No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 452 (เล่ม 13)

คนไปบอก ขึ้นชื่อว่า อาหารที่สุกแล้วนี้ เมื่อจะตั้งอยู่นานตลอดไป พึงตั้งอยู่
ได้เพียง ๗ วัน แท้จริง ของนี้จะพึงเป็นของที่เราจัด ไว้ตลอดชีวิต พระองค์
ก็ทรงทำให้พินาศเสียสิ้น พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ไม่ทรงหวังดีต่อเราเสียเลย.
เมื่อพระทศพลยังทรงพระชนม์อยู่ จึงไม่อาจกล่าวอะไร ๆ ได้. ได้ยินว่า พระ
สุภัททะนั้นคิดอย่างนี้ว่า พระมหาบุรุษนี้ บวชจากตระกูลสูง ถ้าเราพูดอะไรไป
ก็จักทรงคุกคามเราผู้เดียว. พอได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นี้นั้น ปรินิพพาน
แล้วในวันนี้ ก็ร่าเริงยินดีประดุจได้ลมหายใจ จึงกล่าวอย่างนี้. พระเถระฟังคำ
นั้นแล้ว มิได้สำคัญว่าประหนึ่งถูกประหารที่หทัย ประหนึ่งฟ้าปราศจากเมฆ
ผ่าลงบนกระหม่อม. แต่พระเถระเกิดธรรมสังเวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน
ได้เพียง ๗ วัน แม้วันนี้ พระสรีระของพระองค์ มีพระฉวีวรรณดังทองคำ
ก็ยังดำรงอยู่ทีเดียว. กากบาปเสี้ยนหนามอันใหญ่เกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ในพระศาสนา
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาด้วยทุกข์ยาก ก็คนบาปนี้ นี้เมื่อเติบโต ได้คน
อื่นเห็นบาปนั้นเป็นพรรคพวก ก็อาจจะทำพระศาสนาให้เสื่อมถอยได้.
ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า ก็ถ้าเราจักให้หลวงตาผู้นี้นุ่งผ้าเก่า เอาขี้เถ้า
โรยศีรษะ ขับไล่ไป. ผู้คนทั้งหลายก็จะพากันยกโทษพวกเราว่า เมื่อพระสรีระ
ของพระสมณโคดมยังคงอยู่ เหล่าสาวกก็วิวาทกัน เพราะฉะนั้น เราจึงอดกลั้น
ไว้ก่อน ก็ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ก็เสมือนกองดอกไม้ที่ยังไม่ได้
ควบคุม ในธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้ทั้งหลายที่ต้องลม
ย่อมกระจัดกระจายไป ฉันใด สิกขาบท ๑-๒ สิกขาบทในวินัยก็จักพินาศ
ปัญหาวาระ ๑-๒ วาระ ในสูตรก็จักพินาศ ภูมิอื่น ๑-๒ ภูมิ ในอภิธรรม
ก็จักพินาศ ในเมื่อเวลาล่วงไป ๆ ด้วยอำนาจบุคคลชั่วเห็นบาปนี้ ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน. เมื่อมูลรากพินาศไปอย่างนี้ พวกเราก็จักเป็นเสมือนปีศาจ. เพราะ
ฉะนั้น เราจำจักต้องสังคายนาธรรมวินัย เมื่องเป็นดังนี้ ธรรมนี้ วินัยนี้ ก็จัก

452
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 453 (เล่ม 13)

มั่นคงเหมือนดอกไม้ที่คุมไว้ด้วยด้ายเหนียว ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงเสด็จต้อนรับเรา ตลอดทาง ๓ คาวุต (๓๐๐ เส้น) ประทาน
อุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ประการ ทรงเปลี่ยนจีวรจากพระวรกาย ตรัสปฏิปทา
เปรียบด้วยดวงจันทร์ ประหนึ่งสั่นมือในอากาศ ทรงยกย่องเราเป็นกายสักขี
(มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ๓ ครั้ง
ว่า เมื่อภิกษุเช่นเรายังดำรงอยู่ ภิกษุชั่วผู้นี้จักไม่ได้ความเจริญในพระศาสนา.
อธรรมยังไม่รุ่งเรือง ธรรมก็จะไม่เสื่อมถอย อวินัยยังไม่รุ่งเรือง วินัยก็จะไม่
เสื่อมถอย ฝ่ายอธรรมวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายธรรมวาทีก็จะไม่อ่อนกำลัง ฝ่าย
อวินัยวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายวินัยวาทีก็จะไม่อ่อนกำลัง เพียงใด เราก็จักสังคายนา
ธรรมและวินัยเพียงนั้น. แต่นั้น เหล่าภิกษุรวบรวมภิกษุที่เป็นสภาคกัน เพียง
พอแก่ตน ๆ ก็จักกล่าวสิ่งที่ควรและไม่ควรได้ เมื่อเป็นดังนี้ ภิกษุชั่วผู้นี้ตนเอง
ก็ประสบนิคคหะ ไม่อาจเงยศีรษะได้อีก พระศาสนาก็จักมั่นคงและแพร่หลาย.
พระเถระคิดว่า เราเกิดจิตคิดอย่างนี้แล้ว ยังไม่อาจบอกใครๆ ได้แต่ปลอบโยน
ภิกษุสุงฆ์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข อายสฺมา มหากสฺสโป
ฯเปฯ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ดังนี้.
บทว่า จิตกํ ได้แก่ จิตกาธาน ที่ทำด้วยไม้จันทน์ประดับด้วยรัตนะ
สองพัน. บทว่า อาลิมฺเปสฺสาม ได้แก่ ช่วยกันจุดไฟ. บทว่า น สกฺโกนฺติ
คือ ชนทั้งหลาย ๘ คนบ้าง ๑๖ คนบ้าง ถือคบไฟเป็นคู่ ๆ เพื่อติดไฟ พัดด้วย
ใบตาล เป่าด้วยสูบ แม้กระทำการณ์นั้น ๆ ก็ไม่อาจทำให้ไฟติดได้. พึงทราบ
วินิจฉัยในคำว่า เทวตานํ อธิปฺปาโย นี้ดังนี้. ได้ยินว่า เทวดาเหล่านั้น เป็น
เทวดาอุปัฏฐากของพระเถระนั่นเอง. ความจริง เพราะจิตเลื่อมใสพระอสีติ
มหาสาวก อุปัฏฐาก ๘๐,๐๐๐ ตระกูล ของพระมหาสาวกเหล่านั้น ก็ไปบังเกิด
ในสวรรค์. ลำดับนั้น เหล่าเทวดาผู้มีจิตเลื่อมใสในพระเถระแล้วบังเกิดใน

453
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 454 (เล่ม 13)

สวรรค์ ไม่เห็นพระเถระในสมาคมนั้น คิดว่า พระเถระประจำตระกูลของ
พวกเราไปเสียที่ไหนหนอ ก็เห็นท่านเดินอยู่ระหว่างทาง จึงพากันอธิษฐานว่า
เมื่อพระเถระประจำตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ขอจิตกาธานอย่าเพิ่งติดไฟ ดังนี้. เหล่าผู้คนฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า
เขาว่าพระมหากัสสปะ กล่าวว่า ดูก่อนท่านภิกษุ เราจักถวายบังคมพระบาท
ของพระทศพล พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ดังนี้แล้วจึงมา เมื่อยังมาไม่ถึง
จิตกาธานก็จักไม่ติดไฟ ผู้เจริญ ภิกษุนั้นเป็นเช่นไร ดำ ขาว สูง เตี้ย
เมื่อภิกษุเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ทำไมพระทศพลจึงปรินิพพาน ดังนี้แล้ว บางพวก
ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นเดินสวนทาง บางพวกทำถนนให้สวยงาม ยืน
สำรวจทางที่จะมา.
คำว่า อถโข อายสฺมา มหากสฺสโป เยน กุสินารา ฯเปฯ สิรสา
วนฺทิ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระกระทำประทักษิณจิตกาธาร พลางรำลึก
กำหนดว่า ตรงนี้พระเศียร ตรงนี้พระบาท. แต่นั้น พระเถระก็ยืนใกล้พระบาท
ทั้งสอง เข้าจตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า
ขอพระยุคลบาทของพระทศพล ที่มีลักษณะจักรอันประกอบด้วยซี่ ๑,๐๐๐ ซี่
ประดิษฐานแล้ว จงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมกับชั้นสำลี รางทอง และ
จิตกาธานไม้จันทน์ออกเป็น ๒ ช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์
ด้วยเถิด. พร้อมด้วยจิตอธิษฐาน พระยุคลบาท ก็ชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ เป็นต้น
เหล่านั้นโผล่ออกมา ประหนึ่งจันทร์เพ็ญออกจากระหว่างพลาหกฉะนั้น. พระ
เถระเหยียดมือทั้ง ๒ เสมือนดอกปทุมแดงที่คลี่บานแล้ว จับพระยุคลบาทของ
พระศาสดา อันมีพระฉวีวรรณดังทองคำจนถึงข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว ประดิษ-
ฐานไว้เหนือเศียรเกล้าอันประเสริฐของตน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เผย
พระบาทถวายบังคมพระบาทของผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า.

454
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 455 (เล่ม 13)

มหาชน เห็นความอัศจรรย์ดังนั้นแล้ว บันลือสีหนาทกระหึ่มขึ้น
พร้อมกัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นแล้วไหว้ตามความพอใจ. ก็แล
พอพระเถระ มหาชน และภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ถวายบังคมแล้ว ก็ไม่มี
กิจที่จะต้องอธิษฐานอีก. ด้วยอำนาจการอธิษฐานตามปกติเท่านั้น ฝ่าพระยุคล
บาทของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะดังน้ำครั่ง พ้นจากมือของพระเถระแล้ว
ไม่กระทำไม้จันทน์เป็นต้นอะไรให้ไหว ประดิษฐานอยู่ในที่เดิม. จริงอยู่
เมื่อพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าออกมาหรือเข้าไป ใยสำลีก็ดี เส้นผ้า
ก็ดี หยาดน้ำมันก็ดี ชิ้นไม้ก็ดี ไม่เคลื่อนจากที่เลย. ทั้งหมดตั้งอยู่ตามเดิม
นั่นแล. แต่เมื่อพระยุคลบาทของพระตถาคตตั้งขึ้นแล้วก็หายวับไป เหมือน
พระจันทร์และพระอาทิตย์อัสดงคต มหาชนพากันร้องไห้ยกใหญ่. น่ากรุณา
ยิ่งกว่าครั้งปรินิพพานเสียอีก.
ก็คำว่า สมเยว ภควโต จิตโก ปชฺชลิ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจ
มองไม่เห็นใคร ๆ ผู้พยายามจะติดไฟ. ก็จิตกาธานนั้นติดไฟพรึบเดียวโดยรอบ
ด้วยอานุภาพของเทวดา. บทว่า สรีราเนว อวสิสฺสึสุ ความว่า เมื่อก่อนได้
ชื่อว่า สรีระ ก็เพราะตั้งอยู่ด้วยโครงร่างอันเดียวกัน บัดนี้ท่านกล่าวว่าสรีระ
ทั้งหมดกระจัดกระจายไปแล้ว. อธิบายว่า พระธาตุทั้งหลาย ก็เสมือนดอก
มะลิตูม เสมือนแก้วมุกดาที่เจียรนัยแล้ว และเสมือนจุณทองคำยังเหลืออยู่.
จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืด
เช่นกับแท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจาย
ว่า เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้ง
ปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้
ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์ในที่อยู่ของตน ๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย

455
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 456 (เล่ม 13)

อย่างไหนไม่กระจัดกระจาย. ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่านี้คือ พระเขี้ยวแก้ว
๔ พระรากขวัญ ๒ พระอุณหิส ๑ ไม่กระจัดกระจาย นอกนั้นกระจัดกระจาย.
บรรดาพระธาตุเหล่านั้น พระธาตุเล็ก ๆ ทั้งหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์
ผักกาด พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง พระธาตุขนาดใหญ่ยิ่ง
มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง.
บทว่า อุทกธารา ความว่า ท่อน้ำขนาดปลายเท่าแขนก็ดี ขนาดแข้ง
ก็ดี ขนาดลำตาลก็ดี ตกจากอากาศดับไป. คำว่า อุทกํ สาลโตปิ นี้ ท่าน
กล่าวหมายต้นสาละที่ยืนต้นล้อมอยู่. ท่อน้ำออกจากระหว่างลำต้น และระหว่าง
ด่าคบของต้นสาละเหล่านั้นดับไฟ. จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าขนาดใหญ่.
เกลียวน้ำขนาดเท่างอนไถ แม้ชำแรกดินโดยรอบ เช่นเดียวกับพวงแก้วผลึก
ผุดขึ้นจับจิตกาธาร. บทว่า คนฺโธทเกน ได้แก่ น้ำหอมนานาชนิด ที่เขา
บรรจุหม้อทอง หม้อเงินให้เต็มนำมา. บทว่า นิพฺพาเปสุํ ความว่า เหล่าเจ้า
มัลละดับจิตกาธานเกลี่ยด้วยไม้ ๘ อัน ที่ทำด้วยทองและเงิน. ก็เมื่อไฟกำลังไหม้
จิตกาธานนั้นอยู่ เปลวไฟก็พุ่งขึ้นจากระหว่างกิ่ง ค่าคบและใบของต้นสาละที่
ยืนต้นล้อมอยู่. ใบ กิ่ง หรือ ดอกไม่ไหม้เลย. ทั้งมดแดง ทั้งลิง ทั้งสัตว์
เล็ก ๆ เที่ยวไปโดยระหว่างเปลวไฟ. ธรรมดาในท่อน้ำที่ตกจากอากาศก็ดี ใน
ท่อน้ำที่ออกจากต้นสาละก็ดี ในท่อน้ำที่ชำแรกแผ่นดินออกไปก็ดี ควรถือเอา
เป็นประมาณ.
ก็แลครั้นดับจิตกาธานอย่างนี้แล้ว เหล่าเจ้ามัลละก็ให้ประพรมด้วย
คันธชาติ ๔ ชนิด ที่สัณฐาคาร โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่คำรบห้า ติด
เพดานผ้าไว้เบื้องบน ขจิตด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัย
และพวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้สองข้างตั้งแต่สัณฐาคารจนถึงมงคล
ศาลาที่ประดับศีรษะ กล่าวคือมกุฏพันธน์ แล้วติดเพดานผ้าไว้เบื้องบน จิต

456
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 457 (เล่ม 13)

ด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัยและพวงแก้วแม้ในที่นั้น ให้
ยกธง ๕ สี โดยสีก้านมณีและไม้ไผ่ ล้อมธงชัยและธงปฏากไว้โดยรอบ ตั้งต้น
กล้วยและหม้อบรรจุน้ำไว้เต็ม ที่ถนนทั้งหลาย อันรดน้ำและเกลี้ยงเกลาก็ตาม
ประทีปมีด้าม วางรางทองพร้อมด้วยพระธาตุทั้งหลายไว้บนคอช้างที่ประดับ
แล้ว บูชาด้วยมาลัยและของหอมเป็นต้น เล่นสาธุกีฬา นำเข้าไปภายในพระ
นคร วางไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ณ สัณฐาคาร กั้นเฉวตฉัตร
ไว้เบื้องบน. ครั้นกระทำดังนี้แล้ว ครั้งนั้น เหล่าเจ้ามัลละชาวนครกุสินารา
ให้ทหารถือหอกเป็นลูกกรง ให้ทหารถือธนูเป็นกำแพงล้อมที่สัณฐาคาร บูชา
พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม
ด้วยมาลัย ของหอม ตลอด ๗ วัน บัณฑิตพึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺติปญฺชรํ กริตฺวา ได้แก่ จัดเหล่า
บุรุษถือหอกล้อมไว้. บทว่า ธนุปาการํ ได้แก่ จัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพอง
ต่อกันล้อมไว้ก่อน .จากนั้น จัดเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน ต่อนั้น จัดเหล่า
รถเรียงลำดับปลายลิ่มล้อรถต่อกัน ต่อนั้น จัดเหล่าราบยืนเรียงลำดับแขนต่อ
กัน ปลายรอบแถวทหารเหล่านั้น จัดเหล่าธนูเรียงลำดับต่อกันล้อมไว้. เหล่า
เจ้ามัลละจัดอารักขาตลอดที่ประมาณโยชน์หนึ่ง โดยรอบ ๗ วัน ทำประหนึ่ง
ลูกโคสวมเกราะ ด้วยประการฉะนี้.
ท่านหมายเอาข้อนั้นจึงกล่าวว่า ธนุปาการํ ปริขิปาเปตฺวา ดังนี้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เหล่าเจ้ามัลละเหล่านั้น จึงได้กระทำดังนั้น. ตอบว่า
ใน ๒ สัปดาห์แรกจากนี้ เจ้ามัลละเหล่านั้น กระทำโอกาสที่ยืนและนั่ง
สำหรับภิกษุสงฆ์ จัดแจงของเคี้ยวของฉันถวาย ไม่ได้โอกาสที่จะเล่นสาธุกีฬา.
แต่นั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นดำริกันว่า พวกเราจักเล่นสาธุกีฬาตลอดสัปดาห์นี้.
ข้อที่ใคร ๆ รู้ว่าพวกเราประมาท แล้วมายึดเอาพระธาตุทั้งหลายไปเสีย มีฐานะ

457
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 458 (เล่ม 13)

ที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น พวกเราจักต้องตั้งกองรักษาการณ์ไว้แล้วเล่น
กีฬากัน. ด้วยเหตุนั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นจึงได้กระทำดังนั้น.
บทว่า อสฺโสสิ โข ราชา ความว่า พระเจ้าอาชาตศัตรูทรงทราบ
เรื่องแล้ว. ได้ยินว่า เหล่าอำมาตย์ของท้าวเธอ ครั้งแรกทีเดียวคิดว่า ธรรมดา
ว่าพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อาจนำพระองค์มาได้อีก แต่ไม่มีผู้
เสมอเหมือนพระราชาของเรา ด้วยศรัทธาของปุถุชน ถ้าพระราชาพระองค์นี้
จักทรงสดับโดยทำนองนี้ หฤทัยของท้าวเธอจักต้องแตก แต่พวกเราควรระวัง
รักษาพระราชาไว้ดังนี้. อำมาตย์เหล่านั้นจึงนำรางทอง ๓ ราง บรรจุของ
อร่อย ๆ ไว้เต็มนำไปยังราชสำนัก กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ พวกข้าพระองค์
ฝันไป พระองค์ควรทรงผ้าเปลือกไม้สองชั้นแล้วบรรทมในรางที่เต็มด้วยของ
อร่อย ๆ ๔ อย่าง พอที่ช่องพระนาสิกโผล่ เพื่อขจัดความฝันนั้นเสียพระราชา
สดับคำของเหล่าอำมาตย์ผู้หวังดี ทรงรับสั่งว่า เอาสิพ่อ แล้วได้ทรงกระทำ
อย่างนั้น. ลำดับนั้นอำมาตย์ผู้หนึ่ง เปลื้องเครื่องประดับแล้วสยายผม ผินหน้า
ไปทางทิศที่พระศาสดาปรินิพพาน ประคองอัญชลีทูลพระราชาว่า พระเจ้าข้า
ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้หลุดพ้นจากความตาย หามีไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้เจริญชนมายุ เป็นเจติยสถาน เป็นบุญเขต เป็นพระแท่นอภิเษก
เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว ณ นครกุสินารา พระราชาทรง
สดับแล้ว ก็ถึงวิสัญญีภาพ (สลบ) ปล่อยไออุ่นในรางอันเต็มด้วยของอร่อย
๔ อย่าง ลำดับนั้น เหล่าอำมาตย์ก็ยกพระองค์ขึ้นจากรางที่ ๑ นั้น ให้บรรทม
ณ รางที่ ๒. ท้าวเธอกลับฟื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ.
กราบทูลว่า พระมหาราชเจ้า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว เจ้าข้า. พระราชา
ก็กลับทรงวิสัญญีภาพอีก ปล่อยไออุ่นลงในรางของอร่อย ๔ อย่าง. ลำดับนั้น
เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกท้าวเธอขึ้นจากรางที่ ๒ นั้นแล้ว ให้บรรทมในรางที่ ๓.

458
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 459 (เล่ม 13)

ท้าวเธอทรงกลับพื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ. กราบทูล
ว่า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาก็ทรงวิสัญญีภาพอีก.
ครั้งนั้น เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกพระองค์ขึ้นให้สรงสนาน เอาหม้อน้ำรดน้ำ
ลงบนพระเศียร.
พระราชาทรงจำได้แล้ว ลุกจากที่ประทับนั่งสยายพระเกศา ที่มีวรรณะ
ดั่งแก้วมณีอบด้วยของหอมทอดพระปฤษฏางค์ ที่มีวรรณะดังแผ่นทองคำ
เอาฝ่าพระหัตถ์ตบพระอุระ จับพระอุระที่มีวรรณะดังผลตำลึงทองคำ ประหนึ่ง
ว่าจะเสียบด้วยนิ้วพระหัตถ์อันกลมกลึง ที่มีวรรณะดุจหน่อแก้วประพาฬ ทรง
คร่ำครวญ เสด็จลงไปในระหว่างถนน ด้วยเพศของคนวิกลจริต ท้าวเธอมี
นางรำที่แต่งตัวแล้วเป็นบริวาร เสด็จออกจากพระนครไปยังสวนมะม่วงของ
หมอชีวกทอดพระเนตรสถานที่ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแสดงธรรม
พร่ำปริเทวนาการซ้ำ ๆ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สัพพัญญูประทับนั่งแสดง
ธรรมที่นี้ มิใช่หรือ ? ทรงบรรเทาความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ พระองค์
ทรงนำความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ออกไป ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้า
พระองค์มายังสำนักของพระองค์แล้ว แต่บัดนี้ พระองค์ไม่ประทานแม้คำโต้
ตอบแก่ข้าพระองค์ และตรัสคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าพระองค์สดับมาในเวลาอื่น มิใช่หรือ ? ว่าในเวลาเห็นปานนั้น พระองค์
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จจาริกไป ณ ภาคพื้นชมพูทวีป แต่บัดนี้
ข้าพระองค์ก็ได้แต่ฟังเรื่องอันไม่เหมาะ. ไม่ควร แก่พระองค์เลย แล้วทรง
รำลึกพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ทรงพระ
ดำริว่า อะไร ๆ ย่อมไม่สำเร็จได้ด้วยปริเทวนาการของเรา จำเราจักให้นำ
พระบรมธาตุของพระทศพลมา. ทรงสดับมาอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้ว เมื่อทรง
หายวิสัญญีภาพเป็นต้นแล้ว ก็โปรดส่งทูตไป. ท่านหมายเอาเรื่องนั้น จึงกล่าว
ว่า อถ โข ราชา เป็นอาทิ.

459
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 460 (เล่ม 13)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูตํ ปาเหสิ ได้แก่ ทรงส่งทูตและ
บรรณาคารไป. พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพระดำริว่า ถ้าพวกเจ้ามัลละจักให้ ก็เป็น
การดี ถ้าเขาไม่ให้ ก็จำเราจักต้องนำมาด้วยอุบาย นำมาให้ได้ดังนี้แล้ว ทรง
จัดกองทัพ ๔ เหล่า เสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง. แม้เหล่าเจ้าลิจฉวีเป็นต้น
ก็ส่งทูตไป เสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยกองทัพ ๔ เหล่าเหมือน
พระเจ้าอชาตศัตรูฉะนั้น. ถ้ามีคำถามว่า บรรดาเจ้าเหล่านั้น เจ้ามัลละชาวนคร
ปาวา มีระยะใกล้กว่าเขาทั้งหมด อยู่ในนครปาวาระยะ ๓ คาวุต แต่นครกุสิ-
นารา แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้านครปาวาแล้ว ก็ยังเสด็จไปนครกุสินารา
เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พวกเจ้ามัลละนครปาวา จึงไม่เสด็จมาเสียก่อน.
ตอบว่า เพราะว่าพวกเจ้าเหล่านั้น มีบริวารมาก เมื่อทำกิจกะปริวารที่มาก
จึงมาภายหลัง. บทว่า เต สงฺเฆ คเณ เอตทโวจุํ ความว่า พวกเจ้าและ
พราหมณ์ทั้งหมดเหล่านั้น รวมเป็นชาวนคร ๗ นคร พากันมาแล้ว ยื่นคำ
ขาดว่า เหล่าเจ้ามัลละจะให้พระบรมธาตุแก่พวกเราหรือจะรบ. แล้วตั้งทัพล้อม
นครกุสินาราไว้ เหล่าเจ้ามัลละก็ได้กล่าวคำโต้ตอบไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จปรินิพพานในคามเขตของพวกเรานี่.
ได้ยินว่า เจ้าเหล่านั้น ตรัสอย่างนี้ว่า พวกเราไม่ได้ส่งข่าวของพระ
ศาสดา พวกเราไปก็ไม่ได้นำข่าวมา แต่พระศาสดาเสด็จมาเอง ทรงส่งข่าวไป
รับสั่งให้เรียกพวกเรา แต่แม้พวกท่านก็ไม่ให้พระรัตนะที่เกิดในคามเขตของ
พวกท่านแก่พวกเรา ธรรมดาว่า พระรัตนะที่เสมอด้วยพระพุทธรัตนะไม่มีใน
โลก พร้อมทั้งเทวโลก พวกเราได้พระรัตนะอันสูงสุดเห็นปานนี้ จักไม่ยอมให้
ก็พวกท่านเท่านั้นดื่มน้ำนมจากถันของมารดา พวกเราไม่ได้ดื่มก็หาไม่. พวก
ท่านเท่านั้นเป็นลูกผู้ชาย พวกเราไม่ได้เป็นลูกผู้ชายหรือ เป็นไรก็เป็นกัน ต่าง
ทำอหังการส่งสาส์นโต้ตอบกัน ใช้มานะขู่คำรามต่อกันและกัน. ก็เมื่อมีการรบ

460
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 461 (เล่ม 13)

กัน ฝ่ายเหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารา น่าได้ชัยชนะ. เพราะเหตุไร ? เพราะเหล่า
เทวดาที่พากันมาเพื่อบูชาพระบรมธาตุ ต้องเป็นฝ่ายของเจ้ามัลละกรุงกุสินารา
เหล่านั้นแน่. แต่ในพระบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า เหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารากล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ยอมให้
ส่วนแบ่งแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
บทว่า เอวํ วุตฺเต โทโณ พฺราหฺมโณ ความว่า โทณพราหมณ์
สดับเรื่องการวิวาทของกษัตริย์พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ดำริว่า พวกเจ้าเหล่านี้
ก่อวิวาทกันในสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน เป็นการไม่สมควร การ
ทะเลาะกันนี้ ควรจะพอกันที จำเราจักระงับการวิวาทกันนั้นเสียดังนี้แล้ว ก็ไป
กล่าวข้อความนี้ แก่หมู่คณะ เจ้าเหล่านั้น. กล่าวว่าอย่างไร ? โทณพราหมณ์
ยืนในที่ดอน (สูง) ได้กล่าวคาถาที่ชื่อว่า โทณครรชิต (การบันลือของโทณ-
พราหมณ์) ประมาณ ๒ ภาณวาร. บรรดาภาณวารทั้ง ๒ นั้น ก่อนอื่น
พวกเจ้าเหล่านั้นไม่รู้แม้แต่บทเดียว. จบภาณวารที่ ๒ พวกเจ้าทั้งหมดพูดกันว่า
ผู้เจริญนั้นดูเหมือนเสียงของท่านอาจารย์นี่ ๆ แล้วก็พากันเงียบเสียง. เขาว่า
ในภาคพื้นชมพูทวีป คนที่เกิดในเรือนของตระกูลโดยมาก ชื่อว่า ไม่เป็นศิษย์
ของโทณพราหมณ์นั้นไม่มีเลย. ครั้งนั้น โทณพราหมณ์รู้ว่า เจ้าเหล่านั้น ฟัง
คำของตนแล้วเงียบเสียง นิ่งอยู่ จึงได้กล่าวซ้ำ ได้กล่าว ๒ คาถานี้ว่า สุณนฺตุ
โภนฺโต เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺหากํ พุทฺโธ แปลว่า พระพุทธเจ้า
ของพวกเรา. บทว่า อหุ ขนฺติวาโท ความว่า พระองค์แม้ไม่บรรลุพุทธภูมิ
ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ไม่ทรงทำความโกรธในคนอื่น ๆ ได้กระทำแต่ขันติ
อย่างเดียว ทรงสรรเสริญขันติอย่างเดียว สมัยเสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส
สมัยเป็นธรรมปาลกุมาร สมัยเป็นพระยาช้างฉัททันต์ สมัยเป็นพญานาคชื่อ

461