No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 422 (เล่ม 13)

ชอบยิ่ง เพราะเป็นปฏิปทาอันสมควร. ชื่อว่า สามีจิปฏิปนฺโน เพราะปฏิบัติ
ธรรมอันชอบยิ่ง. ชื่อว่า อนุธมฺมจารี เพราะประพฤติบำเพ็ญธรรมอันสมควร
กล่าวคือ บุพพภาคปฏิปทานั้นนั่นแล. ก็ศีล อาจารบัญญัติการสมาทานธุดงค์
สัมมาปทาถึงโคตรภูญาณ พึงทราบว่า ปุพพภาคปฏิปทา. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
ตั้งอยู่ในอคารวะ ๖ ละเมิดพระบัญญัติ เลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนา ภิกษุนี้ชื่อว่า
ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ส่วนภิกษุใดไม่ละเมิดสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้วแก่ตน
ทั้งหมดที่ขีดคั่นเขตแดนและเส้นบรรทัดของพระชินเจ้าแม้มีประมาณน้อย
ภิกษุนี้ ชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. แม้ในภิกษุณี ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ก็อุบาสกใดยึดเวร ๕ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประพฤติไว้แนบแน่น อุบาสกนี้ชื่อว่า
ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. ส่วนอุบาสกปฏิบัติให้สมบูรณ์ในสรณะ ๓
ศีล ๕ ศีล ๑๐ รักษาอุโบสถเดือนละ ๘ ครั้ง ถวายทาน บูชาด้วยของหอม
บูชาด้วยมาลา บำรุงมารดาบิดา บำรุงสมณพราหมณ์ อุบาสกผู้นี้ ชื่อว่าเป็น
ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แม้ในอุบาสิกา ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า ปรมาย ปูชาย แปลว่า ด้วยบูชาสูงสุด. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงไว้ว่า แท้จริง ชื่อว่า นิรามิสบูชานี้ สามารถดำรงพระศาสนาของเรา
ไว้ได้. จริงอยู่ บริษัท ๔ นี้จักบูชาเราด้วยการบูชานี้ เพียงใด ศาสนาของเราก็จะ
รุ่งเรืองดุจจันทร์เพ็ญลอยเด่นกลางท้องฟ้าฉะนั้น.
บทว่า อปสาเทสิ แปลว่า จงออกไป. บทว่า อเปหิ แปลว่า จง
หลีกไป. ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น พระเถระก็วางพัดใบตาลแล้วยืน ณ
ส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาความที่พระองค์ไม่มีอุปัฏฐาก
ประจำในปฐมโพธิกาลจึงตรัสคำนี้ว่า อุปฏฺฐาโก เป็นต้น. เมื่อพระเถระทูล
อย่างนี้ว่า นี้ท่านอุปวาณะเจ้าข้า. พระอานนท์กำหนดความที่พระอุปวาณะมี
ความผิดว่า เอาเถอะ เราจักกราบทูลความที่พระอุปวาณะนั้นไม่มีความผิด

422
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 423 (เล่ม 13)

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เยภุยฺเยน อานนฺท เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น
คำว่า เยถุยฺเยน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาอสัญญีสัตว์และอรูปเทวดาถูกเมินเฉย.
บทว่า อปฺผุโฏ ได้แก่ ไม่สัมผัส หรือไม่แตะต้อง.
ได้ยินว่า ในส่วนที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า เทวดาผู้มีศักดาใหญ่
เนรมิตอัตตภาพอันละเอียดในโอกาสเท่าปลายขนทราย ๑๐ องค์ๆ. ข้างหน้าแห่ง
เทวดา ๑๐ องค์ ๆ นั้น มีเทวดา ๒๐ องค์ ๆ. ข้างหน้าเทวดา ๒๐ องค์ ๆ
มีเทวดา ๓๐ องค์ ๆ ข้างหน้าเทวดา ๓๐ องค์ ๆ มีเทวดา ๔๐ องค์ ๆ ข้างหน้า
เทวดา ๔๐ องค์ ๆ มีเทวดา ๕๐ องค์ๆ ข้างหน้าเทวดา ๕๐ องค์ ๆ มีเทวดา
ยืนเฝ้าอยู่ ๖๐ องค์ ๆ เทวดาเหล่านั้นไม่เบียดกันและกันด้วยมือเท้าหรือผ้า. ไม่
มีเหตุที่จะพึงกล่าวว่า ออกไปอย่าเบียดเสียดเรา. เทวดาทั้งหลายก็เป็นเช่น
กับที่ตรัสไว้ว่า สารีบุตร เทวดาเหล่านั้นแล ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐
องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง ยืนในโอกาสแม้เพียงปลาย
เหล็กแหลมจรดกัน ไม่เบียดซึ่งกันและกันเลย.
บทว่า โอธาเรนฺโต แปลว่า ยืนบัง. ได้ยินว่า พระเถระร่างใหญ่
เช่นกับลูกช้าง ห่มผ้าบังสุกุลจีวร ก็ดูเหมือนใหญ่มาก.
บทว่า ตถาคตสฺส ทสฺสนาย ความว่า เทวดาทั้งหลาย เมื่อไม่
ได้เห็นพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงติเตียนอย่างนี้. ถามว่า ก็เทวดาเหล่านั้น
ไม่สามารถมองทะลุพระเถระหรือ. ตอบว่า ไม่สามารถสิ. ด้วยว่า เหล่าเทวดา
สามารถมองทะลุเหล่าปุถุชนได้ แต่มองทะลุเหล่าพระขีณาสพไม่ได้ ทั้งไม่อาจ
เข้าไปใกล้ด้วย. เพราะพระเถระมีอานุภาพมาก มีอำนาจมาก. ถามว่า ก็เพราะ
เหตุไรพระเถระจึงมีอำนาจมาก ผู้อื่นไม่เป็นพระอรหันต์หรือ. ตอบว่า เพราะ
ท่านเป็นอารักขเทวดาในเจดีย์ของพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่. เล่ากันว่า เมื่อพระ-
วิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ชนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์

423
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 424 (เล่ม 13)

องค์หนึ่ง บรรจุพระสารีริกธาตุสรีระอันเป็นเช่นกับแท่งทองคำทึบ. จริงอยู่
พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน ย่อมมีพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น คนทั้งหลาย
ใช้แผ่นอิฐทองยาว ๑ ศอก กว้างหนึ่งคืบ หนา ๘ นิ้ว ก่อพระเจดีย์นั้น
ประสานด้วยหรดาลและมโนศิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ำมันงาแทนน้ำ แล้ว
สถาปนาประมาณโยชน์หนึ่ง. ต่อนั้น ภุมมเทวดาก็โยชน์หนึ่ง จากนั้น ก็
อาสัฏฐกเทวดา จากนั้น ก็อุณหวลาหกเทวดา จากนั้น ก็อัพภวลาหกเทวดา
จากนั้น ก็เทวดาชั้นจาตุมมหาราช จากนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์สถาปนาโยชน์
หนึ่ง. พระเจดีย์จึงมี ๗ โยชน์ ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อผู้คนถือเอามาลัยของหอมและผ้าเป็นต้นมา อารักขเทวดาทั้งหลาย
ก็พากันถือดอกไม้มาบูชาพระเจดีย์ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นเห็นอยู่. ครั้งนั้น พระ
เถระนี้เป็นพราหมณ์มหาศาล ถือผ้าเหลืองผืนหนึ่งไป. เทวดาก็รับผ้าจากมือ
พราหมณ์นั้นไปบูชาพระเจดีย์. พราหมณ์เห็นดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสตั้งความ
ปรารถนาว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็จักเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์ของ
พระพุทธเจ้า เห็นปานนี้ ดังนี้แล้ว จุติ จากอัตภาพนั้น ก็ไปบังเกิดใน
เทวโลก. เมื่อพราหมณ์นั้นท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลกและเทวโลก พระกัสสปะ
ผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอุบัติในโลกแล้วปรินิพพาน. พระธาตุสรีระของพระองค์
ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น. ผู้คนทั้งหลายนำพระธาตุสรีระนั้น สร้างพระเจดีย์โยชน์
หนึ่ง. พราหมณ์เป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้น เมื่อพระศาสดาอันตรธาน
ไป. ก็บังเกิดในสวรรค์ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจุติจากสวรรค์นั้น
แล้ว ถือปฏิสนธิในตระกูลใหญ่ ออกบวชแล้ว บรรลุพระอรหัต. พึงทราบ
พระเถระมีอำนาจมากเพราะเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์มาแล้ว ด้วยประการ
ฉะนี้.

424
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 425 (เล่ม 13)

ด้วยบทว่า เทวตา อานนฺท อุชฺฌายนฺติ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงว่า ดูก่อนอานนท์ เหล่าเทวดาติเตียน มิใช่บุตรเรามีความผิดอะไรอื่น.
เพราะเหตุไร ท่านพระอานนท์ จึงทูลว่า พระเจ้าข้า เหล่าเทวดาเป็นอย่างไร
จึงใส่ใจ. ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า เหล่าเทวดา
ติเตียน ก็เหล่าเทวดานั้นเป็นอย่างไร จึงใส่ใจพระองค์จะยับยั้งการปรินิพพาน
ของพระองค์หรือ. เมื่อเป็นดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงภาวะที่
เหล่าเทวดาเหล่านั้นยับยั้งไม่ได้ว่า เราไม่กล่าวเหตุแห่งการยับยั้ง จึงตรัสว่า
สนฺตานนฺท เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากาเส ปฐวีสญฺญนิโย ได้แก่ เนรมิต
แผ่นดินในอากาศมีความสำคัญในอากาศนั้นว่าเป็นแผ่นดิน. บทว่า กนฺทนติ
แปลว่า ร้องไห้. บทว่า ฉินฺนปาทํ วิย ปปตนฺติ ได้แก่ ล้มฟาดลงดังขาด
กลางตัว. บทว่า วิวฏฺฏนฺติ ได้แก่ ล้มลงกลิ้งไป. อีกอย่างหนึ่ง ล้มกลิ้งไป
ข้างหน้าที ข้างหลังที ข้างซ้ายที ข้างขวาที เรียกกันว่ากลิ้งเกลือก. บทว่า
สนฺตานนฺท เทวตา ปฐวียํ ปฐวีสญฺญนิโย ความว่า ได้ยินว่า เหล่าเทวดา
ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ เหนือแผ่นดินปกติ. เหล่าเทวดาย่อมจมลงในแผ่นดินนั้น
เหมือนหัตถกพรหม. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนหัตถกะ
ท่านจงเนรมิตอัตภาพอย่างหยาบ. เพราะฉะนั้น ท่านหมายเอาเหล่าเทวดาที่
เนรมิตแผ่นดินในแผ่นดิน จงกล่าวว่า เหล่าเทวดามีความสำคัญในแผ่นดินว่า
เป็นแผ่นดิน. บทว่า วีตราคา ได้แก่ เหล่าเทวดาที่เป็นพระอนาคามีและ
ขีณาสพที่มีโทมนัสอันละได้แล้วเช่นเดียวกับเสาหิน.
บทว่า วสฺสํ วุฏฺฐา ความว่า ได้ยินว่า ครั้งพุทธกาล ภิกษุประชุมกัน
๒ เวลา คือ จวนเข้าพรรษาเพื่อรับกัมมัฏฐาน ๑ ออกพรรษาแล้วเพื่อบอก
กล่าวคุณวิเศษที่บังเกิดเพราะการประกอบเนืองๆซึ่งพระกัมมัฏฐานที่รับมาแล้ว ๑.

425
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 426 (เล่ม 13)

ครั้งพระพุทธกาลฉันใด แม้ในเกาะสีหลก็ฉันนั้น. ภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาข้าง
โน้นประชุมกันที่โลหประสาท ภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาอีกฝั่งหนึ่ง ก็ประชุมกัน
ที่ติสสมหาวิหาร. ในภิกษุ ๒ พวกนั้น ภิกษุพวกที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น
ถือเอาไม้กวาดสำหรับกวาดขยะทิ้งแล้วประชุมกันที่มหาวิหาร โบกปูนพระเจดีย์
ออกพรรษาแล้วก็มาประชุมกันที่โลหประสาท ทำวัตรอยู่ในที่อันผาสุก ออก
พรรษาแล้วก็มาสวดบาลีและอรรถกถาที่ตนช่ำชองแล้วที่โรงเรียนนิกายทั้ง ๕
ในโลหปราสาท. พิจารณาถึงภิกษุที่เรียนบาลีหรืออรรถกถาผิดพลาด ว่าท่าน
เรียนในสำนักใครให้ยึดถือไว้ให้ตรง. ฝ่ายภิกษุที่อยู่ในแม่น้ำคงคาอีกฝ่ายหนึ่ง
ก็ประชุมกันในติสสมหาวิหาร บรรดาภิกษุที่ประชุม ๒ เวลาอย่างนี้ ภิกษุ
เหล่าใดเรียนกัมมัฏฐานก่อนเข้าพรรษาไปแล้วกลับมาบอกคุณวิเศษ ท่านหมาย
เอาภิกษุเห็นปานนั้นจึงกล่าวว่า ปุพฺเพ ภนฺเต วสฺสํ วุตฺถา เป็นต้น.
บทว่า มโนภาวนีเย ได้แก่ให้เจริญแล้วอบรมแล้วด้วยใจ อธิบายว่า
ภิกษุเหล่าใดเจริญเพิ่มพูนมโนมนะ ลอยกิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้นเสีย ภิกษุ
เห็นปานนั้น. ได้ยินว่า พระเถระถึงพร้อมด้วยวัตรพบภิกษุแก่ก็แข็งไม่ยอมนั่ง
ออกไปต้อนรับ รับร่ม บาตรจีวรและเคาะตั่งถวาย เมื่อท่านนั่งในที่นั้นแล้ว
ก็ทำวัตรจัดเสนาสนะถวาย พบภิกษุใหม่ก็นิ่งยังไม่นั่ง เข้าไปหาใกล้ ๆ พระ-
เถระนั้นปราศจากความไม่เสื่อมแห่งวัตรปฏิบัตินั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้. ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า อานนท์ คิดว่าเราจักไม่ได้พบภิกษุที่น่า
เจริญใจ เอาเถอะ เราจักบอกสถานที่จะพบภิกษุผู้น่าเจริญใจแก่เธอ ที่เธอ
อยู่ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ก็จักได้พบเหล่าภิกษุที่น่าเจริญใจได้ ดังนี้ แล้วจึง
ตรัสว่า จตฺตาริมานิ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธสฺส ความว่า วัตรทั้งหมดมีเจติยัง-
คณวัตร เป็นต้น ที่เธอทำตั้งแต่เช้าย่อมปรากฏแก่กุลบุตรผู้มีจิตเลื่อมใสใน

426
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 427 (เล่ม 13)

พระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร. บทว่า ทสฺสนียานิ ได้แก่ ควรจะ
เห็น คือ ควรไปเพื่อจะเห็น. บทว่า สํเวชนียานิ ได้แก่ ให้เกิดสลดใจ. บทว่า
ฐานานิ ได้แก่เหตุหรือถิ่นสถาน. คำว่า เย หิ เกจิ นี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดง
ถึงการจาริกไปในเจดีย์มีประโยชน์. บรรดาบทเหล่านั้นด้วยบทว่า เจติยจาริกํ
อาหิณฺฑนฺตา ท่านแสดงว่าก่อนอื่นภิกษุเหล่าใด กวาดลานพระเจดีย์ในที่นั้นๆ
ชำระอาสนะ รดน้ำที่ต้นโพธิ์แล้วเที่ยวไป ในภิกษุเหล่านั้นไม่จำต้องกล่าวถึง
เลย. เหล่าภิกษุที่ออกไปจากวัดด้วยคิดว่า จักไปไหว้พระเจดีย์ในวัดโน้น มีจิต
เลื่อมใส แม้กระทำกาละในระหว่างๆก็จักบังเกิดในสวรรค์โดยไม่มีอันตรายเลย.
ด้วยบทว่า อทสฺสนํ อานนฺท ทรงแสดงว่า การไม่เห็นมาตุคามเสีย
ได้เลย เป็นข้อปฏิบัติธรรมอันสมควรในข้อนี้ จริงอยู่ ภิกษุเปิดประตูนั่งบน
เสนาสนะ ตราบใดที่ไม่เห็นมาตุคามที่มายืนอยู่ที่ประตู ตราบนั้น ภิกษุนั้น
ย่อมไม่เกิดโลภ จิตไม่หวั่นไหวโดยส่วนเดียวเท่านั้น. แต่เมื่อยังเห็นอยู่แม้ทั้ง
๒ อย่างนั้นก็พึงมี. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อทสฺสนํ
อานนฺท ด้วยบทว่า ทสฺสเน ปน ภควา สติ กถํ พระอานนท์ทูลถามว่า
เมื่อการเห็นในที่ ๆ ภิกษุเข้าไปรับภิกษาเป็นต้น ภิกษุจะพึงปฏิบัติอย่างไร.
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุรุษผู้ยืนถือมีดด้วยกล่าวว่า ถ้าท่านพูดกับ
เรา ๆ จะตัดศีรษะท่านเสียในที่นี้แหละ หรือนางยักษิณียืนพูดว่า ถ้าท่านพูด
กับเรา ๆ จะแล่เนื้อท่านเคี้ยวกินเสียในที่นี้ นี่แหละยังจะดีกว่า เพราะความ
พินาศเหตุมีข้อนั้นเป็นปัจจัย ย่อมมีได้อัตตภาพเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสวยทุกข์
ที่กำหนดไม่ได้ในอบายทั้งหลาย ส่วนเมื่อมีการเจรจาปราศรัยกับมาตุคามอยู่
ความคุ้นก็มี เมื่อมีความคุ้น ช่องทางก็มี ภิกษุผู้มีจิตถูกราคะครอบงำก็ถึงความ
พินาศแห่งศีล ต้องไปเต็มอยู่ในอบาย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า อนาลาโป ดังนี้. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า

427
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 428 (เล่ม 13)

บุคคลพึงพูดกับบุคคลผู้มีดาบในมือกับปีศาจ
นั่งชิดกับอสรพิษ ผู้ที่ถูกคนมีดาบ ปีศาจ อสรพิษ
ถัดแล้วย่อมไม่มีชีวิต ภิกษุพูดกับมาตุคามสองต่อ
สอง ก็ไม่มีชีวิตเหมือนกัน.
บทว่า อาลปนฺเน ปน ความว่า ถ้ามาตุคามถามวันขอศีล ใคร่ฟัง
ธรรม ถามปัญหา ก็หรือมีกิจกรรมที่บรรพชิตจะพึงทำแก่มาตุคามนั้น มาตุคาม
นั้น ก็จะพูดกะภิกษุผู้ไม่พูดในเวลาเห็นปานนี้ว่า ภิกษุองค์นี้เป็นใบ้ หูหนวก
ฉันแล้วก็นั่งปากแข็ง เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงพูดโดยแท้. ท่านพระอานนท์ทูล
ถามว่า พระเจ้าข้า ภิกษุเมื่อพูดอย่างนี้ จะพึงปฏิบัติอย่างไร. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระโอวาทที่ว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอจงตั้งจิตคิดว่ามารดาในสตรีปูนมารดา ตั้งจิตคิดว่าพี่สาวในสตรีปูนพี่สาว
ตั้งจิตคิดว่าลูกสาวในสตรีปูนลูกสาวจึงตรัสว่า อานนท์ พึงตั้งสติไว้.
บทว่า อพฺยาวฏา ได้แก่ไม่เกี่ยวพัน ไม่ขวนขวาย. บทว่า สทตฺเถ
ฆฏถ ได้แก่พยายามในพระอรหัตอันเป็นประโยชน์สูงสุด. บทว่า อนุยุญฺชถ
ได้แก่จงประกอบเนือง ๆ เพื่อบรรลุพระอรหัตนั้น . บทว่า อปฺปมตฺตา ได้แก่
ไม่อยู่ปราศจากสติ. ชื่อว่าผู้มีเพียร เพราะประกอบด้วยธรรมเครื่องย่างกิเลส
คือความเพียร ชื่อว่ามีตนส่งไป คือมีจิตส่งไปอยู่ เพราะเป็นผู้ไม่อาลัยใน
กายและชีวิต. ด้วยบทว่า กถํ ปน ภนฺเต ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ชน
เหล่านั้นมีกษัตริย์บัณฑิตเป็นต้น จะพึงปฏิบัติอย่างไร เขาจักสอบถามข้า
พระองค์แน่แท้ว่า ท่านอานนท์ เราจะพึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต
อย่างไร ข้าพระองค์จะให้คำตอบแก่เขาอย่างไร. บทว่า อหเตน วตฺเถน ได้
แก่ผ้าใหม่ที่ทำในแคว้นกาสี ไม่ซึมน้ำมัน เพราะเนื้อละเอียด แต่ผ้าสำลีซึม
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิหเตน กปฺปาเสน. บทว่า อยสาย ได้แก่
รางทอง. ก็รางทอง ท่านประสงค์เอาว่า อยสํ ในที่นี้.

428
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 429 (เล่ม 13)

ถามว่า ในคำว่า ราชา จกฺกวตฺติ เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ทรงอนุญาตการสร้างสถูปแก่พระราชาผู้อยู่กลางเรือนสวรรคตแล้ว ไม่ทรง
อนุญาตสำหรับภิกษุผู้มีศีล. ตอบว่า เพราะไม่อัศจรรย์. แท้จริง เมื่อทรง
อนุญาตสถูป สำหรับภิกษุปุถุชน ก็ไม่พึงมีโอกาสสำหรับสถูปทั้งหลายในเกาะ
สีหล ถึงในที่อื่น ๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น สถูปเหล่านั้น ไม่อัศจรรย์
เพราะเหตุนั้น จึงไม่ทรงอนุญาต. พระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดพระองค์เดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้น สถูปของพระองค์จึงอัศจรรย์. ส่วนสำหรับภิกษุปุถุชนผู้มีศีล จะ
ทำสักการะแม้อย่างใหญ่ อย่างภิกษุผู้ปรินิพพานก็ควรเหมือนกัน.
ส่วนโรงกลม ท่านประสงค์เอาว่าวิหารในคำว่า วิหาร นี้. เข้าไปสู่
วิหารนั้น. บทว่า กปิสีสํ ได้แก่ ไม้กลอนที่ตั้งอยู่ในที่ปลายเท้าแขนประตู.
บทว่า โรทมาโน อฏฺฐาสิ ความว่า ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์คิดว่า พระ
ศาสดาตรัสสถานที่อยู่ซึ่งให้เกิดความสังเวชแก่เรา ตรัสการจาริกไปในเจดีย์ว่า
มีประโยชน์ ตรัสตอบปัญหาเรื่องที่จะพึงปฏิบัติในมาตุคาม ตรัสบอกการปฏิบัติ
ในสรีระของพระองค์ ตรัสถูปารหบุคคล ๘ จำพวก วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรินิพพานแน่. เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วก็เกิดโทมนัสอย่างรุนแรง. ครั้งนั้น ท่าน
ปริวิตกอย่างนี้ว่า ชื่อว่า การร้องไห้ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ผาสุก เรา
จักไปในที่ส่วนหนึ่ง บรรเทาความโศกให้เบาบาง. ท่านได้ทำเหมือนอย่างนั้น.
ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์ยืนร้องไห้. บทว่า อทญฺจ วตมฺหิ
ตัดเป็น อหญฺจ วต อมฺหิ. ปาฐะว่า อหํ วตมฺหิ ดังนี้ก็มี. บทว่า โย มม
อนุกมฺปโก แปลว่า ผู้ใด อนุเคราะห์สั่งสอนเรา. พูดกันมาว่า ตั้งแต่วันพรุ่ง
นี้ เดี๋ยวนี้ เราจักถวายน้ำสำหรับล้างพระพักตร์แก่ใคร จะล้างพระบาทแก่ใคร
จักปฏิบัติเสนาสนะแก่ใคร จักรับบาตรและจีวรของใคร จาริกไป.

429
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 430 (เล่ม 13)

บทว่า อามนฺเตสุ ได้แก่ ไม่เห็นพระเถระในระหว่างจึงตรัสเรียก.
บทว่า เมตฺเตน กายกมฺเมน ได้แก่ ด้วยกายกรรม มีอันถวายน้ำล้างพระ
พักตร์เป็นต้น ที่ปฏิบัติไปด้วยอำนาจจิตมีเมตตา. บทว่า หิเตน ได้แก่ อัน
กระทำไปเพื่อความเจริญแห่งประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า สุเขน ได้แก่ อันกระ
ทำไปด้วยอำนาจสุขกาย สุขใจ. อธิบายว่า ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจ. บทว่า
อทฺวเยน ได้แก่ไม่กระทำให้เป็น ๒ ส่วน. ท่านอธิบายว่า ทำต่อหน้าไม่ทำลับ
หลังอย่างหนึ่ง ทำลับหลังไม่ทำต่อหน้าอย่างหนึ่ง ทำไม่แบ่งแยกอย่างนั้น.
บทว่า อปฺปมาเณน ได้แก่เว้นจากประมาณ. ทรงแสดงว่า จริงอยู่ แม้จักร
วาลคับแคบนัก แม้ภวัคคพรหมก็ต่ำนัก เพราะกายกรรมที่ท่านทำมา. บทว่า
เมตฺเตน วจีกมฺเมน ได้แก่วจีกรรม มีบอกเวลาล้างพระพักตร์เป็นต้น ที่
ปฏิบัติไปด้วยอำนาจจิตมีเมตตา. อีกอย่างหนึ่ง แม้ฟังโอวาทแล้วทูลว่า
สาธุ ภนฺเต ดีละ พระเจ้าข้า. จัดเป็นเมตตาวจีกรรมเหมือนกัน. บทว่า
เมตฺเตน มโนกมฺเมน ความว่า ด้วยมโนกรรมที่ปฏิบัติแต่เช้าตรู่ แล้วนั่ง
บนอาสนะอันสงัดแล้วปฏิบัติอย่างนี้ว่า ขอพระศาสดา จงเป็นผู้ไม่มีโรค ไม่มี
ทุกข์เบียดเบียน จงเป็นสุขเถิด. ด้วยคำว่า กตปุญฺโญสิ ทรงแสดงว่า ท่าน
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร (บุญเก่า) ตลอดแสนกัป. ด้วยบทว่า กตปุญฺโญ-
มฺหิ ทรงแสดงว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เธออย่าวางใจประมาท โดยที่แท้จง
ประกอบความเพียรเนือง ๆ เธอประกอบความเพียรเนือง ๆ อย่างนี้แล้ว จัก
เป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน จักบรรลุพระอรหัตในเวลาสังคายนาธรรม ก็
การปรนนิบัติที่เธอกระทำแก่พระพุทธเจ้าเช่นเราชื่อว่าไร้ผลหามิได้. ก็แลครั้น
ตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงเริ่มพรรณนาคุณของพระอานนท์ประหนึ่งแผ่ไปทั่วมหา
ปฐพี ประหนึ่งแผ่ไปทั่วอวกาศ ประหนึ่งยกสู่ยอดจักรวาลคีรี ประหนึ่งยก
สิเนรุบรรพต ประหนึ่งจับต้นหว้าใหญ่เขย่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย.

430
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 431 (เล่ม 13)

ในพระบาลีนั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า เยปิ
เต ภิกฺขเว เอตรหิ. เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ไม่มี. แต่พึงทราบ
คำนั้น โดยพระบาลีนี้ว่า พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ แม้ในระหว่างแห่งจักรวาล
ไม่มีฉันใด. บทว่า ปณฺฑิโต แปลว่า เฉียบแหลม. บทว่า กุลโล ได้แก่
ฉลาด ในธรรมมีขันธ์ธาตุ และ อายตนะ เป็นต้น.
บทว่า ภิกฺขุปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย ความว่า ชนเหล่าใด ประ-
สงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าไปหาพระเถระ และชนเหล่าใดมาได้ยิน
คุณของพระเถระว่า ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์น่าเลื่อมใสรอบด้าน งามน่าชม
เป็นพหุสูต ผู้งามในสงฆ์ ท่านหมายเอาชนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ภิกษุบริษัท
เข้าไปพบพระอานนท์. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า อตฺตมนา ชื่อว่า มีใจ
เป็นของตน คือมีจิตยินดีเพราะเห็นสมด้วยการฟังมา. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่
ธรรมคือปฏิสันถารเห็นปานนี้ว่าผู้มีอายุ พอทนได้หรือ พอเป็นไปได้หรือ
เธอจงทำกิจในโยนิโสมนสิการ จงบำเพ็ญอาจาริยวัตรและอุปัชฌายวัตร. ใน
ธรรมคือปฏิสันถารนั้น มีการกระทำที่ต่างกันในภิกษุณีทั้งหลายดังนี้ว่า ภิกษุณี
ทั้งหลาย ๔ พวก ท่านสมาทานประพฤติครุธรรม ๘ บ้างละหรือ. เมื่ออุบาสก
ทั้งหลายมาไม่กระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านไม่เจ็บปวดศีรษะหรืออวัยวะบ้าง
หรือ. แต่จะกระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านอุบาสกทั้งหลาย สรณะ ๓ เป็น
อย่างไร ท่านรักษาศีล ๕ รักษาศีลอุโบสถเดือน ๘ ครั้ง จงกระทำวัตรคือ
การบำรุงมารดาบิดา จงปฏิบัติสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม. ในอุบาสิกา
ทั้งหลายก็นัยนี้เหมือนกัน.
บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำข้อเปรียบเทียบกับพระเจ้าจักรพรรดิสำหรับ
พระอานนทเถระ. จึงตรัสว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบทเหล่า
นั้น บทว่า ขตฺติยา ได้แก่ชาติกษัตริย์ผู้ได้รับมุรธาภิเษก และมิได้รับมุรธา

431