัติแห่งแสงสว่าง. บทว่า มุสติ คือ นำไป ให้สำเร็จ คือ ไม่ให้เพื่อ
ตั้งอยู่ โดยสภาพเป็นนิตย์ บทว่า อุปวิทฺเธ ความว่า มั่นคง คือ อยู่ไกล

520
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 521 (เล่ม 13)

เพราะปราศจากเมฆ. บทว่า เทเว ความว่า ในอากาศ. บทว่า มาเปสิ โข
ความว่า วิศวกรรมเทพบุตรไม่กระทำอย่างนี้ว่า เราจะสร้างสระโบกขรณีในที่นี้
ท่านทั้งหลายจงทำลายบ้านเรือนของท่าน ดังนี้แล้ว สร้าง. ก็สระโบกขรณี
เห็นปานนั้น ได้ผุดขึ้นแล้วด้วยสามารถแห่งจิตตุปปาทของพระเจ้ามหาสุทัสสน
จักรพรรดินั้น. บทว่า เต สพฺพกาเมหิ ความว่า ทรงเลี้ยงสมณะทั้งหลาย
ด้วยวัตถุที่ต้องการทั้งปวง คือ ด้วยสมณบริขาร ทรงเลี้ยงพราหมณ์ทั้งหลาย
ด้วยพราหมณบริขาร.
จบ ปฐมภาณวารวรรณนา
บทว่า มหิทฺธิโก ความว่า ทรงถึงพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์มาก กล่าว
คือ ความสำเร็จแห่งสระโบกขรณีจำนวน ๘๔,๐๐๐ สระ ด้วยอำนาจแห่งจิต-
ตุบบาทเท่านั้น. บทว่า มหานุภาโว ความว่าถึงพร้อมด้วยอานุภาพใหญ่
เพราะความที่กรรมอันพึงเสวยเหล่านั้น มีมาก. บทว่า เสยฺยถีทํ ความว่า
เป็นนิบาต. อรรถแห่งนิบาตนั้นว่า กรรม ๓ ประการ เป็นไฉน. บทว่า
ทานสฺส ได้แก่ บริจาคสมบัติ. บทว่า ทมสฺส ความว่า ปัญญามาว่า
ทมะ ในอาฬวกสูตร. ในบทนี้ เราฝึกตนเอง รักษาอุโบสถกรรม. บทว่า
สญฺญมสฺส ได้เเก่ศีล. ก็พึงทราบบุรพโยค ของพระราชาที่ดำรงอยู่ในศีลนี้
นั้น.
ได้ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาทรงสมภพในตระกูลคหบดี. ก็โดย
สมัยนั้น พระเถระรูปหนึ่งในพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ทรงพระชนม์
อยู่ จำพรรษาในป่า. พระโพธิสัตว์เข้าป่าด้วยการงานของตน เห็นพระเถระ
แล้ว เข้าไปเฝ้า ไหว้แล้ว แลดูที่นั่งและที่จงกรมเป็นต้น ของพระเถระ จึง
ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นั้นหรือ. ได้ฟังว่า อย่างนั่น

521