No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 482 (เล่ม 13)

คือ เวทีชั้นหนึ่งเป็น. ชั้นหนึ่งเป็นเงิน. เวทีทองได้มีแม่บันไดเป็นทอง
ลูกพนักเป็นเงิน. เวทีเงินมีแม่บันไดเป็นเงิน ลูกและพนักเป็นทอง. อานนท์
ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงให้ปลูก
ดอกไม้เห็นปานนี้ คือ อุบล ปทุม โกมุท บุณฑริก. อันผลิดอกในทุกฤดู
ไม่ให้ชนทั้งหมดที่มาแล้วกลับไปมือเปล่า ที่สระโบกขรณีเหล่านี้. อานนท์
พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงให้ปลูกดอกไม้เห็นปานนี้คือ อุบล ปทุมโกมุท ปุณฑริก
อันผลิดอกในทุกฤดู ไม่ให้ชนทั้งหมด มีมือเปล่ากลับไปที่สระโบกขรณี
เหล่านั้น. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงพระดำริว่า ถ้า
กระไร เราพึงวางคนสำหรับเชิญคนให้อาบน้ำที่ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านี้ จะได้
เชิญคนผู้มาแล้ว ๆ ให้อาบ. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ จึงทรงวางคน
สำหรับเชิญคนให้อาบน้ำที่ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น สำหรับเชิญคนผู้มาแล้ว ๆ
ให้อาบ. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงดำริว่า ถ้ากระไร
เราพึงตั้งโรงทานเห็นปานนี้ คือ ข้าวสำหรับผู้ต้องการข้าว น้ำสำหรับผู้ต้อง
การน้ำ ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า ยานสำหรับผู้ต้องการยาน ที่นอนสำหรับผู้
ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงินสำหรับผู้ต้องการเงิน และ
ทองสำหรับผู้ต้องการทองใกล้ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น. อานนท์ พระเจ้ามหา
สุทัสสนะ ได้ทรงตั้งโรงทานเห็นปานนั้นคือ ข้าวสำหรับผู้ต้องการข้าว น้ำ
สำหรับผู้ต้องการน้ำ ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า ยานสำหร้บผู้ต้องการยาน ที่นอน
สำหรับผู้ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงินสำหรับผู้ต้องการเงิน
และทองสำหรับผู้ต้องการทอง ใกล้ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น.
[๑๗๖] อานนท์ ครั้งนั้นแล พวกพราหมณ์ และคฤหบดี นำเอา
ทรัพย์จำนวนมาก เข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า
ขอเดชะ ทรัพย์จำนวนมากนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าเจาะจงนำมาถวายแด่พระ

482
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 483 (เล่ม 13)

องค์ผู้เดียว ขอพระองค์ทรงรับเอาทรัพย์นั้นไว้เถิด. พระเจ้าสุทัสสนะตรัสตอบ
ว่า อย่าเลยท่าน สมบัติของฉันนี้ ที่เก็บภาษีอย่างเป็นธรรมมามากพอแล้ว
ทรัพย์นั้นจงเป็นของพวกท่านเถิด และขอให้พวกท่านช่วยนำเอาออกจากนี้
คนละมาก ๆ ไปด้วย. พวกเขาถูกพระราชาทรงปฏิเสธแล้ว ก็พากันหลีกไป
หาที่ส่วนหนึ่ง ปรึกษากันอย่างนี้ว่า การที่พวกเราขนเอาสมบัติเหล่านั้นกลับ
ไปเรือนของตนอีกครั้งหนึ่งแบบนี้ ไม่เหมาะแก่พวกเราเลย เอาอย่างนี้เถิด
คือพวกเราช่วยกันสร้าง พระราชวังถวายพระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด. แล้วพวก
นั้นก็เข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พวกข้าพระ-
พุทธเจ้าต้องให้สร้างพระราชวังถวายแด่พระองค์. อานนท์ พระเจ้ามหา
สุทัสสนะ ทรงรับด้วยความนิ่งแล้วแล.
เรื่องท้าวสักกะให้สร้างปราสาทประทับ
[๑๗๗] อานนท์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะ จอมทวยเทพ ทรงทราบ
ความดำริในพระหฤทัยของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ด้วยพระหฤทัย แล้วทรง
เรียกวิศวกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า เออ นี่ วิศวกรรมจงมา เธอจงไปสร้าง
พระราชวัง ชื่อ ธรรมปราสาท ถวายแด่พระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด อานนท์
วิศวกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาของท้าวสักกะจอมทวยเทพว่า อย่างนั้น ขอ
ความเจริญจงมีแด่พระองค์เถิด แล้วก็หายจากหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏ
เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ รวดเร็วเหมือนคนมีกำลังเหยียด
แขนที่คู้เข้าออก หรือคู้แขนเหยียดออกเข้าฉะนั้น. อานนท์ ทีนั้น วิศวกรรม
เทพบุตร ได้กราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
จักสร้างพระราชวังชื่อธรรมปราสาทแด่พระองค์. อานนท์ พระเจ้ามหา-
สุทัสสนะทรงรับด้วยการนิ่งแล้วแล. อานนท์ วิศวกรรมเทพบุตร สร้าง

483
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 484 (เล่ม 13)

ธรรมปราสาทถวายแด่พระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว. อานนท์ ธรรมปราสาทยาว
ไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก หนึ่งโยชน์ กว้างไปทางทิศเหนือ และ
ทิศใต้ กึ่งโยชน์. อานนท์ วัสดุที่เอามาก่อสร้างธรรมปราสาทสูงกว่า ๓ ชั่วคน
ด้วยอิฐ ๔ ชนิด คือเป็นอิฐทองพวกหนึ่ง อิฐเงินพวกหนึ่ง อิฐไพฑูรย์พวก
หนึ่ง อิฐผลึกพวกหนึ่ง. อานนท์ ธรรมปราสาทมีเสา ๘๔,๐๐๐ ต้น แบ่ง
เป็น ๔ ชนิด คือ เป็นเสาทองชนิดหนึ่ง เสาเงินชนิดหนึ่ง เสาไพฑูรย์ชนิด
หนึ่ง เสาผลึกชนิดหนึ่ง. อานนท์ ธรรมปราสาทปูกระดาน ๔ สี คือ กระดาน
ทองสีหนึ่ง กระดานเงินสีหนึ่ง กระดานไพฑูรย์หนึ่ง กระดานผลึกสีหนึ่ง.
อานนท์ ธรรมปราสาทมี ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด คือบันไดทองหนึ่ง
บันไดเงินหนึ่ง บันไดไพฑูรย์หนึ่ง บันไดผลึกหนึ่ง. สำหรับบันไดทองมีแม่
บันไดสำเร็จไปด้วยทอง ลูกบันได และพนัก แล้วไปด้วยเงิน. บันไดเงินมี
แม่บันไดเป็นเงิน ขั้นและพนักบันไดเป็นทอง. บันไดไพฑูรย์มีแม่บันไดล้วน
แล้วไปด้วยไพฑูรย์ ขั้นและพนักบันไดเป็นผลึก. บันไดผลึกมีแม่บันไดเป็น
ผลึก ขั้นและพนักบันไดล้วนแล้วไปด้วยไพฑูรย์. อานนท์ ในธรรมปราสาท
มีเรือนยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด แบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ ยอดหนึ่งเป็นทอง ยอด
หนึ่งเป็นเงิน ยอดหนึ่งเป็นไพฑูรย์ ยอดหนึ่งเป็นผลึก. ที่เรือนยอดทอง
ตั้งบัลลังก์เงินไว้. บัลลังก์ทอง ตั้งไว้ที่เรือนยอดเงิน. ที่เรือนยอดไพฑูรย์
ตั้งบัลลังก์งาช้างไว้. บัลลังก์บุษราคำ ตั้งไว้ที่เรือนยอดผลึก. ใกล้ประตูเรือน
ยอดทอง ประดิษฐานตาลเงินไว้ ลำต้นแล้วไปด้วยเงิน ใบและผลเป็นทอง.
ใกล้ประตูเรือนยอดเงิน ประดิษฐานตาลทองไว้ลำต้นแล้วไปด้วยทอง ใบและ
ผลเป็นเงิน. ใกล้ประตูเรือนยอดไพฑูรย์ ประดิษฐานตาลผลึกไว้ ลำต้นแล้ว
ไปด้วยผลึก ใบและผลเป็นไพฑูรย์. ใกล้ประตูเรือนยอดผลึก ประดิษฐาน
ตาลไพฑูรย์ไว้ ลำต้นล้วนแล้วไปด้วยไพฑูรย์ ใบและผลเป็นผลึก.

484
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 485 (เล่ม 13)

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมปราสาท
[๑๗๘] อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระดำริ
อย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงให้สร้างป่าตาลที่แล้วไปด้วยทองทั้งหมด ใกล้
ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ที่เรานั่งพักผ่อนตอนกลางวัน. อานนท์
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงให้สร้างป่าตาลที่แล้วไปด้วยทองทั้งหมด ใกล้ประตู
เรือนยอดหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ประทับนั่งพักผ่อนตอนกลางวันแล้ว.
อานนท์ ธรรมปราสาทแวดล้อมไปด้วยไพทีสองชั้น คือชั้นหนึ่งแล้วไปด้วย
ทอง อีกชั้นหนึ่ง แล้วไปด้วยเงิน. แม่บันไดของไพทีที่แล้วไปด้วยทอง
ก็สำเร็จไปด้วยทอง ขั้นและพนักสำเร็จไปด้วยเงิน. แม่บันไดของไพทีที่แล้วไป
ด้วยเงิน ก็สำเร็จไปด้วยเงิน ขั้นและพนักเอาทองมาทำ. อานนท์ ธรรมปราสาท
แวดล้อมไปด้วยข่าย ลูกกระพรวนสองข่าย คือข่ายหนึ่งเป็นข่ายทอง อีกข่าย
หนึ่งเป็นข่ายเงิน. ข่ายทอง แขวนกระดึงเงิน. ข่ายเงิน แขวนกระดึงทอง.
อานนท์ เมื่อข่ายกระดึง เหล่านั้นแล ถูกลมพัด ก็มีเสียงไพเราะน่าใคร่
ทำให้คึกคักและน่าหลงใหลด้วย. อานนท์ เสียงดนตรีมีองค์ ๕ ที่นักดนตรี
ผู้ฉลาดปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงดีแล้ว เป็นเสียงไพเราะน่าใคร่
ทำให้คึกคัก และชักให้หลงใหล แม้ฉันใด อานนท์ เมื่อข่ายกระดึง เหล่า
นั้นแลถูกลมพัด ก็มีเสียงไพเราะน่าใคร่ ทำให้คึกคักและชักให้หลงใหล
ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ก็ส่วนพวกนักเลง นักเล่น พวกนักดื่มคอเหล้า
แห่งกรุงกุสาวดี สมัยนั้น ต่างพากันคลอเสียงตามเสียงข่ายกระดึง ที่ถูกลมพัด
เหล่านั้น. อานนท์ ธรรมปราสาทที่สร้างแล้วนั่นแล เพ่งดูไม่ได้ ทำให้
ตาพร่า. เหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่นภาบนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆฝน
บริสุทธิ์ ส่องจ้าในสรทสมัยเดือนท้ายฤดูฝน เพ่งดูไม่ได้ทำให้ตาพร่า ฉันใด
ธรรมปราสาทก็ฉะนั้นเหมือนกัน ยากที่จะดู ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพราย.

485
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 486 (เล่ม 13)

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมาโบกขรณี
อานนท์ ต่อมา พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ
เราจะพึงให้สร้างสระชื่อธรรมาโบกขรณี ข้างหน้าธรรมปราสาท. อานนท์
แล้วก็พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงให้สร้างสระชื่อธรรมาโบกขรณีไว้ข้างหน้า
ธรรมปราสาท. อานนท์ ธรรมาโบกขรณี ยาวไปทางทิศตะวันออก และ
ตะวันตกหนึ่งโยชน์ กว้างไปทางทิศเหนือ และทิศใต้กึ่งโยชน์. อานนท์
ธรรมาโบกขรณีใช้อิฐสี่ชนิดก่อ คือ อิฐชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยทอง ชนิดหนึ่ง
แล้วไปด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยผลึก.
อานนท์ ก็แล ธรรมาโบกขรณี มี ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด บันไดชนิด
หนึ่งแล้วไปด้วยทอง. บันไดชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยเงิน. บันไดชนิดหนึ่งแล้ว
ไปด้วยไพฑูรย์. บันไดชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยผลึก. บันไดทองเอาทองมาทำ
เป็นแม่บันได ลูกและพนักบันไดเป็นเงิน. บันไดเงิน เอาเงินมาทำเป็นแม่
บันได ลูกและพนักบันไดเป็นทอง. บันไดไพฑูรย์ เอาไพฑูรย์มาทำเป็นแม่
บันได ลูกและพนักบันไดเป็นผลึก. บันไดผลึก เอาผลึกมาทำเป็นแม่บันได
ลูกและพนักบันไดเป็นไพฑูรย์. อานนท์ ธรรมาโบกขรณีมีไพที่ล้อมสองชั้น
คือ ไพทีทองหนึ่ง ไพทีเงินหนึ่ง. ไพทีทองเอาทองมาทำเป็นแม่บันได ลูก
และพนักบันไดเป็นเงิน. ไพทีเงินเอาเงินมาทำเป็นแม่บันได ลูกและพนัก
เป็นทอง. อานนท์ ธรรมาโบกขรณี มีแถวตาลล้อมไว้ ๗ แถว คือ แถวตาล
ทอง ๑ แถวตาลเงิน ๑ แถวตาลไพฑูรย์ ๑ แถวตาลผลึก ๑ แถวตาลทับทิม ๑
แถวตาลบุษราคัม ๑ แถวตาลผสมแก้วทุกชนิด ๑. ตาลทองมีลำต้นเป็นทอง
ใบและผลเป็นเงิน. ตาลเงินมีลำต้นเป็นเงินใบและผลเป็นทอง. ตาลไพฑูรย์
มีลำต้นเป็นไพฑูรย์ใบและผลเป็นผลึก. ตาลผลึกมีลำต้นเป็นผลึกใบและผล
เป็นไพฑูรย์. ตาลทับทิมมีลำต้นเป็นโกเมนใบและผลเป็นบุษราคัม. ตาล

486
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 487 (เล่ม 13)

บุษราคัมมีลำต้นเป็นบุษราคัมใบและผลเป็นโกเมน. ทับทิมตาลผสมแก้วทุก
ชนิด เอาแก้วทุกชนิดมาทำเป็นลำต้นใบและผลก็ผสมแก้วทุกชนิด. อานนท์
ก็แล เมื่อแถวตาลเหล่านั้นถูกลมพัดก็มีเสียงไพเราะ น่าใคร่ ทำให้ใจคึกคัก
และชักให้หลงใหล. เหมือนกับเสียงดนตรีมีองค์ ๕ ที่นักดนตรีผู้ชำนาญปรับ
ดีแล้ว ประโคมแล้ว บรรเลงดีแล้ว เป็นเสียงที่ไพเราะ น่าใคร่ ทำให้ใจคึกคัก
และชักให้หลงใหลแม้ฉันใด ดูก่อนอานนท์ เสียงแห่งแถวต้นตาลเหล่านั้น
ต้องลมพัดก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ส่วนพวกนักเลง นักเล่น นักดื่ม แห่งกรุง
กุสาวดีสมัยนั้น ต่างก็พากันคลอเสียงตามเสียงแถวตาลที่ถูกลมพัด. อานนท์
ก็แหละ ครั้นเมื่อเสร็จธรรมปราสาท และธรรมาโบกขรณีแล้ว พระเจ้ามหา-
สุทัสสนะ ก็โปรดให้เลี้ยงดูพวกสมณะที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นสมณะ หรือพวก
พราหมณ์ที่ยอมรับกันว่าเป็นพราหมณ์ในสมัยนั้นให้อิ่มหนำสำราญด้วยของน่า
ใคร่ทุกชนิด เสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาท ด้วยประการฉะนี้.
จบ ภาณวารที่หนึ่ง
การเข้าปฐมฌานเป็นต้น
[๑๗๙] อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริ
อย่างนี้ว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไรของเราหนอ เป็นวิบากของกรรมอะไรที่
เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์อย่างนี้ มีอานุภาพใหญ่อย่างนี้ ในบัดนี้. อานนท์ ครั้งนั้น
แล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า นี้เป็นผลของกรรม
สามอย่างของเรา เป็นวิบากของกรรมสามอย่างที่เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์ใหญ่
อย่างนี้ มีอานุภาพใหญ่อย่างนี้ในบัดนี้ คือเป็นผลเป็นวิบากแห่งทาน ทมะ
สัญญมะ อานนท์ ที่นั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จเข้าเรือนยอดหลังใหญ่
แล้วประทับยืนที่ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ ทรงเปล่งพระอุทานว่า หยุดกาม

487
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 488 (เล่ม 13)

วิตก หยุดพยาบาทวิตก หยุดวิหิงสาวิตก เท่านี้พอละ กามวิตก เท่านี้พอละ
พยาบาทวิตก เท่านี้พอละ วิหิงสาวิตก. อานนท์ ทีนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
เสด็จเข้าสู่เรือนยอดหลังใหญ่ ประทับบนบัลลังก์ที่แล้วไปด้วยทองทรงสงัดจาก
กาม สงัดจากอกุศลธรรม ทรงเข้าถึงฌาน ที่ ๑ ซึ่งมีวิตก มีวิจาร มีปีติและ
สุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เพราะระงับวิตก วิจาร จึงทรงเข้าถึงฌานที่ ๒ ซึ่งมีความ
ผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและ
สุขที่เกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะคลายปีติเสียได้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสัม-
ปชัญญะ เสวยความสุขทางกาย เข้าถึงฌานที่ ๓ ที่พวกอาจารย์ต่างพูดว่า
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีปรกติอยู่เป็นสุขอยู่ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะ
ดับโสมนัสและโทมนัสก่อน ๆ จึงเข้าถึงฌานที่ ๔ ที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มี
อุเบกขาและสติบริสุทธิ์อยู่.
การเจริญพรหมวิหาร
[๑๘๐] อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จออกจาก
เรือนยอดหลังใหญ่แล้วทรงเข้าสู่เรือนยอดที่แล้วไปด้วยทอง ประทับบนบัลลังก์
ที่แล้วไปด้วยเงิน ทรงแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยเมตตา
แล้วอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น. ด้วย
ประการฉะนี้ ทรงแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ทุกหนทุกแห่ง
จนสิ้นหมดทั้งโลก ด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยเมตตา อันไพบูลย์ถึงความ
เป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทอยู่ ด้วยพระหฤทัยที่สหรคต
ด้วยกรุณา. ด้วยพระหฤทัยสหรคตด้วยมุทิตา. ทรงแผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง ด้วย
พระหฤทัยที่สหรคตด้วยอุเบกขาอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น
ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ ทรงแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง

488
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 489 (เล่ม 13)

ทุกหนทุกแห่งจบสิ้นหมดทั้งโลก ด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์
ถึงความเป็นใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทอยู่.
[๑๘๑] อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระนคร ๘๔,๐๐๐ แห่ง
มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข มีปราสาท ๘๔,๐๐๐ องค์ มีธรรมปราสาทเป็น
ประมุข มีเรือนยอด ๘๔,๐๐๐ หลัง มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข มีบัลลังก์
๘๔,๐๐๐ ที่ เป็นบัลลังก์แล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงาช้าง แล้ว
ด้วยบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักลวดลาย
ลาดด้วยหนังกวาง อย่างดี มีพนักสูงมีนวมแดงสองข้าง มีช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก
มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีพญาช้างอุโบสถเป็น
ประมุข มีม้า ๘๔,๐๐๐ ตัว มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่าย
ทอง มีพญาม้าวลาหกเป็นประมุข มีรถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์
หุ้มด้วยหนังเสือโคร่ง หุ้มด้วยหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีเหลือง มี
เครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์เป็นประมุข
มีมณี ๘๔,๐๐๐ ดวง มีแก้วมณีเป็นประมุข มีสตรี ๘๔,๐๐๐ นาง มีพระนาง
สุภัททาเทวีเป็นประมุข มีคหบดี ๘๔,๐๐๐ คน มีคหบดีแก้วประมุข มีกษัตริย์
ผู้สวามิภักดิ์ ๘๔,๐๐๐ องค์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุข มีแม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว
กำลังให้นม กำลังเอาถาดทองสัมฤทธิ์รองรับ มีผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับ เป็น
ผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างดี และผ้าขนสัตว์อย่างดี.
อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระกระยาหารเต็มภาชนะ ๘๔,๐๐๐ สำรับ
มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น.

489
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 490 (เล่ม 13)

กถาว่าด้วยพระนางสุภัททาเทวี
[๑๘๒] อานนท์ ก็สมัยนั้นแล ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มาสู่ที่เฝ้าพระ-
เจ้ามหาทัสสนะ ทุกเช้า ทุกเย็น. อานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรง
มีพระดำริอย่างนี้ว่า พวกช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกเหล่านี้แล มาสู่ที่เฝ้าเราทั้งเช้า
เย็น ถ้าไฉน ช้าง ๔๒,๐๐๐ เชือกพึงมาสู่ที่เฝ้าโดยล่วงไปร้อยปี ต่อครั้ง.
อานนท์ ทีนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะรับสั่งเรียกปริณายกแก้ว มาตรัสสั่งว่า ดู
ก่อน ปริณายกแก้ว พวกช้าง ตั้ง ๘๔,๐๐๐ เชือกเหล่านี้ มาสู่ที่เฝ้าเราทั้งเช้า
และเย็น อย่ากระนั้นเลย ช้างเพียง ๔๒,๐๐๐ เชือกจงมาสู่ที่เฝ้าแต่ละครั้งโดย
ล่วงไปทุก ๆ ร้อยปี. ปริณายกแก้วรับพระราชโองการของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
ว่า อย่างนั้น ขอเดชะ. อานนท์ ครั้งนั้นโดยสมัยอื่น ช้างจึงมาสู่ที่เฝ้าพระ-
มหาสุทัสสนะคราวละสี่หมื่นสองพันเชือก โดยล่วงไปทุก ๆร้อยปี. อานนท์ ครั้ง
นั้นแล พระนางสุภัททาเทวี โดยล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ทรง
พระดำริว่า เราได้เฝ้าพระเจ้ามหาทัสสนะมานานแล้ว ถ้ากระไร เราพึงเข้าไป
เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวี รับ
สั่งเรียกนางสนมมาตรัสว่า พวกท่านในที่นี้ จงสระหัว จงห่มผ้าสีเหลือง
พวกเราได้เฝ้าพระเจ้ามหาทัสสนะนานแล้ว พวกเราพึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหา-
สุทัสสนะ. พวกนางสนมรับสนองพระเสาวนีย์ ของพระนางสุภัททาเทวีว่า
อย่างนั้น. พระแม่เจ้า แล้วก็สระหัวห่มผ้าสีเหลือง เข้าไปเฝ้าพระนางสุภัททา
เทวีถึงที่ประทับ. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีรับสั่งกับปริณายก
แก้วว่า พ่อปริณายกแก้ว ท่านจงจัดกองทัพ ๔ เหล่า พวกเราได้เฝ้าพระเจ้า
มหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราพึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ. อานนท์
ปริณายกแก้วรับพระเสาวนีย์ของพระนางสุภัททาเทวีว่า อย่างนั้น พระเทวี-
เจ้า แล้วจัดกองทัพ ๔ เหล่า เสร็จแล้วกราบทูลพระนางสุภัททาเทวีว่า พระ-

490
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 491 (เล่ม 13)

เทวีเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จัดกองทัพ ๔ เหล่าสำหรับพระองค์เสร็จแล้ว ขอพระเทวี
เจ้าโปรดทรงสำคัญเวลาอันสมควรเถิด. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททา
เทวี พร้อมกับนางสนมเสด็จเข้าไปจนถึงธรรมปราสาทด้วยกองทัพ ๔ เหล่า
เสด็จขึ้นธรรมปราสาทแล้วเสด็จเข้าไปจนถึงเรือนยอดหลังใหญ่ แล้วประทับ
ยืนเหนี่ยวบานประตูแห่งเรือนยอดหลังใหญ่. อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้า
มหาสุทัสสนะ ทรงได้ยินเสียงทรงดำริว่า อะไรหนอ นั้นเหมือนเสียงคน
จำนวนมาก แล้วเสด็จออกจากเรือนยอดหลังใหญ่ ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระนางภัททาเทวีประทับยืนยึดประตู แล้วตรัสกับพระนางสุภัททาเทวีอย่างนี้
ว่า เทวี หยุดตรงนั้นแหละ อย่าเข้ามา. อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
รับสั่งกะบุรุษคนใดคนหนึ่งว่า แน่พ่อ เธอจงมาช่วยกันยกบัลลังก์ทองจากเรือน
ยอดหลังใหญ่ เอาไปตั้งที่สวนตาลที่แล้วไปด้วยทองทุกอย่าง. บุรุษนั้นก็สนอง
พระดำรัสของพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า อย่างนั้น ขอเดชะ. แล้วก็ไปยกบัลลังก์
ทองจากเรือนยอดหลังใหญ่ เอาไปตั้งที่สวนตาลที่แล้วไปด้วยทองทุกอย่าง.
อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ด้วยพระปรัศว์
เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาทมีพระสติสัมปชัญญะ.
[๑๘๓] อานนท์ ลำดับนั้น พระนางสุภัททาเทวี ได้ทรงมีพระดำริ
อย่างนี้ว่า พระอินทรีย์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะบริสุทธิ์ผ่องใส พระฉวีวรรณ
ขาวผ่อง ขอให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่าได้เสด็จสวรรคตเลย. แล้วได้ตรัส
อย่างนี้กับพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า ขอเดชะ เหล่านี้เป็นพระนคร ๘๔,๐๐๐ นคร
มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขของพระองค์ ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความ
พอพระหฤทัยในพระนครเหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอ
เดชะ เหล่านี้คือปราสาทแปดหมื่นสี่พันองค์ของพระองค์ มีธรรมปราสาทเป็น
ประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในปราสาทเหล่านั้น

491