No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 402 (เล่ม 13)

บทว่า ปิเยหิ มนาเปหิ ความเป็นต่าง ๆ โดยชาติ ความละเว้นเพราะมรณะ
ความเป็นอย่างอื่นเพราะภพ (พลัดพราก) จากมารดา บิดา พี่ชาย พี่หญิง
เป็นต้น. คำว่า ตํ ในคำว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา แปลว่า เพราะฉะนั้น.
อธิบายว่า เพราะจะต้องพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักที่พอใจทั้ง
สิ้นแล ฉะนั้น ตถาคตบำเพ็ญบารมี ๑๐ ก็ดี บรรลุสัมโพธิญาณก็ดี ประกาศ
ธรรมจักรก็ดี แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ดี ลงจากเทวโลกก็ดี สรีระนั้นใดที่เกิดแล้ว
เป็นแล้ว ถูกปรุงแต่งแล้วมีความสลายไปเป็นธรรมดาขอสรีระแม้แห่งพระ
ตถาคตนั้นอย่าสลายไปเลยหนอ. นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ทั้งผู้ร้องไห้ทั้งผู้
คร่ำครวญก็สามารถจะได้ฐานะอันนั้น. บทว่า ปุน ปจฺจาคมิสฺสติ ความว่า
สิ่งที่ตถาคตสละแล้ว ตายแล้ว สิ่งนั้นก็จักกลับปรากฏอีกไม่ได้ดอก.
บทว่า ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ แปลว่า คือสาสนพรหมจรรย์ที่สงเคราะห์
ด้วยสิกขา ๓. บทว่า อทฺธนียํ แปลว่า ทนอยู่นาน. บทว่า จิรฏฺฐิติก
ได้แก่ ตั้งอยู่นานด้วยอำนาจเป็นนาน. บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา เป็น
อาทิ ทั้งหมดท่านกล่าวโดยเป็นโลกิยะและโลกุตตระ. ส่วนการวินิจฉัยในโพธิ
ปักขิยธรรมเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส ในวิสุทธิ
มรรคโดยอาการทั้งปวง. คำที่เหลือในที่นี้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบกถาพรรณนาตติยภาณวาร
บทว่า นาคาวโลกิตํ ความว่า เหมือนอย่างว่ากระดูกของมหาชนเอา
ปลายจดปลายตั้งอยู่เหมือนอัฏฐิของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่เกี่ยวกันเหมือนขอ
ช้าง ฉันใด อัฏฐิของพระพุทธเจ้าหาเหมือนฉันนั้นไม่. ด้วยว่าอัฏฐิของพระ
พุทธเจ้าคิดเป็นอันเดียวกัน เหมือนแท่งทองคำ เพราะฉะนั้น ในเวลาเหลียว
หลัง จึงไม่สามารถเอี้ยวพระศอได้ ก็พระยาช้าง ประสงค์ จะเหลียวดูช้าง

402
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 403 (เล่ม 13)

หลังต้องเอี้ยวไปทั้งตัวฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ต้องทรงเอี้ยวพระวรกายไป
ฉันนั้น. แต่พอพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่ประตูพระนคร ก็ทรงเกิดความ
คิดว่า จะทอดทัศนากรุงเวสาลี แผ่นมหาปฐพีนี้เหมือนจะกราบทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาหลายแสนโกฏิกัป มิได้ทรง
กระทำ คือเอี้ยวพระศอแลดู จึงเปรียบเหมือนล้อดิน กระทำพระผู้มี
พระภาคเจ้าให้บ่ายพระพักตร์มุ่งไปทางกรุงเวสาลี. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึง
กล่าวว่า นาคาวโลกิตํ นี้.
ถามว่า การทอดทัศนากรุงเวสาลี มิใช่เป็นปัจฉิมทัศนะอย่างเดียว
การทอดทัศนาแม้ในกรุงสาวัตถี กรุงราชคฤห์ เมืองนาลันทา บ้านปาฏลิคาม
โกฏิคาม และนาทิกคาม เวลาเสด็จออกจากที่นั้น ๆ ทั้งหมดนั้น ก็เป็นปัจฉิม
ทัศนะทั้งนั้นมิใช่หรือ เหตุไรในที่นั้นๆ จึงไม่เป็นการทอดทัศนาเป็นนาคาวโลก
(คือเป็นปัจฉิมทัศนะ). ตอบว่า เพราะไม่เป็นอัศจรรย์. จริงอยู่ พระผู้มีพระ
ภาคเจ้ากลับมาเหลียวดูในที่นั้น ข้อนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ชื่อว่า
ทรงเอี้ยวพระวรกายแลดู. อนึ่ง เหล่าเจ้าลิจฉวี กรุงเวสาลีใกล้พินาศ จักพินาศ
ไปใน ๓ ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น จึงสร้างเจดีย์ชื่อว่า
นาคาปโลกิตเจดีย์ ใกล้ประตูพระนคร จักบูชาเจดีย์นั้นด้วยสกัการะมีของหอม
และดอกไม้เป็นต้น ข้อนั้นก็จะมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขตลอดกาล
นาน เพราะฉะนั้น จึงเอี้ยวพระวรกายแลดูเพื่ออนุเคราะห์เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น.
บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกโร ได้แก่กระทำที่สุดแห่ววัฏฏทุกข์. บทว่า
จกฺขุมา ได้แก่ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕. บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ปรินิพพาน
ด้วยกิเลสปรินิพพาน.
บทว่า มหาปเทเส ได้แก่โอกาสใหญ่ หรือในข้ออ้างใหญ่
อธิบายว่า เหตุใหญ่ที่ท่านกล่าวอ้างผู้ใหญ่ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า

403
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 404 (เล่ม 13)

อนถินนฺทิตพฺพํ คืออันผู้ร่าเริงยินดีให้สาธุการควรฟังก่อนหามิได้. จริงอยู่เมื่อ
กระทำอยู่อย่างนี้ แม้ภายหลังถูกต่อว่า ว่าข้อนี้ไม่เหมาะสม ก็โต้ตอบได้ว่า
เมื่อก่อนข้อนี้เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ไม่เป็นธรรมหรือ ชื่อว่าไม่สละลัทธิ. บทว่า
น ปฏิกฺโกสิตพฺพํ ความว่า ไม่พึงกล่าวก่อนอย่างนี้ว่า คนพาลผู้นี้พูดอะไร.
ก็เมื่อถูกต่อว่า จักไม่พูดแม้แต่คำที่ควรจะพูด. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า อนภินนฺทิตฺวา อปฏิกฺโกสิตฺวา. บทว่า ปทพฺยญฺชนานิ ได้แก่
พยัญชนะกล่าวคือบท. บทว่า สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา ได้แก่ ถือเอาด้วยดีว่า
ท่านกล่าวบาลีไว้ในที่นี้ กล่าวความไว้ในที่นี้ กล่าวเบื้องต้นและเบื้องปลายไว้
ในที่นี้. บทว่า สุตฺเต โอตาเรตพฺพานิ ได้แก่พึงสอบสวนในพระสูตร.
บทว่า วินเย สนฺทสฺเสตพฺพานิ ได้แก่เทียบเคียงในพระวินัย.
ก็ในที่นี้ ที่ชื่อว่าสูตรได้แก่วินัย. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ห้ามไว้
ในที่ไหน ห้ามไว้ในเมืองสาวัตถี ห้ามไว้ในสุตตวิภังค์ (สุต ในที่นี้หมายถึง
วินัย) ที่ชื่อวินัย ได้แก่ขันธกะ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า โกสมฺพิยํ
วินยาติสาเร ในเรื่องละเมิดพระวินัย (วินัย ในที่นี้หมายถึงขันธกะ) ในเมือง
โกสัมพี. เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อว่าไม่ยึดถือวินัยปิฎก. ชื่อว่ายึดถือพระวินัยอย่าง
นี้คือ อุภโตวิภังค์ชื่อว่าสุตร ขันธกปริวาร ชื่อว่าวินัย. อีกนัยหนึ่ง ยึดถือปิฎก
ทั้ง ๒ อย่างนี้คือ สุตตันตปิฎก ชื่อว่าพระสูตร วินัยปิฎก ชื่อว่า วินัย. อีก
อย่างหนึ่ง ก่อนอื่น ไม่ยึดถือปิฎกทั้ง ๓ แม้อย่างนี้ สุตตันตปิฎก อภิธัมมปิฎก
ชื่อว่า สูตร วินัยปิฎก ชื่อว่า วินัย. ธรรมดาพุทธพจน์ไร ๆ ที่ชื่อว่าไม่ใช่สูตร
ก็มีอยู่ คือ ชาดก ปฏิสัมภิทา นิทเทส สุตตนิบาต ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ
วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา อปทาน.
ก็พระสุทินนเถระ คัดค้านคำนี้ทั้งหมดว่า พระพุทธวจนะ ชื่อว่าไม่ใช่
สูตรมีอยู่หรือดังนี้แล้วกล่าวว่า ปิฎก ๓ ชื่อว่าสูตร ส่วนวินัยชื่อว่าเหตุ. แต่นั้น

404
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 405 (เล่ม 13)

เมื่อจะแสดงเหตุนั้น จึงนำสูตรนี้มาอ้างว่า ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้น
อันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อมีราคะ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ เป็นไป
เพื่อประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากทุกข์ เป็นไปเพื่อมีอุปาทานไม่เป็นไป
เพื่อปราศจากอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความ
เกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อปราศจาก
ความสะสม. เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่น
ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา. ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ ไม่เป็นไปเพื่อราคะ เป็นไปเพื่อปราศ
จากความประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อปราศ
จากอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่เป็นไป
เพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ เป็นไป
เพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความสงัด
ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม ไม่เป็น
ไปเพื่อความสะสม เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย
นั่นเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา. เพราะฉะนั้น พึงสอบสวนในพระไตรปิฎก
พุทธวจนะ. ที่ชื่อว่าสูตร พึงเทียบเคียงในเหตุคือวินัยมีราคะเป็นต้น ที่ชื่อว่า
วินัย ความในข้อนี้มีดังกล่าวมาฉะนี้.
บทว่า น เจว สุตฺเต โอตรนฺติ ความว่า บทพยัญชนะเหล่านั้นไม่มา
ในที่ไหนๆ ตามลำดับสูตร ยกแต่สะเก็ดมาจาก คุฬหเวสสันตระ คุฬหอุมมัคคะ
คุฬหวินัย เวทัลละ และปิฎก ปรากฏอยู่. จริงอยู่ บทพยัญชนะที่มาอย่างนี้
แต่ไม่ปรากฏในการกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็พึงทิ้งเสีย. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มี

405
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 406 (เล่ม 13)

พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น เธอพึงทิ้งข้อนั้นเสีย. พึงทราบความ
ในที่ทุกแห่งด้วยอุบายนี้. คำว่า อิทํ ภิกฺขเว จตุตฺถํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถ
ความว่า เธอพึงทรงจำโอกาสเป็นที่ประดิษฐานแห่งธรรมข้อที่ ๔ นี้ไว้.
ก็ในที่นี้พึงทราบปกิณณกะดังนี้ว่า ในพระสูตร มีมหาปเทส ๔ ใน
ขันธกะ มีมหาปเทส ๔ ปัญหาพยากรณ์ ๔ สุตตะ ๑ สุตตานุโลม ๑ อาจาริย-
วาท ๑ อัตตโนมติ ๑ สังคีติ ๓.
ในปกิณณกะเหล่านั้น เมื่อถึงการวินิจฉัยธรรมว่านี้ธรรมนี้วินัย มหา
ปเทส ๔ เหล่านี้ถือเอาเป็นประมาณ ข้อใดสมในมหาปเทส ๔ เหล่านี้ ข้อ
นั้นควรถือเอา ข้อนอกนี้แม้ของผู้ถือผิด ก็ไม่ควรถือเอา. เมื่อถึงการวินิจฉัย
ข้อที่ควรและไม่ควรว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร มหาปเทส ๔ ที่ตรัสไว้ใน
ขันธกะโดยนัยว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร
หากว่าสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกันกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอ
ทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น ถือเอาเป็นประมาณ. กถาวินิจฉัยมหาปเทสเหล่านั้น
กล่าวไว้ ในอรรถกถาพระวินัยชื่อว่า สมันตปาสาทิกาโดยนัยที่กล่าวไว้ในที่นั้น
พึงทำสันนิษฐานอย่างนี้ว่า สิ่งใดที่เข้ากันได้กับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นควร นอกนั้น
ไม่ควร.
เอกังสพยากรณียปัญหา ๑ วิภัชชพยากรณียปัญหา ๑ ปฏิปุจฉาพยา-
กรณียปัญหา ๑ ฐปนียปัญหา ๑ เหล่านั้นชื่อว่า ปัญหาพยากรณ์ ๔. ในปัญหา
พยากรณ์ ๔ นั้น ถูกถามว่าจักษุไม่เที่ยงหรือ พึงพยากรณ์ก่อนโดยส่วนเดียว
ว่าไม่เที่ยงขอรับ. ในโสตะ เป็นต้นก็มีนัยนี้. นี้ชื่อว่า เอกังสกรณียปัญหา.
ถูกถามว่า จักษุหรือชื่อว่าไม่เที่ยง. พึงแจกแล้วพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไม่ใช่
จักษุเท่านั้น แม้แต่โสตะ ก็ไม่เที่ยง แม้ฆานะ ก็ไม่เที่ยง. นี้ชื่อว่า วิภัชช-
พยากรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุฉันใด โสตะ ก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุ

406
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 407 (เล่ม 13)

ก็ฉันนั้นเป็นต้น. จึงย้อนถามว่า ท่านถามด้วยอรรถว่าอะไร เมื่อเขาตอบว่า
ถามด้วยอรรถว่าเห็น จึงพยากรณ์ว่า ไม่ใช่. เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วย
อรรถว่าไม่เที่ยง จึงพยากรณ์ว่า ใช่. นี้ชื่อว่า ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา.
แต่ถูกถามว่า นั้นก็ชีวะ นั้นก็สรีระ เป็นต้น พึงหยุดเสียด้วยกล่าวว่า ข้อนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่พยากรณ์. ปัญหานี้ไม่พึงพยากรณ์. นี้ชื่อว่าปฐนียปัญหา.
ดังนั้น เมื่อปัญหามาถึงโดยอาการนั้น ปัญหาพยากรณ์ ๔ เหล่านี้ ถือเอาเป็น
ประมาณได้. พึงพยากรณ์ปัญหานั้นด้วยอำนาจปัญหาพยากรณ์ ๔ นี้.
ก็ปิฎก ๓ ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่า สุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็น
ต้น. ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะชื่อว่า สุตตานุโลม. อรรถกถาชื่อว่า อาจริยวาท.
ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่า อัตตโนมัติ. ในปกิณณกะ
เหล่านั้น สุตตะ ใคร ๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้าน
พระพุทธเจ้าด้วย. ส่วนข้อที่เข้ากับได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับ
สุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับ
สุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ส่วนอัตตโนมัติ เพลากว่าเขาทั้งหมด.
แม้อัตตโนมัตินั้น ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.
ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑) สัตตสติก
สังคีติ (ครั้งที่ ๒) สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓). แม้สุตตะ. เฉพาะที่มาในสังคีติ
๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ. นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.
จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น พึงทราบว่า ลงกันไม่ได้ใน
พระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.
บทว่า กมฺมารปุตฺตสฺส ได้แก่บุตรของนายช่างทอง เล่ากันมาว่า
บุตรของนายช่างทองนั้น เป็นกุฏุมพีให้ผู้มั่งคั่ง เป็นโสดาบัน เพราะเห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้าครั้งแรกเท่านั้น ก็สร้างวัดในสวนมะม่วงของตนมอบถวาย. ท่าน

407
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 408 (เล่ม 13)

หมายเอาสวนมะม่วงนั้น จึงกล่าวว่า อมฺพวเน. บทว่า สูกรมทฺทวํ ได้แก่
ปวัตตมังสะ ของสุกรที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง ไม่หนุ่มนัก ไม่แก่นัก. นัยว่า
ปวัตตมังสะนั้นนุ่มสนิท. อธิบายว่า ให้จัดปวัตตมังสะนั้น ทำให้สุกอย่างดี.
อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็คำว่าสูกรมัททวะนี้เป็นชื่อของข้าวสุกอ่อน ที่จัด
ปรุงด้วยปัญจโครส (ขีร นมสด ทธิ นมส้ม ฆตํ เนยใส ตกฺกํ เปรียง และ
โนนีตํ เนยแข็ง) และถั่ว เหมือนของสุกชื่อว่า ควปานะ ขนมผสมน้ำนมโค.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิธีปรุงรส ชื่อว่าสูกรมัททวะ ก็สูกรมัททวะนั้นมาใน
รสายนศาสตร์. สูกรมัททวะนั้น นายจุนทะตบแต่งตามรสายนวิธี ด้วย
ประสงค์ว่าการปรินิพพานจะยังไม่พึงมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่เหล่าเทวดา
ในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ใส่โอชะลงในสูกร
มัททวะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันลือสีหนาทนี้ว่า นาหนฺตํ เพื่ออะไร.
เพื่อทรงเปลื้องคำว่าร้ายของคนอื่น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า สดับคำของ
พวกที่ต้องการจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานสูกรมัททวะที่พระองค์
เสวยเหลือ ทั้งแก่ภิกษุ ทั้งแก่ผู้คนทั้งหลาย โปรดให้ฝังเสียในหลุม ทำให้เสียหาย
ดังนี้ จึงทรงบันลือสีหนาท เพื่อเปลื้องคำว่าร้ายของชนเหล่าอื่น ด้วยพระ
ประสงค์ว่า จักไม่มีโอกาสกล่าวร้ายได้.
บทว่า ภุตฺตสฺส สูกรมทฺทเวน ความว่า ความอาพาธอย่างแรงกล้า
เกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้เสวย แต่ไม่ใช่เกิดเพราะสูกรมัททวะที่เสวยเป็นปัจจัย.
ก็ผิว่า พระองค์ไม่เสวยก็จักเกิดอาพาธได้ และเป็นอาพาธอันแรงกล้าเสียด้วย.
แต่เพราะเสวยโภชนะอันสนิท พระองค์จึงมีทุกขเวทนาเบาบาง. ด้วยเหตุนั้น
นั่นแล พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินไปได้. บทว่า วิเรจมาโน ได้แก่พระ
องค์ทรงออกพระโลหิตอยู่เนือง ๆ. ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อโวจ ก็เพื่อประ-
โยชน์แก่ปรินิพพานในสถานที่ที่พระองค์มีพระพุทธประสงค์. พึงทราบความว่า
ก็พระธรรมสังคาหกเถระตั้งคาถาเหล่านี้ไว้.

408
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 409 (เล่ม 13)

ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าตักเตือน. บทว่า อจฺโฉทกา
แปลว่า มีน้ำใส. บทว่า สาโตทกา แปลว่า มีน้ำอร่อย. บทว่า สีโตทกา
แปลว่า น้ำเย็นสนิท. บทว่า เสโตทกา แปลว่า ปราศจากเปือกตม. บทว่า
สุปติฏฺฐา แปลว่า มีท่าดี.
บทว่า ปุกฺกุโส เป็นชื่อของบุตรเจ้ามัลละนั้น. บทว่า มลฺลปุตฺโต
แปลว่า บุตรของเจ้ามัลละ. ได้ยินว่า พวกเจ้ามัลละผลัดเปลี่ยนกันครองราช
สมบัติ. ตราบใดวาระของเจ้ามัลละเหล่าใดยังไม่มาถึง ตราบนั้นเจ้ามัลละ
เหล่านั้นก็กระทำการค้าขายไป. เจ้าปุกุสะแม้นี้ ก็ทำการค้าขายอยู่นั่นแล
จัดเกวียน ๕๐๐ เล่ม เมื่อลมพัดมาข้างหน้าก็ไปข้างหน้า เมื่อลมพัดมาข้างหลัง
ก็ส่งหมู่เกวียนไปข้างหน้าตนเองไปข้างหลัง. ในคราวนั้น ลมพัดไปข้างหลัง
เพราะฉะนั้น เขาจึงส่งหมู่เกวียนไปข้างหน้า นั่งบนยานบรรทุกรัตนะทั้งหมด
ออกจากเมืองกุสินารา เดินทางไป หมายจะไปเมืองปาวา. ด้วยเหตุนี้นั้นท่าน
จึงกล่าวว่า เดินทางไกลจากเมืองกุสินาราสู่เมืองปาวา.
บทว่า อาฬาโร เป็นชื่อของดาบสนั้น. ได้ยินว่า ดาบสนั้นมีร่าง
สูงและเหลือง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงมีชื่อว่า อาฬาระ. คำว่า กาลาโม
ได้แก่โคตร. คำว่า ยตฺร หิ นาม เท่ากับ โยหิ นาม. บทว่า เนว ทกฺขติ
แปลว่า ไม่เห็น. แต่ท่านกล่าวคำนี้ไว้เป็นอนาคตกาล เพราะประกอบกับ ยตฺร
ศัพท์. จริงอยู่ คำเห็นปานนี้ เป็นลักษณะศัพท์ในฐานะเช่นนี้. บทว่า
นิจฺฉรนฺตีสุ แปลว่าร่ำร้อง. บทว่า อสนิยา ผลนฺติยา ได้แก่ร้องไห้
โฮใหญ่ เหมือนฟ้าฝ่าแยกออก ๙ สาย.
ความจริง ฟ้าผ่ามี ๙ สาย คือ อสัญญา วิจักกา สเตรา คัคครา
กปิสีสา มัจฉวิโลลิกา กุกกุฏกา ทัณฑมณิกา และ สุกขาสนิ. บรรดาฟ้าผ่า
๙ นั้น ฟ้าผ่า ที่ชื่อว่าอสัญญา กระทำโดยไม่หมายรู้. ที่ชื่อว่าวิจักกา กระทำ

409
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 410 (เล่ม 13)

ล้ออันเดียว. ที่ชื่อว่า สเตรา ตกไปเช่นกับใบเรือ. ที่ชื่อว่าคัคครา ออกเสียง
ดุจไม้ค้อนตกไป. ที่ชื่อว่า กปิสีสา เป็นเหมือนลิงยักคิ้ว. ที่ชื่อว่ามัจฉวิโลลิกา
เป็นเหมือนปลาน้ำตาไหล. ที่ชื่อกุกกุฏกา ตกเหมือนไก่. ที่ชื่อว่า ทัณฑมณิกา
ตกเช่นกับทางไถ. ที่ชื่อว่า สุกขาสนิ เพิกสถานที่ที่ตกขึ้น (ผ่าขึ้น). บทว่า
เทเว วสฺสนฺเต ได้แก่คำรามกระหึ่มแห้ง ๆ เมื่อฝนตกเป็นระยะ ๆ.
บทว่า อาตุมายํ ความว่าได้อาศัยเมืองอาตุมาอยู่. บทว่า ภูสาคาเร
ได้แก่โรงลานข้าว. บทว่า เอตฺถ โส ได้แก่ หมู่มหาชนที่ชุมนุมกัน เพราะ
เหตุนี้. บทว่า กฺว อโหสิ เป็น กุหึ อโหสิ. บทว่า โส ตํ ภนฺเต เป็น
โส ตฺวํ ภนฺเต. บทว่า สิงฺคิวณฺณํ ได้แก่มีสีเหมือนทองสิงคี. บทว่า
ยุคมฏฺฐํ แปลว่า เกลี้ยงทั้งคู่. อธิบายว่า คู่ผ้าเนื้อละเอียด. บทว่า ธารณียํ
ได้แก่ พึงทรงไว้ อธิบายว่า พึงห่ม เป็นระยะ ๆ. เจ้าปุกกุสะนั้น ใช้
เฉพาะในวันมหรศพเห็นปานนั้นเท่านั้น ในเวลาอื่นก็ทิ้งไป. ท่านหมายเอาคู่
ผ้ามงคลสูงสุด จึงกล่าวไว้อย่างนี้. บทว่า อนุกมฺปํ อุปาทาย ได้แก่อาศัย
ความเอ็นดูในเรา. บทว่า อจฺฉาเทหิ นี้เป็นคำละเมียดละไม. อธิบายว่า
จงให้แก่เราหนึ่งผืน อานนท์หนึ่งผืน.
ถามว่า ก็พระเถระรับผ้านั้นหรือ. ตอบว่า รับสิ. เพราะเหตุไร.
เพราะมีกิจถึงที่สุดแล้ว. ความจริง ท่านพระอานนท์นั้น ห้ามลาภเห็นปานนั้น
ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากก็จริงอยู่ แต่หน้าที่อุปัฏฐากของท่านนั้น ถึงที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านจึงได้รับ. ก็หรือว่า ชนเหล่าใดพึงพูดอย่างนี้ว่า พระอานนท์
ที่จะไม่ยินดี ท่านอุปัฏฐากมาถึง ๒๕ ปี ไม่เคยได้อะไรจากสำนักของพระผู้มี
พระภาคเจ้าเลย. เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับเพื่อตัดโอกาสของชนเหล่านั้น.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงทราบว่า อานนท์แม้รับก็จักไม่ใช้ด้วยตนเอง
คงจักบูชาเราเท่านั้น แต่บุตรของเจ้ามัลละ เมื่อบูชาอานนท์ ก็จักเท่ากับบูชา

410
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 411 (เล่ม 13)

พระสงฆ์ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ กองบุญใหญ่ก็จักมีแก่บุตรเจ้ามัลละนั้น
เพราะฉะนั้น จึงโปรดให้ถวายพระเถระผืนหนึ่ง. ฝ่ายพระเถระจึงได้รับเพราะ
เหตุนั้นเหมือนกัน. บทว่า ธมฺมิยา กถาย ได้แก่กถากล่าวอนุโมทนาวัตถุทาน
บทว่า ภควโต กายํ อุปนามิตํ ได้แก่คล้องไว้โดยทำนองนุ่งห่ม.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่งจากคู้ผ้านั้น. บทว่า หตจฺจิกํ
วิย ความว่า ถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว ย่อมโชติช่วงข้างใน ๆ เท่านั้น แต่
แสงแห่งถ่านเพลิงนั้นไม่มีข้างนอกฉันใด คู่ผ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรากฏว่า
ขาดแสงภายนอก.
ถามว่า ในคำว่า อิเมสุ โข อานนฺท ทฺวีสุ กาเลสุ เหตุไร
กายของพระตถาคตจึงบริสุทธิ์อย่างยิ่งอย่างนี้ในกาลทั้ง ๒ นี้. ตอบว่า เพราะ
ความวิเศษแห่งอาหารอย่างหนึ่ง เพราะโสมนัสมีกำลังอย่างหนึ่ง. ในกาลทั้ง ๒
นี้ เหล่าเทวดาในสากลจักรวาล ใส่โอชะลงในอาหาร. ก็โภชนะนั้นตกถึงท้อง
ก็ก่อปสันนรูป. อินทรีย์ที่มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก เพราะมีรูปที่มีอาหาร
เป็นสมุฏฐานสดใส. ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงระลึกว่า กองกิเลสที่เราสั่ง
สมมาหลายแสนโกฏิกัป วันนี้เราละได้แล้วหนอ จึงเกิดโสมนัสมีกำลังขึ้น.
จิตก็ใส. เมื่อจิตใส โลหิตก็ใส. เมื่อโลหิตใส อินทรีย์มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรือง
อย่างยิ่ง. ในวันปรินิพพาน ทรงรำลึกว่า วันนี้เดี๋ยวนี้ เราจะเข้าไปสู่นคร
อมตมหาปรินิพพาน ที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์เข้าไปแล้ว ดังนี้ จึง
เกิดโสมนัสมีกำลังขึ้น. จิตก็ใส เมื่อจิตใส โลหิตก็ใส เมื่อโลหิตใส อินทรีย์
มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรืองอย่างยิ่ง. พึงทราบว่า พระวรกายของพระตถาคต
บริสุทธิ์อย่างยิ่ง มีในกาลทั้ง ๒ นี้ ด้วยอาหารและโสมนัสมีกำลังด้วยประการ
ฉะนี้.

411