No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 462 (เล่ม 13)

ภูริทัตตะ สมัยเป็นพญานาคชื่อจัมเปยยกะ สมัยเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ สมัย
เป็นกระบี่ใหญ่ และในชาดกอื่น ๆ เป็นอันมาก. จะป่วยกล่าวไปใย บัดนี้
พระพุทธเจ้าของพวกเรา ทรงบรรลุลักษณะความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์และ
อนิฏฐารมณ์ได้มีพระวาทะเรื่องขันติ. การที่พวกเราจะมาประหัตประหารกัน
ในเหตุเรื่องส่วนแบ่งพระสรีระของพระองค์ผู้เป็นบุคคลสูงสุด อย่างเช่นกล่าว
มานี้นั้น ไม่ดีเลย. คำว่า น หิ สาธุยํ ตัดบทว่า น หิ สาธุ อยํ. บทว่า
สรีรภาเค แปลว่า นิมิตแห่งส่วนของพระสรีระ อธิบายว่า เหตุส่วนแห่งพระ-
บรมธาตุ. บทว่า สิย สมฺปหาโร ท่านอธิบายว่า การสัมปหารกันด้วยอาวุธ
ไม่พึงดีเลย. บทว่า สพฺเพว โภนฺโต สหิตา ความว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย พวกท่านทั้งหมด จงเกื้อกูลกันอย่าแตกกันเลย. บทว่า สมคฺคา
ได้แก่ จงเป็นผู้ประชุมพร้อมกัน พูดคำเดียวกัน สามัคคีกัน ทางกายและทาง
วาจาเถิด. บทว่า สมฺโมทมานา ได้แก่ จงเป็นผู้บรรเทิงต่อกันและกัน แม้
ทางจิตเถิด. บทว่า กโรมฏฺฐ ภาเค ความว่า จงแบ่งพระสรีระของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นส่วน. บทว่า จกฺขุมโต ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุด้วย
จักษุ ๕. โทณพราหมณ์ได้กล่าวเหตุเป็นอันมากให้เข้าใจกันว่า มิใช่พวกท่าน
พวกเดียวที่เลื่อมใส แม้มหาชนก็เลื่อมใส ในชนเหล่านั้น ผู้ชื่อว่า ไม่ควรจะ
ได้ส่วนแบ่งพระสรีระไม่มีแม้แต่คนเดียว.
บทว่า เตสํ สงฺฆานํ คณานํ ปฏิสฺสุณิตฺวา ความว่า เพราะหมู่คณะ
ที่มาประชุมกันจากที่นั้น ๆ เหล่านั้น รับฟัง (ยินยอม) โทณพราหมณ์จึงแบ่ง
พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ๘ ส่วน เท่า ๆ กัน. ลำดับความในเรื่อง
นั้น มีดังนี้.
เล่ากันว่า เพราะเจ้าเหล่านั้นยินยอม โทณพราหมณ์จึงสั่งให้เปิดรางทอง.
เจ้าทั้งหลายก็มายืนที่รางทองนั่นแล ต่างแลเห็นพระบรมธาตุทั้งหลายมีวรรณะ

462
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 463 (เล่ม 13)

ดั่งทองคำ พากันรำพันว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าสัพพัญญู แต่ก่อนข้า
พระองค์ทั้งหลาย ได้เห็นพระสรีระของพระองค์มีวรรณะดังทองคำ ประดับ
ด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ จิตด้วยพระพุทธรัศมีมีวรรณะ ๖
ประการ งามรุ่งเรืองด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่บัดนี้ ก็เหลือแต่
พระบรมธาตุ มีวรรณะดั่งทองคำ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การณ์นี้ไม่สมควร
แก่พระองค์เลย. สมัยนั้น แม้โทณพราหมณ์รู้ว่าเจ้าเหล่านั้นเผลอก็ฉวยพระ-
เขี้ยวแก้วเบื้องขวา เก็บไว้ในระหว่างผ้าโพก. ต่อมาภายหลังจึงแบ่งเป็น ๘ ส่วน
เท่า ๆ กัน พระบรมธาตุทั้งหมด รวมได้ ๑๖ ทะนาน โดยทะนานตามปกติ
เจ้านครแต่ละพระองค์ได้ไปองค์ละ ๒ ทะนานพอดี.
ส่วนเมื่อโทณพราหมณ์กำลังแบ่งพระบรมธาตุอยู่นั้นแล. ท้าวสักกะ
จอมเทพสำรวจดูว่า ใครหนอฉกเอาพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งการตรัสเรื่องสัจจะ เพื่อทรงประสงค์ตัดความสงสัย
ของโลกพร้อมทั้งเทวโลกไป ก็ทรงเห็นว่า พราหมณ์ฉกเอาไป. ทรงดำริว่า
แม้พราหมณ์ก็ไม่อาจทำสักการะอันควรแก่พระเขี้ยวแก้วได้ จำเราจะถือเอา
พระเขี้ยวแก้วนั้นไปเสีย แล้วทรงถือเอาจากระหว่างผ้าโพก บรรจุไว้ในผอบ
ทองคำ นำไปยังเทวโลกประดิษฐานไว้ ณ พระจุฬามณีเจดีย์. ฝ่ายพราหมณ์
ครั้นแบ่งพระบรมธาตุแล้ว ไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว แต่เพราะตนฉกเอาโดยกิริยา
ของขะโมย จึงไม่อาจแม้แต่จะถามว่า ใครฉกเอาพระเขี้ยวแก้วของเราไป.
เห็นแต่การยกโทษลงในตนเองว่า เจ้าเท่านั้นแบ่งพระบรมธาตุมิใช่หรือ ทำไม
เจ้าไม่รู้ว่า พระบรมธาตุของตนมีอยู่ก่อนเล่า. ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า
ทะนานทองคำนี้ ก็มีคติดังพระบรมธาตุ เราจักทำทะนานทองคำที่ตวงพระบรม-
ธาตุของพระตถาคตเป็นสถูป แล้วจึงทูลว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายโปรดประทาน
ทะนานลูกนี้แก่ข้าพระเจ้าเถิด. แม้เหล่าเจ้าโมริยะ เมืองปิปผลิวัน ก็ส่งทูตไป
ตระเตรียมการรบ ยกออกไปเหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นต้น.

463
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 464 (เล่ม 13)

พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระสรีระของพระผู้มี
พระภาคเจ้าและงานมหกรรมในกรุงราชคฤห์. ถามว่า ได้ทรงทำอย่างไร ?
ตอบว่า ได้ทรงทำการมหกรรมตั้งแต่กรุงกุสินาราจนถึงกรุงราชคฤห์เป็นระยะ
ทาง ๒๕ โยชน์. ในระหว่างนั้น ทรงให้ทำทางกว้าง ๘ อุสภะปราบพื้นเรียบ
สั่งให้ทำการบูชาในทางแม้ ๒๕ โยชน์ เช่นที่เหล่าเจ้ามัลละสั่งให้ทำการบูชา
ระหว่างมกุฏพันธนเจดีย์และสัณฐาคาร ทรงขยายไปในระหว่างตลาดในที่ทุก
แห่ง เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก ทรงให้ล้อมพระบรมธาตุที่บรรจุไว้ในราง
ทองคำ ด้วยลูกกรงหอก ให้ผู้คนชุมนุมกันเป็นปริมณฑล ๕๐๐ โยชน์ ใน
แคว้นของพระองค์. ผู้คนเหล่านั้นรับพระบรมธาตุ เล่นสาธุกีฬา ออกจาก
กรุงกุสินารา พบเห็นดอกไม้มีสีดั่งทองคำในที่ใด ๆ ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้น
ในที่นั้น ๆ บูชาพระบรมธาตุในระหว่างหอก เวลาดอกไม้เหล่านั้นหมดแล้ว
ก็เดินต่อไป เมื่อถึงฐานแอกแห่งรถในคันหลัง ก็พากันเล่นสาธุกีฬาแห่งละ ๗
วัน ๆ เมื่อผู้คนรับพระบรมธาตุมากันด้วยอาการอย่างนี้ เวลาก็ล่วงไป ๗ ปี
๗ เดือน ๗ วัน. เหล่ามิจฉาทิฏฐิพากันติเตียนว่า ตั้งแต่พระสมณโคดมปรินิพพาน
พวกเราก็วุ่นวาย ด้วยการเล่นสาธุกีฬา โดยพลการ การงานของพวกเราเสียหาย
หมด แล้วก็ขุ่นเคืองใจ ไปบังเกิดในอบายประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน.
เหล่าพระขีณาสพ ระลึกแล้วเห็นว่า มหาชนขุ่นเคืองใจ พากันบังเกิด
ในอบาย แล้วดำริว่า พวกเราจักให้ท้าวสักกะเทวราชทรงทำอุบายนำพระบรม
ธาตุมา ดังนี้ จึงพากันไปยังสำนักท้าวสักกะเทวราชนั้น ทูลบอกเรื่องนั้นแล้ว
ทูลว่า ท่านมหาราช ขอได้โปรดทรงทำอุบายนำพระบรมธาตุมาเถิด. ท้าว
สักกะตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่า ปุถุชนที่มีศรัทธาเสมอด้วยพระเจ้าอชาต
ศัตรูไม่มี พระองค์ไม่ทรงเชื่อเราดอก ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าจักแสดงสิ่งที่น่าสะพรึง
กลัว. เสมือนมารที่น่าสะพรึงกลัว จักประกาศเสียงดังลั่น จักทำเป็นคนไข้สั่น

464
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 465 (เล่ม 13)

ระรัว เหมือนคนผีเข้า ขอพระคุณเจ้าทูลว่า มหาบพิตร พวกอมนุษย์เขา
โกรธเคือง ได้โปรดให้นำพระบรมธาตุไปโดยเร็ว ด้วยอุบายอย่างนี้ ท้าวเธอ
ก็จักทรงให้นำพระบรมธาตุไป. ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะ ก็ได้ทรงทำทุกสิ่งทุก
อย่างดังกล่าวนั้น ฝ่ายพระเถระทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ถวายพระพร
พวกอมนุษย์เขาโกรธเคือง โปรดให้นำพระบรมธาตุไปเถิด. พระราชาตรัสว่า
ท่านเจ้าข้า จิตของโยมยังไม่ยินดีก่อน แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะให้เขานำพระ
บรมธาตุไป. ในวันที่ ๗ ผู้คนทั้งหลายก็นำพระบรมธาตุมาถึง. ท้าวเธอทรง
รับพระบรมธาตุที่มาด้วยอาการอย่างนั้น ทรงสร้างพระสถูปไว้ ณ กรุงราชคฤห์
และทรงทำมหกรรม แม้เหล่าเจ้าพวกอื่น ๆ ก็นำไปตามสมควรแก่กำลังของ
ตน ๆ สร้างพระสถูปไว้ ณ สถานของตน ๆ แล้วทำมหกรรม. บทว่า เอวเมตํ
ภูตปุพฺพํ ความว่า การแบ่งพระบรมธาตุ และการสร้างพระสถูป ๑๐ แห่งนี้
เคยมีมาแล้วในชมพูทวีปด้วยประการฉะนี้. ภายหลัง พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย
จึงกล่าวไว้.
เมื่อสถาปนาพระสถูปกันดั่งนี้แล้ว พระมหากัสสปเถระเห็นอันตราย
ของพระบรมธาตุทั้งหลาย จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า ถวายพระพร
ควรเก็บพระบรมธาตุไว้อย่างนี่แหละ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า
กิจด้วยการเก็บพระบรมธาตุของโยม จงยกไว้ก่อน แต่โยมจะนำพระบรมธาตุ
ที่เหลือมาได้อย่างไร. ทูลว่า ถวายพระพร การนำพระบรมธาตุมา ไม่ใช่
ภาระของมหาบพิตร แต่เป็นภาระของพวกอาตมภาพ. ตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า
ขอพระคุณเจ้าโปรดนำพระบรมธาตุมาเถิด โยมจะเก็บไว้. พระเถระเว้นไว้
เพียงที่ราชตระกูลนั้น ๆ ปกปิดไว้พระบรมธาตุส่วนที่เหลือ ก็นำมา. ส่วนพระ
บรมธาตุทั้งหลายในรามคาม เหล่านาค เก็บรักษาไว้. พระเถระดำริว่า อันตราย
ของพระบรมธาตุเหล่านั้นไม่มี ต่อไปในอนาคตกาล คนทั้งหลาย จักเก็บไว้

465
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 466 (เล่ม 13)

ในพระมหาเจดีย์ ในมหาวิหาร ลังกาทวีปดังนี้ แล้วไม่นำพระบรมธาตุเหล่า
นั้นมา นำมาจากนครทั้ง ๗ ที่เหลือประดิษฐานไว้ ณ ทิศตะวันออกและทิศใต้
แห่งกรุงราชคฤห์ อธิษฐานว่า หินอันใดมีอยู่ในที่นี้ หินอันนั้นจงอันตรธาน
ไป ขอฝุ่นจงสะอาดด้วยดี ขอน้ำอย่าขึ้นถึงดังนี้.
พระราชา สั่งให้ขุดที่นั้น คุ้ยฝุ่นออกจากที่นั้นก่ออิฐแทน โปรดให้
สร้างเจดีย์สำหรับพระอสีติมหาสาวก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้เมื่อมีคน
ถามว่า พระราชา โปรดให้สร้างอะไรไว้ในที่นี้ ตอบว่า ให้สร้างพระเจดีย์
สำหรับพระมหาสาวกทั้งหลาย. แต่ในที่นั้นลึก ๘๐ ศอก โปรดให้ปูเครื่องลาด
โลหะไว้ภายใต้ สร้างผอบที่ทำด้วยไม้จันทน์เหลืองเป็นต้น และพระสถูปไว้
อย่างละ ๘ ๆ. ครั้งนั้น พระราชาใส่พระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้
ในผอบจันทน์เหลือง ทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลือง
อีกใบหนึ่ง แล้วทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลืองอีกใบ
หนึ่ง ดังกล่าวมาฉะนี้ เป็นอันทรงรวมผอบ ๘ ใบไว้ในใบเดียวกัน ด้วยอุบาย
อย่างนั้นแล ทรงใส่ผอบทั้ง ๘ ผอบนั้นลงในพระสถูปจันทน์เหลือง ๘ สถูป
ทรงใส่สถูปจันทน์เหลืองทั้ง ๘ สถูปลงในผอบจันทน์แดง ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบ
จันทน์แดงทั้ง ๘ ผอบลงในพระสถูปจันทน์แดง ๘ สถูป ทรงใส่ถูปจันทน์
แดงทั้ง ๘ สถูปลงในผอบงา ทรงใส่ผอบงาตั้ง ๘ ผอบลงในสถูปงา ๘ สถูป
แล้วทรงใส่สถูปงาทั้ง ๘ สถูปลงในผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบรัตนะ
ล้วน ๘ ผอบลงในสถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป
ลงในผอบทองคำ ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบทองคำ ๘ ผอบลงในสถูปทองคำ ๘
สถูป ทรงใส่สถูปทองคำ ๘ สถูปลงในผอบเงิน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบเงิน ๘
ผอบลงในสถูปเงิน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปเงิน ๘ สถูปลงในผอบมณี ๘ ผอบ
ทรงใส่ผอบมณี ๘ ผอบลงในสถูปมณี ๘ สถูป ทรงใส่สถูปมณี ๘ สถูปลงใน

466
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 467 (เล่ม 13)

ผอบทับทิม ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบทับทิมลงในสถูปทับทิม ๘ สถูป ทรง
ใส่สถูปทับทิม ๘ สถูปลงในผอบแก้วลาย ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้วลาย ๘
ผอบลงในสถูปแก้วลาย ๘ สถูป ทรงใส่สถูปแก้วลาย ๘ สถูปลงในผอบแก้ว
ผลึก ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้ว ผลึกลงในสถูปแก้วผลึก ๘ สถูป.
เจดีย์แก้วผลึกมีก่อนเจดีย์ทั้งหมด ถือเอาเป็นประมาณแห่งเจดีย์ใน
ถูปาราม. บนเจดีย์แก้วผลึกนั้น โปรดให้สร้างเรือนทำด้วยรัตนะล้วน. บน
เรือนรัตนะนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองคำไว้ บนเรือนทองคำนั้น ให้สร้าง
เรือนด้วยเงินไว้ บนเรือนเงินนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองแดงไว้ บนเรือน
ทองแดงนั้น โรยเมล็ดทรายทำด้วยรัตนะทั้งหมด เกลี่ยดอกไม้น้ำ ดอกไม้บก
ไว้ ๑,๐๐๐ ดอก โปรดให้สร้างชาดก ๕๕๐ ชาดก พระอสีติมหาเถระ พระเจ้า
สุทโธทนมหาราช พระนางมหามายาเทวี สหชาติทั้ง ๗ ทั้งหมดดังกล่าวมานี้
ทำด้วยทองคำทั้งสิ้น. โปรดให้ตั้งหม้อน้ำเต็ม ที่ทำด้วยทองและเงินอย่างละ ๕๐๐
หม้อ ให้ยกธงทอง ๕๐๐ ธง ให้ทำประทีปทอง ๕๐๐ ดวง ประทีปเงิน ๕๐๐ ดวง
ทรงใส่ไส้ผ้าเปลือกไม้ไว้ในประทีปเหล่านั้น บรรจุน้ำมันหอม. ครั้งนั้น ท่าน
พระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีป
อย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร
พระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจัก
ทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้. พระราชาทรงเอาเครื่อง
ประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก. ท้าวเธอครั้น
ปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณี
แท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้า
แผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้ง
หลายเทอญ.

467
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 468 (เล่ม 13)

ท้าวสักกะเทวราช เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาทรงส่งไปด้วยพระดำรัส
สั่งว่า พ่อเอ๋ย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเก็บพระบรมธาตุแล้ว เจ้าจงตั้งกองรักษา
การณ์ไว้ที่นั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรมาประกอบหุ่นยนต์มีโครงร่างร้าย รูปไม้
(หุ่นยนต์) ถือพระขรรค์สีแก้วผลึก ในห้องพระบรมธาตุ เคลื่อนตัวได้เร็ว
เสมือนลม. วิสสุกรรมเทพบุตรประกอบหุ่นยนต์แล้ว ติดลิ่มสลักไว้อันเดียว
เท่านั้น เอาสิลาล้อมไว้โดยรอบ โดยอาการเสมือนเรือนสร้างด้วยอิฐ ข้างบน
ปิดด้วยสิลาแผ่นเดียว ใส่ฝุ่นแล้วทำพื้นให้เรียบ แล้วประดิษฐานสถูปหินไว้
บนที่นั้น. เมื่อการเก็บพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้แล้ว แม้พระเถระ
ดำรงอยู่จนตลอดอายุก็ปรินิพพาน แม้พระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวก
มนุษย์แม้เหล่านั้น ก็ตายกันไป.
ต่อมาภายหลัง เมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระธรรม
ราชาพระนามว่าอโศก ทรงรับพระบรมธาตุเหล่านั้นไว้แล้ว ได้ทรงกระทำให้
แพร่หลาย. ทรงกระทำให้แพร่หลายอย่างไร ? พระเจ้าอโศกนั้น อาศัยนิโครธ
สามเณร ทรงได้ความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐
วิหารแล้ว ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า โยมให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหารแล้ว จัก
ได้พระบรมธาตุมาจากไหนเล่าท่านเจ้าข้า. ภิกษุสงฆ์ทูลว่า ถวายพระพร
พวกอาตมภาพฟังมาว่า ชื่อว่าที่เก็บพระบรมธาตุมีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน.
พระราชาให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์คืนดี
อย่างเดิมแล้ว ทรงพาบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปยัง
กรุงเวสาลี แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ ก็ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้
แล้วไปยังรามคาม เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์. จอบที่ตก
ต้องพระเจดีย์ ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในที่นั้น
ก็ไม่ได้ ก็ไปยังเมืองอัลลกัปปะเวฏฐทีปะ ปาวา กุสินารา ในที่ทุกแห่งดั่งกล่าว

468
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 469 (เล่ม 13)

มานี้ รื้อพระเจดีย์แล้วก็ไม่ได้พระบรมธาตุเลย ครั้นทำเจดีย์เหล่านั้นให้คืนดี
ดั่งเดิมแล้ว ก็กลับไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประชุมบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่า
ใครเคยได้ยินว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ ในที่ชื่อโน้น มีบ้างไหม. ในที่ประชุมนั้น
พระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า อาตมาภาพก็ไม่รู้ว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ
อยู่ที่โน้น แต่พระมหาเถระบิดาอาตมภาพ ให้อาตมภาพครั้งอายุ ๗ ขวบ
ถือหีบมาลัย กล่าวว่า มานี่ สามเณร ระหว่างกอไม้ตรงโน้น มีสถูปหินอยู่
เราไปกันที่นั้นเถิด แล้วไปบูชา ท่านพูดว่า สามเณร ควรพิจารณาที่ตรงนี้.
ถวายพระพร อาคมภาพรู้เท่านี้ พระราชาตรัสว่า ที่นั่นแหละ แล้วสั่งให้ตัด
กอไม้ แล้วนำสถูปหินและฝุ่นออก ก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่นั้นทรงทำลาย
ปูนโบกและแผ่นอิฐแล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ
๗ ประการ และรูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบ เดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอรับสั่งให้
เหล่าคนผู้ถือผีมา แม้ให้ทำการเช่นสรวงแล้ว ก็ไม่เห็นที่สุดโต่งสุดยอดเลย
จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุเหล่านี้แล้ว
บรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำสักการะ ขอเทวดาอย่าทำอันตรายแก่
ข้าพเจ้าเลย.
ท้าวสักกะเทวราช เสด็จจาริกไปทรงเห็นพระเจ้าอโศกนั้นแล้ว เรียก
วิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระธรรมราชาอโศก จักทรงนำพระบรม-
ธาตุไป เพราะฉะนั้น เจ้าจงลงสู่บริเวณไปทำลายรูปไม้(หุ่นยนต์) เสีย วิสสุกรรม
เทพบุตรนั้น ก็แปลงเพศเป็นเด็กชาวบ้านไว้จุก ๕ แหยม ยืนถือธนูตรง
พระพักตร์ของพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าจะนำไป มหาราชเจ้า. พระราชาตรัสว่า
นำไปสิพ่อ. วิสสุกรรมเทพบุตรจับศรยิงตรงที่ผูกหุ่นยนต์นั้นแล ทำให้ทุกอย่าง
กระจัดกระจายไป. ครั้งนั้น พระราชาทรงถือตรากุญแจ ที่ติดอยู่ที่เชือกผูก

469
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 470 (เล่ม 13)

ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้า
แผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย
ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว
ทรงเคาะซ้ำ ๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้ เมื่อ
๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้น
เอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบด
วางไว้เมื่อครู่นี้เอง. พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคต
กาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชา
พระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย
ดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว
ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา. ท้าวเธอเว้นเพียงพระบรมธาตุที่ปก
ปิดไว้ในที่นั้น ทรงนำพระบรมธาตุที่เหลือทั้งหมดมาแล้ว ปิดเรือนพระบรม-
ธาตุไว้เหมือนอย่างเดิม ทรงทำที่ทุกแห่งเป็นปกติอย่างเก่าแล้ว โปรดให้
ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบนบรรจุพระบรมธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร
ทรงไหว้พระมหาเถระแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้า โยมเป็นทายาทในพระพุทธ
ศาสนาได้ไหม พระมหาเถระทูลว่า ถวายพระพร มหาบพิตรยังเป็นคน
ภายนอกของพระศาสนา จะเป็นทายาทของอะไรเล่า. ตรัสถามว่า ก็โยมบริจาค
ทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ให้สร้างวิหารไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิหาร ยังไม่เป็นทายาท
คนอื่นใครเล่าจะเป็นทายาท. พูดว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ได้ชื่อว่าเป็น
ปัจจยทายก ก็ผู้ใดบวชบุตรหรือธิดาของตน ผู้นี้จึงจะชื่อว่า เป็นทายาทของ
พระศาสนา. ท้าวเธอจึงให้บวชพระโอรสและพระธิดา. ครั้งนั้น พระเถระ
ทั้งหลายทูลพระองค์ว่า ขอถวายพระพร บัดนี้ มหาบพิตรเป็นทายาทในพระ
ศาสนาแล้ว.

470
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 471 (เล่ม 13)

บทว่า เอวเมตํ ภูตปุพุพํ ความว่า แม้การเก็บพระบรมธาตุในอดีต
กาลนี้ เคยมีมาแล้วในภาคพื้นชมพูทวีป ด้วยประการฉะนี้. แม้การกสงฆ์ผู้ทำ
สังคายนาครั้งที่ ๓ ก็วางบทนี้ไว้. ก็คาถาเป็นต้นว่า อฏฺฐโทณํ จกฺขุมโต
สรีรํ เป็นต้นนี้ พระเถระชาวสีหลทวีป กล่าวไว้แล้วแล.
จบอรรถกถามหาปรินิพพานสูตรที่ ๓

471