No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 442 (เล่ม 13)

นี้. บทว่า ญาณเมว ความว่า กระทำความเป็นผู้หมดความสงสัยให้ประจักษ์
ชื่อว่า ความรู้นั่นแลของตถาคตในข้อนี้ มิใช่เพียงความเชื่อ. บทว่า อิเมสญฺหิ
อานนฺท ความว่าบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่นั่งอยู่ภายในม่านเหล่านี้. บทว่า โย
ปจฺฉิมโก ความว่า ภิกษุใดต่ำสุดโดยคุณ. ท่านกล่าวหมายถึงพระอานนท์
เถระเท่านั้น. บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวงให้
สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรทม
ที่เตียงปรินิพพาน ประทานพระโอวาทที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงใน
บทคือความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น. ก็คำนี้ว่า ปจฺฉิม วาจา เป็นคำ
ของพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย ต่อแต่นี้ไป เพื่อจะแสดงข้อที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพาน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถ โข ภควา
ปฐมชฺฌานํ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรินิพฺพุโต ภนฺเต ความว่า ท่าน
พระอานนท์ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้านิโรธสมาบัติไม่มีอัสสาสปัสสาสะ จึง
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ. ท่านพระอนุรุทธตอบว่า ยัง
ผู้มีอายุ. พระเถระทราบเรื่อง. ได้ยินว่า พระเถระเข้าสมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับ
พระศาสดานั่นแล จึงรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากเนวสัญญานาสัญญา
ยตนะ แล้วดำเนินไป บัดนี้ เข้านิโรธสมาบัติ ชื่อว่าการทำกาละในภายใน
นิโรธสมาบัติไม่มี.
ในพระบาลีนี้ว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออกจากสัญญา
เวทยิตนิโรธเข้าเนวสัญญานาสัญญาตนะ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน เข้าจตุตถ-
ฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ ทุติยฌานในฐานะ ๑๓
ตติยฌานก็เหมือนกัน เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕. เข้าอย่างไร. คือเข้าปฐม
ฌานในฐานะ ๒๔ เหล่านี้ มีอสุภะ ๑๐ อาการ ๓๒ กสิณ ๘ เมตตา กรุณา

442
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 443 (เล่ม 13)

มุติตา อานาปานสติปริจเฉทากาส เป็นต้น. แต่เว้นอาการ ๓๒ และอสุภะ
๑๐ เข้าทุติยฌานในฐานะที่เหลือ ๑๓ และเข้าตติยฌานในฐานะ ๑๓ นั้นเหมือน
กัน. อนึ่ง เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕ เหล่านี้ คือกสิณ ๘ อุเบกขาพรหม
วิหาร อานาปานสติ ปริจเฉทากาส อรูป ๔. กล่าวโดยสังเขปเท่านี้. แต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธรรมสามี เสด็จเข้าพระนครคือปรินิพพาน เสด็จเข้า
สมาบัติทั้งหมดนับได้ ยี่สิบสี่แสนโกฏิ แล้วเข้าเสวยสุขในสนาบัติทั้งหมด
เหมือนคนไปต่างประเทศ กอดคนที่เป็นญาติฉะนั้น.
ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา
เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่ง
ปัจจเวกขณญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์
แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้
มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้วพิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้ว
ปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒
นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน
พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ.
สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำ มดดำ มดแดง
ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล. เรื่องแผ่น
ดินใหญ่ไหวเป็นต้น มีนัยดังกล่าวไว้แล้วแล.
บทว่า ภูตา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล ได้แก่
ปราศจากบุคคลที่เปรียบเทียบได้. บทว่า พลปฺปตฺโต คือ ผู้ถึงพลญาณ ๑๐.
บทว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ มีอันเกิดและดับเป็นสภาวะ. บทว่า เตสํ
วูปสโม ความว่า ความระงับสังขารเหล่านั้น ก็คือพระนิพพานอันไม่มี
ปัจจัยปรุงแต่งแท้จริง เป็นสุข. บทว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส คือไม่เกิด

443
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 444 (เล่ม 13)

อัสสาสปัสสาสะ. บทว่า อเนโช ชื่อว่า อเนชะ เพราะไม่มีกิเลสเป็นเครื่อง
ไหวคือตัณหา. บทว่า สนฺติมารพฺภ ได้แก่ ปรารภอาศัยหมายเอาอนุปาทิ-
เสสนิพพาน บทว่า ยํ กาลมกริ ผู้ใดได้กระทำกาละ. ท่านอธิบายว่า ผู้มี
อายุ พระพุทธมุนี คือศาสดาของเราพระองค์ใด ทรงปรารภสันติว่า เราจัก
ถึงสันติได้ทรงทำกาละแล้ว บัดนี้พระพุทธมุนีพระองค์นั้น มีจิตทั้งมั่นคงที่
ไม่เกิดอัสสาสปัสสาสะ คือไม่มีไม่เป็นไป. บทว่า อสลฺลีเนน คือด้วยจิตไม่
หดหู่ เบิกบานดีแล้วแล. บทว่า เวทนํ อชฺฌาวสยิ ทรงอดกลั้นเวทนาแล้ว
คือไม่กระสับกระส่าย เป็นไปตามอำนาจของเวทนา. บทว่า วิโมกฺโข ได้แก่
หลุดพ้นไม่ติดขัดด้วยธรรมอะไร ๆ ถึงความไม่มีบัญญัติ โดยประการทั้งปวง
เป็นเช่นเดียวกับความดับของไฟที่โพลงแล้ว. ท่านกล่าวว่า ตทาสิ หมายเอา
แผ่นดินไหวที่ท่านกล่าวไว้ในหนหลังอย่างนี้ว่า แผ่นดินใหญ่ไหวพร้อมกับ
ปรินิพพาน. จริงอยู่ความไหวแห่งแผ่นดินนั้น ทำให้เกิดขนลุก และน่าสะพรึง
กลัว. บทว่า สพฺพาการวรูเปเต แปลว่า เข้าถึงเหตุอันประเสริฐทั้งปวง.
บทว่า อวีตราคา ได้แก่ ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี.
จริงอยู่ ปุถุชน พระโสดาบันและพระสกทาคามีเหล่านั้นยังละโทมนัสไม่ได้.
เพราะฉะนั้น ท่านแม้เหล่านั้นประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ วางมือทั้งสอง
ไว้เหนือศีรษะร้องไห้. เรื่องทั้งหมดพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
บทว่า อุชฺฌายนฺติ คือ เทวดายกโทษกล่าวอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้ง
หลายไม่อาจอดกลั้นแม้ด้วยตนเองได้ จักปลอบโยนชนที่เหลือได้อย่างไร.
บทว่า กถํ ภูตา ปน ภนฺเต อนุรุทฺธ ความว่า ท่านผู้เจริญ พวกเทวดา
เป็นอย่างไร. พระอนุรุทธะกำหนดว่า เทวดาเหล่านั้นจะยับยั้งการปรินิพพาน
ของพระศาสดาได้หรือ. ต่อมา เพื่อจะแสดงความเป็นไปของเทวดาเหล่านั้น
พระเถระจึงกล่าวว่า สนฺตาวุโส เป็นต้น. คำนั้นมีข้อความที่กล่าวไว้แล้วทั้ง
นั้น.

444
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 445 (เล่ม 13)

บทว่า รตฺตาวเสสํ คือราตรีที่ยังเหลือระยะเวลาเล็กน้อยเพราะ
ปรินิพพานในเวลาใกล้รุ่ง. บทว่า ธมฺมิยา กถาย คือไม่มีธรรมกถาที่แยก
ออกไปเป็นอย่างอื่น. แต่ว่า พระเถระเจ้าทั้งสองยังเวลาให้ล่วงไปด้วยกถาที่
เกี่ยวด้วยมรณะเห็นปานนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระยามัจจุราชนี้ ไม่ละอาย
ต่อพระศาสดาผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็จะป่วยกล่าวไปใย
ว่าจะละอายต่อโลกิยมหาชน. ก็เมื่อพระเถระทั้งสองกล่าวกถาอยู่นั้น อรุณก็
ขึ้นโดยครู่เดียวเท่านั้น. บทว่า อถโข ความว่า เมื่ออรุณขึ้น พระเถระก็
กล่าวต่อพระเถระ.
บทว่า เตน กรณีเยน ความว่า กรณียะอันใดอย่างนี้ คือจะพึงจัด
สักการะมีดอกไม้และของหอมเป็นต้น ในที่ปรินิพพานเช่นไรหนอ. จะพึงจัด
ที่นั่งสำหรับภิกษุสงฆ์เช่นไร. จะพึงจัดขาทนียะ โภชนียะ เช่นไร. อันผู้รู้
เรื่องพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วจะพึงกระทำ พวกเจ้ามัลละประชุมกัน
ด้วยกรณียะเช่นนั้น. บทว่า สพฺพญฺจ ตาลาวจรํ ได้แก่ เครื่องดุริยางค์
ทุกชนิด. บทว่า สนฺนิปาเตถ ความว่า ตีกลองเรียกประชุม. เจ้ามัลละ
เหล่านั้น ได้กระทำกันอย่างนั้น. บทว่า มณฺฑลมาเล ได้แก่ นำมาลัยวง
ด้วยผ้า. บทว่า ปฏิยาเทนฺตา แปลว่า จัด. บทว่า ทกฺขิเณน ทกฺขณํ
คือ ทิศาภาคด้านทักษิณแห่งพระนคร. บทว่า พาหิเรน พาหิรํ ได้แก่ ไม่เข้า
ไปภายในพระนคร นำไปข้างนอก โดยข้างนอกพระนครนั่นแหละ. บทว่า
ทกฺขิณโต นครสฺส ความว่า ตั้งไว้ในสถานที่เช่นเดียวกับประตูด้านทักษิณ
ของกรุงอนุราธปุระ กระทำสักการะสัมมานะแล้วจักทำฌาปนกิจในสถานที่
เช่นเดียวกับพระเชตวัน.
บทว่า อฏฺฐ มลฺลปาโมกฺขา ได้แก่ พวกเจ้ามัสละรุ่นมัชฌิมวัย
สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง. บทว่า สีสํ นฺหาตฺวา ได้แก่ ชำระศีรษะอาบน้ำแล้ว.

445
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 446 (เล่ม 13)

บทว่า อายสฺมนฺตํ เถรํ ความว่า พระเถระผู้เดียวปรากฏว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุ
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเถระองค์อื่น ๆ แม้มีอายุ พวกเจ้ามัลละเหล่านั้น ก็
เรียนถามเฉพาะพระเถระ ด้วยประสงค์ว่า ท่านพระอนุรุทธเถระนี้ จักบอกแก่
พวกเราได้ชัดเจน. บทว่า กถํ ปน ภนฺเต เทวตานํ อธิปฺปาโย ความว่า
พวกเจ้ามัลละเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า ก่อนอื่น พวกเรารู้ความประสงค์ของ
พวกเรา แต่ความประสงค์ของเหล่าเทวดาเป็นอย่างไร. พระเถระเมื่อจะแสดง
ความประสงค์ของพวกเจ้ามิลละเท่านั้น จึงกล่าวว่า ตุมฺหากํ โข เป็นต้น.
คำว่า เจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ชื่อว่า มกุฏพันธนะนี้ เป็นชื่อของศาลา
มงคลเป็นที่แต่งพระองค์ของพวกเจ้ามัลละ. ก็ศาลานี้ ท่านเรียกว่าเจดีย์ เพราะ
อรรถว่า ท่านสร้างไว้อย่างงดงาม. ในคำว่า ยาว สนฺธิสมลสงฺกฏิรา นี้
ที่ต่อเรือน ชื่อว่าสันธิ บ่อกำจัดกองคูถ (บ่อคูถ) ชื่อว่า สมละ ที่เทขยะ
ชื่อว่า สังกฏิระ. บทว่า ทิพฺเพหิ จ มานุสเกหิ จ นจฺเจหิ ความว่า การ
ฟ้อนรำของเหล่าเทวดามี ณ เบื้องบน ของเหล่ามนุษย์มี ณ เบื้องล่าง. ในการ
ขับร้องเป็นต้น ก็นัยนี้. อนึ่ง ในระหว่างเหล่าเทวดา ก็มีเหล่ามนุษย์ ใน
ระหว่างเหล่ามนุษย์ก็มีเทวดา ทั้งเทวดาและมนุษย์ได้พากันไปสักการะบูชา
แม้ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
บทว่า มชฺเฌน มชฺฌํ นครสฺส หริตฺวา ความว่า เมื่อพระสรีระ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเขานำมาอย่างนี้ ภรรยาของพันธุลเสนาบดี ชื่อว่า
มัลลิกา ทราบว่า เขานำพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามา ก็คิดว่าเราจัก
ให้เขานำเครื่องประดับชื่อมหาลดาประสาธน์ เช่นเดียวกับเครื่องประดับของนาง
วิสาขา ซึ่งเราเก็บไว้ไม่ได้ใช้สอยมาตั้งแต่สามีของตนตายไป จักบูชาพระศาสดา
ด้วยมหาลดาประสาธน์นี้ ดังนี้แล้ว ให้ทำความสะอาดมหาลดาประสาธน์นั้น
ชำระด้วยน้ำหอมแล้ววางไว้ใกล้ประตู. เขาว่า เครื่องประดับนั้น มีอยู่ในสถาน

446
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 447 (เล่ม 13)

ที่ ๓ แห่ง คือ ที่เรือนของสตรีทั้งสองนั้น (นางวิสาขา และนางมัลลิกา) และ
เรือนของโจรชื่อว่า เทวนานิยะ. ก็นางมัลลิกานั้น กล่าวว่า เมื่อพระสรีระของ
พระศาสดามาถึงประตูแล้ว พ่อทั้งหลาย จงวางพระสรีระของพระศาสดา
ลงแล้ว สวมเครื่องประดับนี้ที่พระสรีระของพระศาสดา. เครื่องประดับ
นั้น สวมตั้งแต่พระเศียรจนจรดพื้นพระบาท พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ซึ่งมีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ ประดับด้วยมหาลดาประสาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ
๗ ประการ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก. นางมัลลิกานั้นเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีจิตผ่องใส
ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ จักโลดแล่นอยู่ใน
วัฏฏสงสารตราบใด ตราบนั้น กิจด้วยเครื่องประดับ จงอย่าแยกจากข้าพระ-
องค์ ขอสรีระจงเป็นเช่นเดียวกับเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่เป็นนิตย์เถิด. ครั้งนั้น
พวกเจ้ามัลลปาโมกข์ ยกพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเครื่องมหาลดาประ-
สาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ออกทางประตูทิศบูรพา วางพระสรีระของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าลง ณ มกุฏพันธนะเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละทางเบื้องทิศบูรพา
แห่งพระนคร.
บทว่า ปาวาย กุสินารํ ความว่า ท่านพระมหากัสสปะ เดินทางไกล
ด้วยหมายใจว่า จักเที่ยวไปบิณฑบาตในนครปาวาแล้วจักไปยังนครกุสินารา.
ในคำว่า นั่ง ณ โคนไม้นี้ เหตุไร ท่านจึงไม่กล่าวว่าพักกลางวัน. เพราะท่าน
ไม่นั่งเพื่อต้องการจะพักกลางวัน. ความจริง เหล่าภิกษุบริวารของพระเถระ
ล้วนแต่จำเริญสุข มีบุญมาก ท่านเดินทางด้วยเท้าบนแผ่นดินที่เสมือนแผ่นหิน
อันร้อนในเวลาเที่ยง พากันลำบาก. พระเถระเห็นภิกษุเหล่านั้น ก็คิดว่า
ภิกษุทั้งหลายพากันลำบาก ทั้งสถานที่ ๆ จะไปก็ยังอยู่ไกล จักพักเสียเล็กน้อย
ระงับความลำบาก ตอนเย็น ถึงนครกุสินาราจักเข้าเฝ้าพระทศพล จึงแวะลง
จากทาง ปูสังฆาฏิที่โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วเอาน้ำจากคณโฑน้ำลูบมือและเท้า

447
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 448 (เล่ม 13)

ให้เย็นแล้วนั่งลง. แม้เหล่าภิกษุบริวารของท่าน ก็นั่ง ณ โคนไม้ ใช้โยนิ
โสมนสิการทำกัมมัฏฐาน นั่งสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย. ดังนั้น ท่านจึงไม่
กล่าวว่าพักกลางวัน. เพราะนั่งเพื่อต้องการบรรเทาความเมื่อยล้า.
บทว่า มนฺทารวปุปฺผํ คเหตฺวา ได้แก่ เอาไม้เสียบดอกมณฑารพ
ขนาดถาดใหญ่ถือมาดังร่ม. บทว่า อทฺทสา โข ได้แก่ เห็นอาชีวกเดินมา
แต่ไกล. ก็แลครั้นเห็นแล้ว พระเถระคิดว่า นั่นดอกมณฑารพปรากฏอยู่ในมือ
ของอาชีวกนี่ ก็ดอกมณฑารพนั้น ไม่ปรากฏในถิ่นมนุษย์เสมอ ๆ จะมีก็ต่อเมื่อ
ผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ และต่อเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์
ของพระมารดาเป็นต้น แต่วันนี้ ผู้มีฤทธิ์ไร ๆ ก็ไม่ได้แสดงฤทธิ์นี่ พระศาสดา
ของเราก็ไม่เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา ไม่ได้เสด็จออกจากพระครรภ์
ทั้งวันนี้พระองค์ก็มิได้ตรัสรู้ ไม่ได้ประกาศพระธรรมจักร ไม่ได้แสดงยมก
ปาฏิหาริย์ ไม่ได้เสด็จลงจากเทวโลก ไม่ได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระศาสดา
ของเราทรงพระชรา จักเสด็จปรินิพพานเสียเป็นแน่แล้ว. ลำดับนั้น พระเถระ
เกิดจิตคิดว่า จักถามเขา จึงดำริว่า ก็ถ้าเรานั่งถาม ก็จักเป็นการกระทำความ
ไม่เคารพในพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงลุกขึ้น ห่มบังสุกุลจีวรสีเมฆที่พระทศพล
ประทาน ประหนึ่งพญาช้างฉัททันต์ หลีกออกจากที่ยืน คลุมหนังแก้วมณี
ฉะนั้น ยกอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมทานไว้เหนือเกล้า ผินหน้าตรงต่อ
อาชีวกด้วยคารวะที่ทำในพระศาสดา กล่าวถามว่า ผู้มีอายุ ท่านทราบข่าวพระ
ศาสดาของเราบ้างไหม.
ถามว่า ก็ท่านพระมหากัสสปะ รู้การปริพพานของพระศาสดา หรือ
ไม่รู้จึงถาม. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การรู้ของพระขีณาสพทั้งหลาย ต้องเนื่อง
ด้วยอาวัชชนะ ความนึก ก็ท่านพระมหากัสสปะนี้ไม่รู้ จึงถาม เพราะท่าน
ไม่ได้นึกไว้. พระเถระมากด้วยสมาบัติ ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยการมากไปด้วย

448
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 449 (เล่ม 13)

สมาบัติเป็นนิตย์ ในที่อยู่กลางคืน ที่พักกลางวัน ที่เร้นและที่มณฑปเป็นต้น
เข้าบ้านของตระกูลก็เข้าสมาบัติทุกประตูเรือน ออกจากสมาบัติแล้วจึงรับภิกษา
เขาว่า พระกระทำความตั้งใจอย่างนี้ว่า ด้วยอัตภาพสุดท้ายนี้ เราจักอนุเคราะห์
มหาชน ชนเหล่าใด ถวายภิกษาหรือทำสักการะด้วยของหอม... และดอกไม้
เป็นต้นแก่เรา ทานนั้นของชนเหล่านั้นจงมีผลมาก ดังนี้ เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงไม่รู้เพราะมากไปด้วยสมาบัติ. ดังนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าวว่า ท่านไม่รู้
จึงถาม. คำนั้น ไม่ควรถือเอา. เพราะว่าไม่มีเหตุที่จะไม่รู้ในข้อนั้น. การ
ปรินิพพานของพระศาสดา ได้เป็นการกำหนดไว้ชัดแล้วด้วยนิมิตทั้งหลาย
มีหมื่นโลกธาตุไหวเป็นต้น พระเถระผู้รู้อยู่จึงถามเพื่อให้เกิดสติแก่ภิกษุทั้งหลาย
ด้วยคิดว่า ก็ในบริษัทของพระเถระ ภิกษุบางเหล่าก็เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
บางเหล่าก็ไม่เคยเห็น บรรดาภิกษุเหล่านั้น แม้ภิกษุเหล่าใดเคยเห็นแล้ว
ภิกษุแม้เหล่านั้นก็ยังอยากจะเห็น แม้ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น แม้ภิกษุเหล่านั้น
ก็ยากจะเห็นเหมือนกัน บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น ภิกษุ
เหล่านั้นก็ไปเพราะกระหายที่จะเห็นยิ่งนัก ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ไหน
ทราบว่าปรินิพพานเสียแล้ว ก็จะไม่อาจจะดำรงตัวอยู่ได้ ทิ้งบาตรจีวร นุ่งผ้า
ผืนเดียวบ้าง นุ่งไม่ดีบ้าง ห่มไม่ดีบ้าง ทุบอกร่ำร้องไห้ ในที่นั้น ผู้คนทั้งหลาย
จักแสดงโทษของเราว่า เหล่าภิกษุผู้ถือบังสุกุลจีวริกังคธุดงค์ ที่มากับพระมหา
กัสสปะร้องไห้เสียเองเหมือนสตรี ภิกษุเหล่านั้นจักปลอบโยนพวกเราได้อย่างไร
ก็ป่าใหญ่นคงจะว่างเปล่า เมื่อภิกษุทั้งหลายร้องไห้เหมือนในที่นี้ ขึ้นชื่อว่า
โทษคงจะไม่มี เพราะรู้เรื่องเสียก่อน แม้ความโศกเศร้าก็คงจะเบาบางดังนี้.
บทว่า อชฺช สตฺตาหํ ปรินิพฺพุโต สมโณ โคตโม แปลว่า
นับถึงวันนี้ พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วันแล้ว. บทว่า ตโต เม อิทํ
ได้แก่ ดอกมณทารพนี้ ข้าพเจ้าเก็บมาแล้วแต่สถานที่ปรินิพพานของพระสมณ
โคดมนั้น.

449
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 450 (เล่ม 13)

บทว่า สุภทฺโท นาม วุฑฺฒปพฺพชิโต ความว่า คำว่า สุภัททะ
เป็นชื่อของภิกษุนั้น แต่เพราะภิกษุนั้น บวชในเวลาเป็นคนแก่ ท่านจึงเรียกว่า
วุฑฒบรรพชิต. ก็เพราะเหตุไร สุภัททะภิกษุนั้นจึงกล่าวอย่างนี้. เพราะ
อาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้า. ได้ยินว่า สุภัททะภิกษุนี้นั้น เคยเป็นช่างตัดผม
ในเมืองอาตุมานคร ที่มาในขันธกะ บวชเมื่อแก่ ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จออกจากนครกุสินาราไปยังอาตุมานครพร้อมกับภิกษุ ๒๕๐ รูป. พระผู้มี
พระภาคเจ้ากำลังเสด็จมา จึงคิดว่าจักกระทำยาคูทานถวายในเวลาเสด็จมา จึง
เรียกบุตร ๒ คน ซึ่งเตรียมตัวจะเป็นสามเณร บอกว่า พ่อเอ๋ย เขาว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมานคร พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๒๕๐ รูป
ไปเถิดพ่อ จงถือเครื่องมีดโกนพร้อมกับทะนานและถังไปทุกลำดับบ้านเรือน
จงรวบรวมเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของเคี้ยวบ้าง เราจักกระทำยาคู
ทานถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมา. บุตร ๒ คนนั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น.
ผู้คนเห็นเด็กเหล่านั้นมีเสียงเพราะ มีไหวพริบ บ้างประสงค์จักให้
กระทำ บ้างประสงค์จะไม่ให้กระทำ แต่ก็ให้กระทำทั้งนั้น ถามว่า พ่อเอ้ยเจ้า
จักรับไปในเวลาทำหรือ. เด็ก ๒ คนนั้นบอกว่า พวกข้าไม่ต้องการอะไรอื่น
แต่พ่อของเราประสงค์จะถวายยาคูทาน ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา.
ผู้คนได้ฟังดังนั้นแล้วก็ไม่ค่อยนำพา ยอมให้สิ่งที่เด็กทั้ง ๒ นั้น อาจนำไปได้
หมด ที่ไม่อาจนำไปได้ก็ส่งคนไป. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมา-
นครก็เข้าไปยังโรงลานข้าว ตกเย็น สุภัททะภิกษุก็ไปยังประตูบ้าน เรียก
มนุษย์มากล่าวว่า อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้รับอะไร ๆ อย่างอื่น
จากสำนักของท่านทั้งหลาย ข้าวสารเป็นต้นที่เด็กของข้าพเจ้านำมาเพียงพอแก่
สงฆ์ พวกท่านจงให้เพียงงานฝีมือเถิด. ถามว่า พวกข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเจ้าข้า.
สุภัททะภิกษุพูดว่า พวกท่านจงถือเอาสิ่งนี้ ๆ แล้วให้ถือเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด

450
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 451 (เล่ม 13)

ให้สร้างเตาไฟที่วิหาร ตนเองนุ่งกาสาวะดำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วสั่งว่า
จงทำสิ่งนี้ ครุ่นคิดอยู่ ตลอดทั้งคืน สละทรัพย์หนึ่งแสนให้เขาจัดยาคูสำหรับ
ดื่มกิน และน้ำผึ้ง น้ำอ้อยงบ. ยาคูที่พึงกินแล้วดื่ม ชื่อว่ายาคูสำหรับกินดื่ม.
ของมีเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ ดอกไม้ ผลไม้ และรสเป็นต้น
อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าของเคี้ยว ใส่ของเคี้ยวทั้งหมดลงในยาคูนั้น. คันธชาติ
ที่หอม ที่เขาใช้ทาศีรษะสำหรับผู้ต้องการเล่นกีฬาก็มี.
ครั้นเวลาเช้าตรู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติพระสรีรกิจแล้ว มีภิกษุ
สงฆ์แวดล้อม เสด็จบ่ายพระพักตร์เข้าไปยังอาตุมานครเพื่อเที่ยวบิณฑบาต.
ผู้คนทั้งหลายก็บอกแก่สุภัททะภิกษุนั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จเข้า
บ้านบิณฑบาต ท่านจัดยาคูไว้เพื่อใคร. พระสุภัททะภิกษุนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวะดำ
เหล่านั้น เอามือข้างหนึ่งจับทัพพีและกระบวย คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน ถวาย
บังคมดุจพรหมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรง
รับยาคูของข้าพระองค์เถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามและทรงฟัง
คำนั้นแล้ว ทรงติเตียนพระสุภัททะวุฑฒบรรพชิตนั้น. เพราะเรื่องนั้น ทรง
บัญญัติ ๒ สิกขาบทคือ สิกขาบทว่าด้วยการชักชวนในสิ่งเป็นอกัปปิยะ และ
สิกขาบทว่า ด้วยการรักษาเครื่องมีดโกน โดยนัยที่มาในขันธกะว่า พระตถาคต
แม้ทรงทราบ ก็ทรงถามดังนี้เป็นต้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่า
ภิกษุผู้แสวงหาโภชนะล่วงไปถึงหลายโกฏิกัป พวกเธอบริโภคโภชนะที่เป็น
อกัปปิยะของพวกเธอ อันเกิดขึ้นโดยไม่ชอบธรรม จักต้องไปบังเกิดในอบาย
ทั้งหลาย หลายแสนอัตภาพ จงหลีกไป อย่ามายุดยื้อ ดังนี้แล้ว ได้เสด็จ
บ่ายพระพักตร์ไปเที่ยวภิกษุ แม้ภิกษุรูปหนึ่ง ก็ไม่รับอะไร ๆ เลย.
พระสุภัททะเสียใจ ก็ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้านี้เข้าใจว่าเรารู้ทุกสิ่งจึงเที่ยวไป ถ้าไม่ทรงประสงค์จะรับ ก็ควรส่ง

451