บทว่า ปิเยหิ มนาเปหิ ความเป็นต่าง ๆ โดยชาติ ความละเว้นเพราะมรณะ
ความเป็นอย่างอื่นเพราะภพ (พลัดพราก) จากมารดา บิดา พี่ชาย พี่หญิง
เป็นต้น. คำว่า ตํ ในคำว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา แปลว่า เพราะฉะนั้น.
อธิบายว่า เพราะจะต้องพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักที่พอใจทั้ง
สิ้นแล ฉะนั้น ตถาคตบำเพ็ญบารมี ๑๐ ก็ดี บรรลุสัมโพธิญาณก็ดี ประกาศ
ธรรมจักรก็ดี แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ดี ลงจากเทวโลกก็ดี สรีระนั้นใดที่เกิดแล้ว
เป็นแล้ว ถูกปรุงแต่งแล้วมีความสลายไปเป็นธรรมดาขอสรีระแม้แห่งพระ
ตถาคตนั้นอย่าสลายไปเลยหนอ. นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ทั้งผู้ร้องไห้ทั้งผู้
คร่ำครวญก็สามารถจะได้ฐานะอันนั้น. บทว่า ปุน ปจฺจาคมิสฺสติ ความว่า
สิ่งที่ตถาคตสละแล้ว ตายแล้ว สิ่งนั้นก็จักกลับปรากฏอีกไม่ได้ดอก.
บทว่า ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ แปลว่า คือสาสนพรหมจรรย์ที่สงเคราะห์
ด้วยสิกขา ๓. บทว่า อทฺธนียํ แปลว่า ทนอยู่นาน. บทว่า จิรฏฺฐิติก
ได้แก่ ตั้งอยู่นานด้วยอำนาจเป็นนาน. บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา เป็น
อาทิ ทั้งหมดท่านกล่าวโดยเป็นโลกิยะและโลกุตตระ. ส่วนการวินิจฉัยในโพธิ
ปักขิยธรรมเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส ในวิสุทธิ
มรรคโดยอาการทั้งปวง. คำที่เหลือในที่นี้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบกถาพรรณนาตติยภาณวาร
บทว่า นาคาวโลกิตํ ความว่า เหมือนอย่างว่ากระดูกของมหาชนเอา
ปลายจดปลายตั้งอยู่เหมือนอัฏฐิของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่เกี่ยวกันเหมือนขอ
ช้าง ฉันใด อัฏฐิของพระพุทธเจ้าหาเหมือนฉันนั้นไม่. ด้วยว่าอัฏฐิของพระ
พุทธเจ้าคิดเป็นอันเดียวกัน เหมือนแท่งทองคำ เพราะฉะนั้น ในเวลาเหลียว
หลัง จึงไม่สามารถเอี้ยวพระศอได้ ก็พระยาช้าง ประสงค์ จะเหลียวดูช้าง