No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 432 (เล่ม 13)

ภิเษก. ได้ยินว่า กษัตริย์เหล่านั้น สดับคำพรรณนาคุณของจักรพรรดินั้นว่า
ธรรมดาว่าพระเจ้าจักรพรรดิงาม น่าชม น่าเลื่อมใส สัญจรไปได้ทางอากาศ
เถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงธรรม เป็นธรรมราชาดังนี้ย่อมดีใจ ในเมื่อได้เห็น
สมด้วยได้ยินพระคุณ. บทว่า ภาสติ ได้แก่ ทรงกระทำปฏิสันถารว่า พ่อเอ๋ย
อย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญราชธรรม อย่างไรเรียกว่ารักษาประเพณี. แต่ใน
พราหมณ์ทั้งหลาย ทรงกระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านอาจารย์อย่างไร ชื่อว่า
สอนมนต์ เหล่าศิษย์ก็เรียนมนต์ พวกท่านจงทำทักษิณา ผ้า หรือโคแดง.
ในคฤหบดีทั้งหลาย ทรงทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย พวกท่านไม่ถูกเบียด
เบียนด้วยอาชญา หรือด้วยภาษีอากรจากพระราชามีบ้างหรือ ฝนตกต้องตาม
ฤดูกาลไหม ข้าวกล้าสมบูรณ์ไหม. ในสมณะทั้งหลายก็ทรงทำปฏิสันถารอย่าง
นี้ว่า ท่านเจ้าข้า บริขารสำหรับบรรพชิตหาได้ง่ายไหม พวกท่านอย่าประมาท
ในสมณธรรม.
บทว่า ขุทฺทกนครเก ได้แก่นครเล็ก ที่คับแคบ เป็นนครที่ยังต้อง
พัฒนา. บทว่า อุชฺชงฺคลนครเก ได้แก่ นครที่มีพื้นไม่เรียบ. บทว่า
สาขนครเก ได้แก่นครเล็กเสมือนกิ่งของนครใหญ่อื่น เหมือนกิ่งเล็ก ๆ ของ
ต้นไม้ทั้งหลายฉะนั้น. บทว่า ขตฺติยมหาสาลา ได้แก่ พระมหากษัตริย์ผู้เป็น
ขัตติยมหาศาล. ในบททั้งปวงก็นัยนี้. บรรดามหาศาลเหล่านั้น ที่ชื่อว่าขัตติย-
มหาศาลได้แก่เหล่ากษัตริย์ที่เก็บทรัพย์ไว้ร้อยโกฏิบ้าง พันโกฏิบ้าง จ่ายกหาปณ
ประจำวันออกไปวันละ ๑ เล่มเกวียน ตกเย็นกหาปณะรับเข้าวันละ ๒ เล่ม
เกวียน. ที่ชื่อว่าพราหมณมหาศาล ได้แก่เหล่าพราหมณ์ที่เก็บทรัพย์ไว้แปด
สิบโกฏิ จ่ายกหาปณะไปวันละ ๑ กุมภะ ตกเย็นรับเข้าวันละ ๑ เล่มเกวียน.
ที่ชื่อว่าคฤหบดีมหาศาล ได้แก่เหล่าคฤหบดีที่เก็บทรัพย์สมบัติไว้ ๔๐ โกฏิ
จ่ายกหปณะประจำวัน ๆ ละ ๕ อัมพณะ ตกเย็นรับเข้าวันละ ๑ กุมภะ.

432
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 433 (เล่ม 13)

บทว่า มา เหวํ อานนฺท อวจ ได้แก่ อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไม่ควรพูดว่า นี่นครเล็ก ความจริง เรา
ตถาคตมาที่นครนี้ ด้วยความอุตสาหะอย่างใหญ่ ด้วยความบากบั่นอย่างใหญ่
ยืน นั่ง หลายครั้ง ก็เพื่อจะกล่าวถึงสมบัติของนครนี้โดยแท้ แล้วจึงตรัสว่า
ภูตปุพฺพํ เป็นต้น.
บทว่า สุภิกฺขา ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยของเคี้ยวและของกิน. บทว่า
หตฺถิสทฺเทน ความว่า เมื่อช้างเชือกหนึ่งร้องขึ้น ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกก็ร้อง
ตาม ดังนั้น กุสาวดีราชธานี จึงไม่สงัดจากเสียงช้าง. จากเสียงม้าก็เหมือนกัน.
ก็สัตว์ทั้งหลายในราชธานีนี้มีบุญ มีรถที่เทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว ตามกัน
และกันสัญจรไปในระหว่างถนน ฉะนั้น จึงชื่อว่าไม่สงัดด้วยเสียงรถ. อนึ่ง
ดุริยางค์ มีกลองเป็นต้น ในนครนั้นก็ย่ำกันอยู่เป็นนิตย์. ดังนั้น จึงชื่อว่าไม่
สงัดจากเสียงกลองเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมสทฺโท ได้แก่
เสียงกังสดาล. บทว่า ตาลสทฺโท ได้แก่ เสียงตาลที่เคาะด้วยมือและตาลราง
สี่เหลียน. บางอาจารย์ กล่าวว่า กูฏเภริสทฺโท เสียงกลองกูฏ ดังนี้ก็มี. บทว่า
อสถ ปิวถ ขาทถ แปลว่า จงกิน จงดื่ม จงเคี้ยว. ก็ในเรื่องนี้มีความสังเขป
ดังนี้. กุสาวดีราชธานี ไม่สงัดจากเสียงที่สิบนี้ว่า เชิญบริโภคเถิด ท่านผู้
เจริญ มีเสียงไม่ขาดเลย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในนครอื่น ๆ มี
เสียงเห็นปานนี้ว่า พวกเจ้าจงทิ้งหยากเยื่อ จงถือจอบ จงถือกระเช้า เราจัก
ไปแรมคืน พวกเจ้าจงถือห่อข้าวสาร จงถือห่อข้าวสุก จงให้จัดโล่และอาวุธ
ดังนี้ฉันใด ในกุสาวดีนี้หามีเสียงเห็นปานนี้ฉันนั้นไม่. ก็แลครั้นตรัสว่าจาก
เสียงที่สิบ ดังนี้แล้ว ทรงจบมหาสุทัสสนสูตรทั้งหมดว่า ดูก่อนอานนท์
กุสาวดีราชธานีล้อมรอบด้วยกำแพง ๗ ชั้นแล้ว จึงตรัสว่า คจฺฉ ตฺวํ อานนฺท
ดังนี้เป็นต้น.

433
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 434 (เล่ม 13)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกมถ ความว่า พวกท่าน จงก้าว
มาข้างหน้า. ถามว่า ก็พวกเจ้ามัลละแห่งกรุงกุสินารา ไม่ทรงทราบว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมา ดอกหรือ. ตอบว่าทรงทราบ. ธรรมดาว่า ในสถานที่ๆ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไป ๆ ย่อมโกลาหลมากทั้งที่ยังไม่เสด็จมา ก็เพราะ
ทรงประชุมกันด้วยกรณียะบางอย่าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพวกเจ้า
มัลละเหล่านั้น มาแล้วจักต้องจัดโอกาสที่ยืนที่นั่งถวายแก่ภิกษุสงฆ์ จึงส่ง
พระอานนท์ไปที่สำนักของเจ้ามัลละเหล่านั้น แม้ในเวลาอันไม่ควร. โน อักษร
ในคำว่า อมฺหากํ จ โน นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อฆาวิโน ได้แก่ กุล-
ทุกข์. บทว่า เจโตทุกฺขสมปฺปิโต ได้แก่ผู้เปี่ยมด้วยโทมนัส. บทว่า กุล-
ปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวา ความว่า พวกเจ้ามัลละเป็นตระกูล ๆ
คือสังเขปว่า ตระกูล เป็นส่วน ๆ โดยอยู่ถนนเดียวกันและตรอกเดียวกัน.
บทว่า สุภทฺโท นาม ปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพพาชกผู้นุ่งห่มผ้า
จากตระกลอุทิจจพราหมณมหาศาล. บทว่า กงฺขาธมฺโม ได้แก่ธรรมคือ
ความเคลือบแคลง. ถามว่าก็เพราะเหตุไร สุภัททปริพพาชกนั้นจึงมีความคิด
อย่างนี้ในวันนี้. ตอบว่า เพราะมีอุปนิสัยอย่างนั้น. ได้ยินว่า แต่ก่อนได้มีพี่
น้อง ๒ คน ในการบำเพ็ญบุญ. พี่น้อง ๒ คนนั้น ได้กระทำข้าวกล้าร่วมกัน
ใน ๒ คนนั้น พี่ชายคิดว่าเราจักถวายทานข้าวกล้าอันเลิศปีละ ๙ ครั้ง. ฤดู
หว่าน ถวายเมล็ดอันเลิศ. ในฤดูข้าวตั้งท้องปรึกษากับน้องชายว่า จักผ่า
ท้องกล้าถวาย. น้องชายบอกว่า พี่ต้องการจะให้ข้าวกล้าอ่อนพินาศไปหรือ.
พี่ชายรู้ว่าน้องชายไม่ยินยอม จึงแบ่งนากัน ผ่าท้องข้าวจากส่วนของตน คั้นน้ำ
นม ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อย. ในฤดูเป็นข้าวเม่าก็ให้กระทำข้าวเม่าถวาย.
ในเวลาเกี่ยวก็ให้ถวายข้าวอันเลิศ. ในเวลามัดขะเน็ด ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศ
ในเวลาทำขะเน็ด. ในเวลาทำเป็นฟ่อนเป็นต้น ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศเวลาทำ

434
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 435 (เล่ม 13)

ฟ่อน ข้าวอันเลิศขณะขนไว้ในลาน ข้าวอันเลิศขณะนวด ข้าวอันเลิศในขณะ
อยู่ในฉาง. ได้ถวายทานเลิศในข้าวกล้าปีละ ๙ ครั้ง ดังกล่าวมาฉะนี้. ส่วน
น้องชายเสร็จทำนาแล้วจึงจะถวาย. ในพี่น้อง ๒ คนนั้น พี่ชายเกิดเป็นพระ
อัญญาโกณฑัญญเถระ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูว่า เราจะพึงแสดงธรรม
โปรดแก่ใครก่อนหนอ จึงทรงพระดำริว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ถวาย
ทานอันเลิศในข้าวกล้าปีละ ๙ ครั้ง เราจักแสดงธรรมอันเลิศนี้แก่เขา จึงทรง
แสดงโปรดก่อนคนอื่นทั้งหมด. ท่านดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับพรหม
๑๘ โกฏิ. ส่วนน้องชายล่าช้าคิดได้อย่างนี้ในเวลาพระศาสดาปรินิพพานเพราะ
ถวายทานในภายหลัง จึงได้เป็นผู้มีความประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา.
บทว่า มา ภควนฺตํ วิเหเฐสิ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเข้าใจว่า
ขึ้นชื่อว่า อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
มาก ๆ เพื่อประโยชน์แก่การแก้ปัญหานั้น ก็จักทรงลำบากทั้งทางกายและวาจา
ด้วยว่า โดยปกติพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงลำบากอยู่แล้วจึงกล่าวอย่างนี้.
ปริพพาชก ก็ตามใจพระเถระด้วยคิดว่า ภิกษุรูปนี้ ไม่ให้โอกาสแก่เราผู้ต้อง
การประโยชน์ ก็ได้แต่ตามใจ จึงกล่าว ๒-๓ ครั้ง. บทว่า อสฺโสสิ โข
ความว่า เมื่อพระเถระยืนพูดอยู่ใกล้ประตูม่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้ยิน
ด้วยพระโสตตามปกติ. ก็แลครั้น แล้วจึงตรัสว่า อลํ อานนฺท เป็นต้น เพราะ
พระองค์เสด็จมาด้วยอุตสาหะอันใหญ่ เพื่อโปรดสุภัททะนั่นแล. ศัพท์ว่า อลํ
ในคำว่า อลํ อานนฺท นั้น เป็นนิบาต. ได้ในอรรถว่า ปฏิเสธ. บทว่า
อญฺญาเปกฺโข ว แปลว่า เป็นผู้ใคร่จะรู้.
บทว่า อพฺภญฺญีสุ ได้เเก่ รู้อย่างที่เจ้าลัทธิเหล่านั้นปฏิญญา. ท่าน
อธิบายว่า ปฏิญญานั้นของเจ้าลัทธิเหล่านั้น เป็นนิยยานิกะไซร้ พวกเขาทั้ง
หมด ก็รู้ทั่วถึง ถ้าปฏิญญาของพวกเขาไม่เป็นนิยยานิกะไซร้ พวกเขาก็ไม่รู้

435
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 436 (เล่ม 13)

เพราะฉะนั้น ปฏิญญาของเจ้าลัทธิเหล่านั้น เป็นนิยยานิกะหรือไม่เป็นนิยยานิกะ.
ใจความของปัญหานั้น มีอย่างนี้เท่านั้น. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปฏิเสธว่า อย่าเลย เพราะไม่เป็นฐานะอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีโอกาสอย่างหนึ่ง
ด้วยการตรัสถึงความที่ปฏิญญาของเจ้าลัทธิเหล่านั้น ไม่เป็นนิยยานิกะ จึงทรง
แสดงธรรมอย่างเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาด้วยพระพุทธประสงค์ว่า
จักทรงแสดงธรรมโปรดพวกเจ้ามัลละตอนปฐมยาม แสดงธรรมโปรดสุภัททะ
ตอนมัชฌิมยาม สอนภิกษุสงฆ์ตอนปัจฉิมยาม เสด็จปรินิพพานในเวลาใกล้รุ่ง.
บทว่า สมโณปิ ตตฺถ น อุปลพฺภติ ความว่า ในธรรมวินัยนั้น
ไม่มีแม้สมณะที่ ๑ คือพระโสดาบัน แม้สมณะที่ ๒ คือพระสกทาคามี แม้
สมณะที่ ๓ คือพระอนาคามี แม้สมณะที่ ๔ คือพระอรหันต์ ก็ไม่มีในธรรม
วินัยนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสโดยไม่กำหนดเทศนาเบื้องต้น บัดนี้ เมื่อ
ทรงกำหนดศาสนาของพระองค์จึงตรัสว่า อิมสฺมึ โข เป็นต้น. บทว่า สุญฺญา-
ปรปฺปวาทา สมเณภิ ความว่า ปรัปปวาท (ลัทธิของเจ้าลัทธิอื่น) สูญว่าง
เปล่า จากสมณะ ๑๒ จำพวก คือผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อประโยชน์แก่มรรค ๔ รวม
๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวก. บทว่า
อิเม จ สุภทฺท ความว่า ภิกษุ ๑๒ จำพวกเหล่านี้. ในคำว่า สมฺมา วิหเรยฺยุํ
พระโสดาบันบอกฐานะที่ตนบรรลุแก่ผู้อื่นทำผู้อื่นนั้นให้เป็นโสดาบัน ชื่อว่าอยู่
โดยชอบ. ในพระสกทาคามีเป็นต้นก็นัยนี้. พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค
กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่า อยู่โดยชอบ. ในพระ
ผู้ตั้งอยู่ในมรรคที่เหลือก็นัยนี้. พระผู้เริ่มวิปัสสนา เพื่อโสดาปัตติมรรค
กำหนดกัมมัฏฐานที่ตนคล่องแคล่ว กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อ
โสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่าอยู่โดยชอบ. ในพระผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อมรรคที่เหลือก็

436
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 437 (เล่ม 13)

นัยนี้. ท่านหมายเอาความข้อนี้จึงกล่าวว่า สมฺมา วิหเรยฺยํ. บทว่า อสุญฺโญ
โลโก อรหนฺเตหิ อสฺส ความว่า พึงไม่ว่างเว้นเหมือนป่าไม้อ้อ ป่าไม้แขม.
บทว่า เอกูนตึส วยสา ได้แก่ ทรงมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาโดย
วัย. คำว่า ยํ ในคำว่า ยํ ปริพฺพชฺชึ นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า กึ กุสลา-
นุเอสี ได้แก่ ทรงเสาะแสวงว่าอะไรเป็นกุศลท่านประสงค์สัพพัญญุตญาณ ว่า
กุศลคืออะไร ในคำว่า กึ กุสลานุเอสี นั้น อธิบายว่า ทรงแสวงหาสัพพัญ-
ตญาณนั้น. ด้วยบทว่า ยโต อหึ ทรงแสดงว่า จำเดิมแต่กาลใด แต่ระหว่าง
นี้เราบวชมาเกิน ๕๐ พรรษา. บทว่า ญายสฺส ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมคือ
อริยมรรค. บทว่า ปเทสวตฺติ เป็นไปในประเทศคือ แม้ในทางแห่งวิปัสสนา.
บทว่า อิโต พหิทฺธา ภายนอกศาสนาของเรา. บทว่า สมโณปิ นตฺถิ แม้
สมณะผู้บำเพ็ญวิปัสสนา ผู้อยู่ในทางแห่งวิปัสสนาไม่มี ท่านอธิบายว่า สมณะ
ที่ ๑ แม้ที่เป็นโสดาบันไม่มี.
บทว่า เย เอตฺถ ความว่า เธอเหล่าใดอันพระศาสดาอภิเษกโดยอัน
เตวาสิกาภิเสก เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้ เป็นลาภของเธอเหล่านั้น เธอ
เหล่านั้นได้ดีแล้ว. ได้ยินว่า ในลัทธิภายนอก อาจารย์พูดกับอันเตวาสิกผู้ใดว่า
จงบรรพชาผู้นี้ จงโอวาทสั่งสอนผู้นี้ อันเตวาสิกผู้นั้นย่อมเป็นอันอาจารย์ตั้ง
ไว้ในฐานะของตน เพราะฉะนั้น ข้อเหล่านี้ว่า จงบวชผู้นี้ จงโอวาทสั่งสอน
ผู้นี้ เป็นลาภของอันเตวาสิกผู้นั้น. สุภัททปริพาชกถือลัทธิภายนอกนั้นนั่น
แหละ จึงกล่าวแม้กะพระเถระอย่างนี้.
บทว่า อลตฺถ โข แปลว่า ได้แล้วอย่างไร. ได้ยินว่า พระเถระ
นำสุภัททะนั้นไปในที่แห่งหนึ่งเอาน้ำจากคณโฑรดศีรษะบอกตจปัญจกกัมมัฏ-
ฐาน ปลงผมและหนวด ให้ครองผ้ากาสายะแล้วให้สรณะแล้วนำไปยังสำนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ให้อุปสมบทแล้ว ตรัสบอกกัมมัฏ-

437
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 438 (เล่ม 13)

ฐาน. เธอรับกัมมัฏฐานไว้แล้ว อธิษฐานจงกรมในที่ส่วนหนึ่งแห่งอุทยาน
พากเพียรพยายามชำระวิปัสสนาบรรลุอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้วมาถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งลง. ท่านหมายเอาอุปสมบทกรรมนั้นจึงกล่าวว่า
อจิรูปสมฺปนฺโน โข ปน เป็นต้น. ก็ท่านพระสุภัททะนั้น ได้เป็นปัจฉิมสักขี
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล. คำของพระสังคีติกาจารย์ว่า ในบรรดาสาวก
เหล่านั้น รูปใดบรรพชาเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภายหลัง
ได้อุปสมบทเรียนกัมมัฏฐานบรรลุพระอรหัตก็ดี ได้แม้อุปสมบท เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังเรียนกัมมัฏฐานบรรลุอรหัตก็ดี เรียน
แม้กัมมัฏฐานเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังบรรลุอรหัตก็ดี
แม้ทุกรูปนั้น ก็ชื่อว่าปัจฉิมสักขีสาวก. ส่วนท่านสุภัททะนี้ บรรพชาอุปสมบท
เรียนกัมมัฏฐานบรรลุพระอรหัต เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่.
จบกถาพรรณนาปัญจมภาณวาร.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงการประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ที่ทรงเริ่มไว้
นั้นจึงกล่าวคำว่า อถ โข ภควา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
เทสิโต ปญฺญตฺโต ความว่า ทั้งธรรมก็ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้ว ทั้งวินัย
ก็ทรงแสดงบัญญัติแล้ว. อธิบายว่า ชื่อว่าทรงบัญญัติ ได้แก่ทรงแต่งตั้งแล้ว.
บทว่า โส โว มมจฺจเยน ได้แก่ ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้ง
หลายโดยที่เราล่วงไป.
จริงอยู่ เรายังเป็นอยู่นี้แลแสดงอุภโตวิภังควินัย พร้อมทั้งขันธก
บริวารแก่เธอทั้งหลาย ในวัตถุที่จัดไว้ด้วยอำนาจกองอาบัติทั้ง ๗ ว่า นี้อาบัติ
เบา นี้อาบัติหนัก นี้อาบัติที่แก้ไขได้ นี้อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ นี้อาบัติที่เป็น
โลกวัชชะ นี้เป็นปัณณัติวัชชะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักบุคคล นี้อาบัติออก

438
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 439 (เล่ม 13)

ได้ในสำนักคณะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักสงฆ์. วินัยปิฎกแม้ทั้งสิ้นนั้น เมื่อ
เราปรินิพพานแล้วจักทำกิจของศาสดาของพวกท่านให้สำเร็จ. อนึ่ง เรายังเป็น
อยู่นี้แหละ ก็จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้แสดงสุตตันตปิฎกด้วยอาการนั้นว่า
เหล่านี้สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์
๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ สุตตันตปิฎกแม้ทั้งสิ้นนั้นจักทำกิจแห่งศาสดาของท่าน
ทั้งหลายให้สำเร็จ. อนึ่ง เรายังดำรงอยู่นี้แหละ จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้
คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ เหตุ ๙ อาหาร ๔
ผัสสะ ๗ เวทนา ๗ สัญญา ๗ สัญเจตนา ๗ จิตต์ ๗ แม้ในจิตนั้น ธรรม
เท่านี้ เป็นกามาวจร เท่านี้เป็นรูปาวจร เท่านี้เป็นอรูปาวจร เท่านี้เป็นธรรม
เนื่องกัน เท่านี้เป็นธรรมไม่เนื่องกัน เท่านี้เป็นโลกิยะ เท่านี้เป็นโลกุตตระ
แล้วแสดงอภิธรรมปิฎก เป็นสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประดับมหาปัฏฐานอนันตนัย
อภิธรรมปิฎกแม้ทั้งสิ้น เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จักทำกิจแห่งศาสดาของเธอ
ทั้งหลายให้สำเร็จ.
อนึ่ง พระพุทธวจนะนี้ทั้งหมด ที่เราภาษิตแล้ว กล่าวแล้ว ตั้งแต่
ตรัสรู้ จนถึงปรินิพพานมีมากประเภทอย่างนี้ คือ ปิฎก ๓ นิกาย ๕ องค์ ๙
แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์. พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ดำรงอยู่
ด้วยประการฉะนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงเหตุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า
เราจักปรินิพพานผู้เดียว อนึ่ง เราบัดนี้ก็โอวาทสั่งสอนผู้เดียวเหมือนกัน เมื่อ
เราปรินิพพานแล้ว พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ก็จักโอวาทสั่งสอน
ท่านทั้งหลาย ทรงโอวาทว่าธรรม วินัย นั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย
เมื่อเราล่วงไป แล้วเมื่อทรงย้ำแสดงจารีตในอนาคตกาล จึงตรัสว่า ยถา โข
ปน เป็นต้น.

439
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 440 (เล่ม 13)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุทาจรนฺติ ได้แก่ ย่อมกล่าวย่อมร้อง
เรียก. บทว่า นาเมน วา โคตฺเตน วา ได้แก่ นวกะพึงร้องเรียกโดยชื่อ
อย่างนี้ว่า ติสสะ นาคะ หรือโดยโคตรอย่างนี้ว่า กัสสปโคตร หรือโดยวาทะ
ว่า อาวุโส อย่างนี้ว่า อาวุโสติสสะ อาวุโสกัสสปะ บทว่า ภนฺเตติวา
อายสฺมาติวา ได้แก่ พึงเรียกอย่างนี้ว่า ภนฺเต ติสสะ อายฺสมา ติสสะ.
บทว่า สมูหนตุ ไคัแก่ เมื่อจำนงอยู่ จงถอน. อธิบายว่า ผิว่า
ปรารถนา. ก็พึงถอนเสีย. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่
ตรัสโดยส่วนเดียวว่า จงถอนเสีย แต่ตรัสด้วยคำเป็นวิกัป. ตอบว่า เพราะ
ทรงเห็นกำลังของมหากัสสปะ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงเห็นว่า
เมื่อตรัสว่า จงถอนเสีย พระมหากัสสปะจักไม่ถอนในเวลาทำสังคายนา เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสไว้ด้วยคำเป็นวิกัป นั่นและ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใน
ปัญจสติกสังคีติโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาพระเถระเหล่านั้นพระเถระบางเหล่า
กล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เสีย นอกนั้นก็เป็นอาบัติเล็กน้อย ๆ. ก็การ
วินิจฉัยในเรื่องอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาชื่อสมันตปาสาท-
ทิกา.
ก็อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนาคเสนรู้จักอาบัติเล็ก ๆ น้อย เพราะ
ถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ท่านพระนาคเสน อาบัติเล็กเป็นอย่างไร อาบัติ
น้อยเป็นอย่างไร ? ทูลตอบว่า มหาบพิตร ทุกกฏเป็นอาบัติเล็ก ทุพภาษิตเป็น
อาบัติน้อย. ส่วนพระมหากัสสปะเถระ เมื่อไม่รู้อาบัติเล็ก อาบัติน้อยนั้นจึง
ประกาศว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวก
เราที่เป็นส่วนของคฤหัสถ์ก็มีอยู่ แม้คฤหัสถ์ทั้งหลายก็รู้ว่า ข้อนี้ควรแก่ท่าน
ทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร ข้อนี้ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร
ถ้าเราจะถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ เสีย ผู้คนทั้งหลายก็จักว่ากล่าวเอาได้ว่า

440
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 441 (เล่ม 13)

สิกขาบทที่พระสมณโคดมบัญญัติเอาไว้แก่สาวกทั้งหลายอยู่ได้ชั่วควันไฟ สาวก
เหล่านี้ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบเท่าที่ศาสดายังดำรงอยู่ เพราะศาสดา
ของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานเสียแล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติในข้อที่ไม่ทรงบัญญัติ
ไม่พึงถอนในข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลาย
ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี้เป็นญัตติ. ท่านประกาศกรรมวาจาดังกล่าวมานี้. ข้อนั้น
ไม่ควรถืออย่างนี้ ก็ท่านพระนาคเสนกล่าวไว้อย่างนั้น ด้วยประสงค์จะไม่ให้
ปรวาที (ฝ่ายตรงกันข้าม) มีโอกาส. ท่านพระมหากัสสปเถระ ประกาศ
กรรมวาจานี้ก็ด้วยประสงค์จะไม่เพิกถอนอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ แล. แม้เรื่อง
พรหมทัณฑ์ท่านก็วินิจฉัยไว้แล้วในอรรถกถาวินัยชื่อสมันตปาสาทิกา เพราะ
มาแล้วในบาลีสังคีติ.
บทว่า กงฺขา คือ ทางสองแพร่ง. บทว่า วิมติ คือ ไม่สามารถจะ
วินิจฉัยได้. ความสังเขปในข้อนี้อย่างนี้ว่า ผู้ใดพึงบังเกิดความสงสัยว่า เป็น
พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้าหนอ เป็นพระธรรมหรือไม่ใช่พระธรรม
หนอ เป็นพระสงฆ์หรือไม่ใช่พระสงฆ์หนอ เป็นมรรคหรือมิใช่มรรคหนอ
เป็นปฏิปทาหรือไม่ใช่ปฏิปทาหนอ เราจะกล่าวข้อนั้นแก่เธอทั้งหลาย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เธอจงถามดังนี้. บทว่า สตฺถุคารเวนาปิ น ปุจฺเฉยฺยาก
ความว่า ถ้าพวกเธอไม่ถามด้วยความเคารพในศาสดาอย่างนี้ว่า พวกเราบวช
ในสำนักของพระศาสดา แม้ปัจจัย ๙ ก็เป็นของพระศาสดาของพวกเราเหล่า
นั้น ก็ไม่ควรจะทำความสงสัยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ในวันนี้ ไม่ควรจะทำ
ความสงสัยในกาลภาคหลัง. บทว่า สหายโกปิ ภิกฺขเว สหายกสฺส อาโร-
เจตุ ทรงแสดงว่า บรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดเห็นคบกันแล้วกับภิกษุใด ผืนนั้น
จงบอกภิกษุนั้นว่า ข้าพเจ้าจะบอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ท่านทั้งหลายฟังคำภิกษุนั้น
แล้วจักหมดความสงสัยทุกรูป. บทว่า เอวํปสนฺโน ความว่า ข้าพเจ้าเชื่ออย่าง

441