No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 392 (เล่ม 13)

อายุสังขาร. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงปลงอายุสังขาร เหมือนเอา
มือทิ้งก้อนดิน. ทรงเกิดจิตคิดว่า จักทรงเข้าสมาบัติไม่ขาดระยะเพียง ๓ เดือน
เท่านั้น ต่อแต่นั้นจักไม่เข้า. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวว่า โอสฺสชฺชิ
ปาฐะว่า อุสฺสชฺชิ ดังนี้ก็มี.
บทว่า มหาภูมิจาโล ได้แก่ มหาปฐพีหวั่นไหว. ได้ยินว่าครั้งนั้น
หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว. บทว่า ภึสนโก ได้แก่เกิดความน่ากลัว. บทว่า
เทวทุนฺทภิโยว ผลึสุ ได้แก่ เหล่ากองทิพย์ก็บันลือลั่น เมฆฝนก็กระหึ่ม
ครึมครางดั่งฤดูแล้ง สายฟ้ามิใช่ฤดูกาลก็แลบแปลบปลาบ. ท่านอธิบายว่า
ฝนตกชั่วขณะ.
ในคำว่า อุทานํ อุทาเนสิ ถามว่า ทรงอุทานเพราะเหตุไร. ตอบว่า
เพราะได้ยินว่า ชื่อว่าใคร ๆ จะพึงพูดว่า พระผู้มีพระภาคเข้า ถูกมารติดตามไป
ข้างหลัง ๆ อ้อนวอนรบกวนว่า โปรดปรินิพพานเถิด พระเจ้าข้า ๆ ทรงปลง
อายุสังขารเพราะกลัว จึงทรงเปล่งพระอุทานที่เปล่งด้วยกำลังปีติ เพื่อแสดง
ความข้อนี้ว่า ชื่อว่าคำอุทานย่อมไม่มีแก่ผู้กลัวว่า ขอมารอย่ามีโอกาสเลย.
ในอุทานนั้น ชื่อว่า ตุละ เพราะชั่งกำหนดโดยภาวะที่ประจักษ์ของสัตว์
มีสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้นทั้งหมด. กรรมที่ชั่งได้นั้นเป็นอย่างไร. ได้แก่
กรรมฝ่ายกามาวจร. ชื่อว่า ตุละ เพราะชั่งไม่ได้. หรือ โลกิยกรรมอย่างอื่น
ที่เทียม ที่เหมือนกับกามาวจรกรรมนั้นไม่มี. กรรมที่ชั่งไม่ได้นั้นเป็นอย่างไร.
ได้แก่ กรรมฝ่ายมหัคคตะ. อีกอย่างหนึ่ง กามาวจรกรรม รูปาวจรกรรม
จัดเป็นตุละ อรูปาวจรกรรม จัดเป็นอตุละ. อีกอย่างหนึ่งกรรมที่มีวิบากน้อย
ชื่อว่า ตุละ ที่มีวิบากมาก ชื่อว่า อตุละ. บทว่า สมฺภวํ ได้แก่กรรมที่กระทำ
เป็นก้อน อธิบายว่า กระทำเป็นกองอันเป็นเหตุเกิด. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่
กรรมที่แต่งภพใหม่. บทว่า อวสฺสชฺชิ ได้แก่ ปลง. บทว่า มุนี ได้แก่

392
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 393 (เล่ม 13)

พระมุนี คือ พระพุทธเจ้า. บทว่า อชฺฌตฺตรโต คือ ยินดีภายในแน่นอน.
บทว่า สมาหิโต คือ ตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ.
บทว่า อภินฺทิ กวจมิว ได้แก่ทำลายกิเลส ดุจเกาะ. บทว่า อตฺตสมฺภวํ
ได้แก่กิเลสที่เกิดแล้วในตน. ท่านอธิบายไว้ว่า พระมุนีทรงปลดปล่อยโลกิย-
กรรม กล่าวคือตุลกรรมและอตุลกรรม ที่ได้ชื่อว่า สัมภวะ เพราะอรรถว่ามี
วิบาก ว่าภวสังขาร เพราะอรรถว่า ปรุงแต่งภพและทรงยินดีภายใน ตั้งมั่น
แล้ว ทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือนนักรบใหญ่ในสนามรบทำลายเกาะ
ฉะนั้น.
อีกนัยหนึ่ง บทว่า ตุลํ ได้แก่ ชั่งคือ พิจารณา. บทว่า อตุลญฺจ
สมฺภวํ ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่กรรมที่ไปสู่
ภพ. บทว่า อวสฺสชฺชิ มุนี ความว่า พระมุนีคือพระพุทธเจ้าทรงพิจารณา
โดยนัยเป็นอาทิว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง ความดับปัญจขันธ์คือ นิพพานเป็นของ
เที่ยงแล้ว ทรงเห็นโทษในภพ และอานิสงส์ในนิพพานแล้วทรงปลดปล่อยด้วย
อริยมรรค อันกระทำความสิ้นกรรมที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า กรรมเครื่องปรุง
แต่งภพ อันเป็นมูลแห่งขันธ์ทั้งหลายนั้น เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมดังนี้.
พระองค์ทรงยินดีในภายใน ตั้งมั่นแล้ว ทรงทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือน
เกราะได้อย่างไร. ความจริง พระมุนีนั้น ทรงยินดีในภายใน ด้วยอำนาจ
วิปัสสนา ทรงตั้งมั่นด้วยอำนาจสมถะ รวมความว่า พระองค์ทรงทำลายข่าย
คือกิเลสทั้งหมด ที่ตั้งรึงรัดอัตภาพดุจเกราะ ที่ได้ชื่อว่า อัตตสัมภวะ เพราะ
เกิดในตนด้วยกำลังสมถะและวิปัสสนา ตั้งแต่เบื้องต้น และละกรรมด้วยการ
ละกิเลสอย่างนี้ว่า กรรมที่ทำโดยไม่มีกิเลส ชื่อว่ายังเหลืออยู่ เพราะไม่มีปฏิสนธิ.
พึงทราบว่า ชื่อว่าความกลัวของผู้ละกิเลสได้แล้วไม่มี เพราะฉะนั้น พระมุนีไม่
ทรงกลัวแล้ว จึงทรงปลงอายุสังขาร เพราะเหตุนั้น จึงทรงเปล่งอุทาน เพื่อ
ให้รู้ว่าไม่ทรงกลัว.

393
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 394 (เล่ม 13)

บทว่า ยํ มหาวาตา ความว่า โดยสมัยใด หรือในสมัยใด ลมใหญ่
ย่อมพัด. บทว่า มหาวาตา วายนฺตา ได้แก่ธรรมดาว่า ลมอุกเขปกะเมื่อ
เกิดขึ้น ก็พัดตัดลมที่อุ้มน้ำหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ขาดสะบั้น แต่นั้นน้ำก็ตกลง
ในอากาศ เมื่อน้ำตกลงแผ่นดินก็ตกลง. ลมก็หอบรับน้ำไว้อีกด้วยกำลังของตน
เหมือนน้ำภายในธมกรก. แต่น้ำนั้นก็พุ่งขึ้น. เมื่อนำพุ่งขึ้นแผ่นดินก็พุ่งขึ้น
น้ำไหวแล้วก็ทำให้แผ่นดินไหวอย่างนี้. การไหวของน้ำและแผ่นดินย่อมมีมา
จนตราบเท่าทุกวันนี้ด้วยประการฉะนี้. แต่ความพุ่งลงและพุ่งขึ้นย่อมไม่ปรากฏ
เพราะเป็นของหนา.
บทว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว ความว่า สมณะหรือพราหมณ์ชื่อว่า
ผู้มีฤทธิ์มาก เพราะมีความสำเร็จมาก ชื่อว่า ผู้มีอานุภาพมากเพราะสิ่งที่จะได้
รับมาก. บทว่า ปริตฺตา แปลว่า มีกำลังน้อย. บทว่า อปฺปมาณา ได้แก่
ผู้มีกำลัง. บทว่า โส อิมํ ปฐวึ กปฺเปติ ความว่า ท่านทำฤทธิ์ให้เกิดแล้ว
เกิดความสังเวช เหมือนพระมหาโมคคัลลานะ หรือเมื่อทรงทดลอง ย่อม
ทำให้แผ่นดินไหว เหมือนสังฆรักขิตสามเณรหลานพระมหานาคเถระ.
ได้ยินว่า สามเณรนั้นขณะโกนผมเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัต คิดว่ามี
ภิกษุไรๆ ไหมหนอ ที่เคยบรรลุพระอรหัตในวันที่บวชนั่นเอง แล้วทำเวชยันต
ปราสาทให้ไหว. แต่นั้นก็รู้ว่า ไม่มีใคร จึงคิดว่า เราจะทำให้ไหวยืนอยู่บน
ยอดเวชยันตปราสาทแล้วใช้เท้ากระทืบก็ไม่อาจทำให้ไหวด้วยกำลังแห่งอภิญญา.
ครั้งนั้น เหล่านางรำของท้าวสักกะ ก็กล่าวกะสามเณรนั้นว่า ลูกสังฆรักขิต
เธอประสงค์จะทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยศรีษะที่มีกลิ่นเหม็นเท่านั้นพ่อเอ๋ย
ปราสาทมีโอกาสตั้งอยู่ดีแล้ว ท่านอาจทำให้ไหวอย่างไรได้. สามเณรรำลึกว่า
เทวดาเหล่านี้ เย้ยหยันกับเรา แต่เรายังไม่ได้อาจารย์ พระมหานาคเถระผู้อยู่
ประจำสมุทรอาจารย์ของเราอยู่ไหนหนอ รู้ว่าอาจารย์สร้างที่เร้นในน้ำไว้ในมหา-

394
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 395 (เล่ม 13)

สมุทรนั่งพักผ่อนกลางวัน จึงไปในที่นั้นไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่. แต่นั้นพระ
เถระพูดกะสามเณรนั้นว่า พ่อ สังฆรักขิต เจ้ายังไม่ได้ศึกษา จะเข้าไปต่อยุทธิ์
หรือแล้วถามว่า พ่อเจ้าไม่สามารถทำให้เวชยันตปราสาทให้ไหวหรือ. ตอบว่า
ผมยังไม่ได้อาจารย์นี้ขอรับ. ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะสามเณรนั้นว่า
พ่อเอ๋ย เมื่อคนเช่นเจ้าให้ไหวไม่ได้ คนอื่นคือใครเล่าจักให้ไหวได้ เจ้าเคย
เห็นก้อนโคมัยลอยอยู่เหนือหลังน้ำไหมละพ่อ แล้วกล่าวต่อไปว่า พ่อเอ๋ย คน
ทั้งหลายเขาทำขนมเบื้อง เขาไม่ตัดที่ปลายดอก เจ้าจงรู้ด้วยอุปมานี้. สามเณร
กล่าวว่าปราสาทนั้น จักหมุนด้วยอาการเพียงเท่านี้ขอรับ แล้วอธิษฐานว่า
ขอน้ำจงมีตลอดโอกาสที่ปราสาทตั้งอยู่ บ่ายหน้าไปยังเวชยันตปราสาท. เหล่า
เทพธิดาเห็นสามเณรแล้ว พูดกันว่า สามเณรอับอายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังมาแล้ว
มาอีก. ท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า พวกเจ้าอย่าพูดกับบุตรของเราเลย บัดนี้
เธอได้อาจารย์แล้ว ชั่วขณะ เธอจักทำปราสาทให้ไหวได้. สามเณรใช้นิ้วเท้า
เกี่ยวยอดปราสาท. ปราสาทก็โอเอนไปทั้ง ๔ ทิศ. เหล่าเทวดาร้องลั่น ว่า
พ่อเอย โปรดให้ปราสาทคงตั้งอยู่เถิด ๆ. สามเณรวางปราสาทไว้ที่เดิมแล้ว
ยืนบนยอดปราสาทเปล่งอุทานว่า
เราบวชวันนี้ ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้
เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระพุทธ-
เจ้า ทรงมีพระคุณมโหฬาร. เราบวช
วันนี้ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้ เราทำปราสาท
ให้ไหววันนี้ โอพระธรรมมีพระคุณ
มโหฬาร. เราบวชวันนี้ก็บรรลุอาสวักขัย
วันนี้ เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระ-
สงฆ์มีพระคุณมโหฬาร.

395
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 396 (เล่ม 13)

คำที่จะพึงกล่าวในเรื่องแผ่นดินไหว ๖ ประการนอกจากนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วใน
มหาปาทานสูตร.
ในเหตุเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการนี้ ดังกล่าวมานี้ ครั้งที่ ๑ ไหว
ด้วยธาตุกำเริบ ครั้งที่ ๒ ไหวด้วยอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔
ไหวด้วยเดชแห่งบุญ ครั้งที่ ๕ ไหวด้วยอำนาจแห่งญาณ ครั้งที่ ๖ ไหว
ด้วยอำนาจสาธุการ ครั้งที่ ๗ ไหวด้วยอำนาจความเป็นผู้มีกรุณา ครั้งที่ ๘
ไหวด้วยการร้องไห้. ครั้งเมื่อพระมหาสัตว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดาและออก
จากพระครรภ์นั้น แผ่นดินไหวด้วยอำนาจแห่งบุญของพระองค์. ครั้งตรัสรู้
อภิสัมโพธิญาณ แผ่นดินไหวด้วยอำนาจพระญาณ ครั้งประกาศพระธรรมจักร
แผ่นดินก็ผงาดขึ้นให้สาธุการไหว ครั้งปลงอายุสังขาร แผ่นดินผงาดขึ้นด้วย
ความกรุณา ทนความเคลื่อนไหวแห่งจิตไม่ได้ก็ไหว. ครั้งปรินิพพานแผ่นดิน
ก็ถูกกระหน่ำด้วยกำลังการร้องไห้ก็ไหว. ก็ความนี้พึงทราบด้วยอำนาจเทวดา
ประจำแผ่นดิน. แต่ข้อนี้ไม่มีแก่ปฐวีธาตุ ที่เป็นมหาภูตรูป เพราะไม่มีเจตนาแล
บทว่า อิเม ในคำว่า อิเม โข อานนฺท อฏฺฐ เหตู นี้เป็นการ
ชี้ข้อที่ทรงแสดงมาแล้ว. ก็แลด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านพระอานนท์ กำหนดว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปลงอายุสังขารวันนี้แน่แท้. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้ทรงทราบว่าพระอานนท์กำหนดได้ ก็ไม่ประทานโอกาส ทรงประมวลเหตุ
ทั้ง ๘ แม้อย่างอื่นเข้าไว้ด้วย จึงตรัสวา อฏฺฐ โข อิมา ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ ได้แก่ บริษัท
เช่น สมาคมพระเจ้าพิมพิสาร สมาคมพระญาติ และสมาคมเจ้าลิจฉวีเป็นอาทิ.
คำนี้ใช้ได้แม้ในจักรวาลอื่น ๆ. บทว่า สลฺลปิตปุพฺพํ ได้แก่ เคยกระทำ
การสนทนาปราศรัย. บทว่า สากจฺฉา ได้แก่ เคยเข้าร่วมแม้แต่การสนทนา
ธรรม. บทว่า ยาทิสโก เตสํ วณฺโณ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น

396
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 397 (เล่ม 13)

ผิวขาวบ้าง ผิวดำบ้าง ผิวสองสีบ้าง พระศาสดามีพระฉวีเหลืองดังทองคำ. ก็คำนี้
ท่านกล่าวอาศัยทรวดทรง. ก็แม้ทรวดทรงของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ปรากฏ
เพียงอย่างเดียวเท่านั้น. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่เหมือนชนชาติมิลักขะ
ทั้งไม่ทรงสวมมณีกุณฑลประทับนั่งโดยเพศของพระพุทธเจ้าเท่านั้น. ก็สมณ-
พราหมณ์เหล่านั้นย่อมเห็นว่าพระพุทธองค์มีทรวดทรงเสมอกับตน. บทว่า
ยาทิสโก เตสํ สโร ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีเสียงขาดบ้าง มีเสียง
ดังไม้ค้อนบ้าง มีเสียงเหมือนกาบ้าง พระศาสดามีพระสุระเสียงดังพรหมเท่านั้น.
แต่คำนี้ท่านกล่าวหมายถึงภาษาอื่น. ความจริง แม้หากว่า ในบริษัทนั้น พระ-
ศาสดาประทับนั่งตรัสบนราชอาสน์ สมณพราหมณ์เหล่านั้นก็จะเข้าใจว่า วันนี้
พระราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว
เสด็จหลีกไป สมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นพระราชาเสด็จกลับมาอีกก็จะเกิดการ
พิจารณาทบทวนว่า ผู้นี้เป็นใครกันหนอ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ โข
อยํ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้พิจารณาทบทวนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า ผู้นี้
เป็นใครกันหนอ ตรัสด้วยภาษามคธ ภาษาสีหล ด้วยอาการละมุนละไม ในที่นี้
เดี๋ยวนี้ ก็หายวับไป เป็นเทวดาหรือมนุษย์. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรมแก่เหล่าชนผู้ไม่รู้อย่างนี้ เพื่อประโยชน์อะไร. ตอบว่า เพื่อ
ต้องการจะอบรม จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมที่แม้เขาฟังแล้ว ก็จะเป็น
ปัจจัยในอนาคตทีเดียว เพราะเหตุนั้น ทรงมุ่งถึงอนาคตจึงทรงแสดง. พึงทราบ
เหตุเกิดแห่งบริษัททั้งหลายมีพราหมณบริษัทหลายร้อยเป็นต้น โดยอำนาจ
โสณทัณฑสมาคมและกูฏทันตสมาคมเป็นต้น และด้วยอำนาจจักรวาลอื่น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำบริษัท ๘ นี้มาเพื่ออะไร ? เพื่อแสดง
ความเป็นผู้ไม่กลัว. ได้ยินว่า พระองค์นำบริษัทเหล่านั้นมาตรัสอย่างนี้ว่า
อานนท์ ความกลัว หรือ ความกล้า ไม่มีแก่ตถาคตผู้เข้าไปหาบริษัท ๘

397
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 398 (เล่ม 13)

เหล่านี้แล้วแสดงธรรม แต่ใครเล่าควรจะให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคต
เห็นมารแต่ละตนแล้วพึงกลัว อานนท์ ตถาคต ไม่กลัว ไม่หวาด มีสติ-
สัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ดังนี้.
บทว่า อภิภายตนานิ แปลว่า เหตุครอบงำ. ครอบงำอะไร ครอบงำ
ธรรมที่เป็นข้าศึกบ้าง อารมณ์บ้าง. ความจริงเหตุเหล่านั้นย่อมครอบงำธรรม
ที่เป็นข้าศึก เพราะภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ครอบอารมณ์เพราะเป็นบุคคลที่ยิ่งด้วย
ญาณ.
ก็ในคำว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ดังนี้เป็นต้น บุคคลชื่อว่ามีสัญญา
ในรูปภายในด้วยอำนาจบริกรรมในรูปภายใน. จริงอยู่ บุคคลเมื่อกระทำ
บริกรรมนีลกสิณในรูปภายใน ย่อมกระทำที่ผมที่ดีหรือที่ดวงตา เมื่อกระทำ
บริกรรมในปีตกสิณ ย่อมกระทำที่มันข้น ที่ผิว ที่หลังมือ หลังเท้า หรือที่
สีเหลืองของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโลหิตกสิณ กระทำที่เนื้อ เลือด
ลิ้น หรือที่สีแดงของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโอทาตกสิณ ย่อมกระทำ
ที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือที่สีขาวของดวงตา แต่บริกรรมนั้น เขียวดี เหลีองดี
แดงดี ขาวดี ก็หาไม่ ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น.
บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรมนั้นของ
บุคคลใด เกิดขึ้นภายใน แต่นิมิตเกิดในภายนอก. บุคคลนั้นมีความสำคัญว่า
รูปในภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมในภายในและอัปปนาในภายนอกอย่างนี้
เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้เดียวเห็นรูปภายนอก.
บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่ ไม่เติบโต. บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺ-
ณานิ แปลว่า มีวรรณะดีหรือวรรณะทราม. อภิภายตนะนี้ พึงทราบว่า
พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจปริตตารมณ์. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย
ความว่า คนมีท้องไส้ดีได้ข้าวเพียงทัพพีเดียวจึงมาคิดว่า จะพอกินหรือกระทำ

398
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 399 (เล่ม 13)

เป็นคำเดียว ฉันใด บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณมีญาณกล้า คิดว่าจะพึงเข้าสมาบัติใน
อารมณ์เล็กน้อยเท่านี้จะพอหรือ. นี้ไม่หนักสำหรับเรา แล้วครอบงำรูปเหล่า
นั้นเข้าสมาบัติ. อธิบายว่า ย่อมให้ถึงอัปปนาในอภิภายตนะนั้น พร้อมกับทำ
นิมิตให้เกิดขึ้นทีเดียว. ก็ด้วยบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ นี้ ท่านกล่าวถึง
ความคำนึงแห่งบุคคลนั้น. ก็แล เมื่อออกจากสมาบัติ ความคำนึงนั้นก็ไม่มี
ภายในสมาบัติ. บทว่า เอวํสญฺญี โหติ ความว่า มีสัญญาอย่างนี้ ด้วย
สัญญาในความคำนึงบ้าง ด้วยสัญญาในฌานบ้าง. จริงอยู่ สัญญา เป็นเครื่อง
ครอบงำย่อมมีแก่บุคคลนั้น แม้ภายในสมาบัติ. ส่วนสัญญาในความคำนึงย่อม
มีเมื่อออกจากสมาบัติเท่านั้น.
บทว่า อปฺปมาณานิ ความว่า มีประมาณที่เจริญแล้ว คือ ใหญ่.
ส่วนในบทว่า อภิภุยฺย นี้ เปรียบเหมือนบุรุษกินจุได้ข้าวพูนชาม ก็ยังคิดว่า
ของอย่างอื่นจงยกไว้ ข้าวนี้จักพอแก่เราหรือไม่ ไม่เห็นข้าวนั้นว่ามากฉันใด
บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณ มีญาณแก่กล้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดว่า จะเข้าฌานใน
อารมณ์นี้ได้หรือ อารมณ์นี้ไม่มีประมาณก็หาไม่ จึงครอบงำอารมณ์เหล่านั้น
เข้าฌานด้วยคิดว่า ในการกระทำเอกัคคตาจิตไม่หนักแก่เราเลย. อธิบายว่า
ให้ถึงอัปปนาในอารมณ์นั้น พร้อมกับจิตตุปบาทนั่นแล.
บทว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ความว่า เว้นจากบริกรรมสัญญาในรูป
ภายใน เพราะยังไม่ได้หรือเพราะไม่ต้องการ. บทว่า เอโก พหิทฺธา
รูปานิ ปสฺสติ ความว่า ทั้งบริกรรมทั้งนิมิตของผู้ใดเกิดขึ้นในภายนอก
อย่างเดียว ผู้นั้นมีความสำคัญว่าอรูปในภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมและอัปปนา
ในภายนอกอย่างนี้ เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้เดียวเห็น
รูปในภายนอก. ข้อที่เหลือในคำนั้นมีนัยกล่าวแล้ว ในอภิภายตนะที่ ๔ ทั้ง
นั้น.

399
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 400 (เล่ม 13)

ก็ในอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ ปริตตอภิภายตนะมาด้วยอำนาจวิตกจริต
อัปปมาณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจโมหจริต สุวรรณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจ
โทสจริต ทุพพรรณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจราคจริต. จริงอยู่ อภิภายตนะ
เหล่านี้ เป็นสัปปายะของผู้มีจริตเหล่านี้. แม้ความที่อภิภายตนะเป็นสัปปายะ
นั้น กล่าวไว้พิสดารแล้วในจริตนิเทสในวิสุทธิมรรค.
พึงทราบวินัยในอภิภายตนะที่ ๕ เป็นต้นดังต่อไปนี้ บทว่า นีลานิ
ท่านกล่าวไว้โดยรวมทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ ท่านกล่าวโดยวรรณะ.บทว่า
นีลนิทสฺสนานิ ท่านกล่าวโดยตัวอย่าง ท่านอธิบายว่าวรรณะที่ไม่เจือกันที่
ไม่ปรากฏช่องว่าง ปรากฏว่ามีสีเขียวเป็นอันเดียวกัน . ส่วนคำว่า นีลนิภาสานิ
นี้ ท่านกล่าวไว้โดยอำนาจโอภาส. อธิบายว่า มีแสงสีเขียวคือประกอบด้วย
รัศมีเขียว. ด้วยบทนี้ท่านแสดงความที่วรรณะเหล่านั้นบริสุทธิ์. จริงอยู่ ท่าน
กล่าวว่าอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ไว้โดยวรรณบริสุทธิ์เท่านั้น. บทว่า อุมฺมาร-
ปุปฺผํ ความว่า จริงอยู่ดอกไม้นี้สนิทอ่อนนุ่ม แม้ที่เห็น ๆ กัน อยู่ ก็สีเขียว
ทั้งนั้น ส่วนดอกกัณณิกาเขาเป็นต้น ที่เห็น ๆ กันอยู่ก็ขาว เพราะฉะนั้นท่าน
จึงถือเอาดอกผักตบนี้เท่านั้น ดอกกัณณิกาเขาท่านหาถือเอาไม่. บทว่า
พาราณเสยฺยกํ แปลว่า ที่เกิดในกรุงพาราณสีได้ยินว่าในกรุงพาราณสีนั้น ทั้ง
ฝ้ายก็อ่อน ทั้งคนกรอด้าย ทั้งช่างทอก็ฉลาด. แม้น้ำก็สะอาดสนิท เพราะ
ฉะนั้นผ้านั้นจึงเกลี้ยงทั้งสองข้าง คือในข้างทั้งสองก็เกลี้ยงปรากฏว่าอ่อนสนิท.
แม้ในคำว่า ปิตานิ เป็นต้น ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้แล. เมื่อจะกำหนด
นีลกสิณ ย่อมกำหนดนิมิตในสีเขียว. ก็การกระทำกสิณก็ดี การบริกรรมก็ดี
อัปปนาวิธีก็ดี ในที่นี้มีอาทิว่า ปุปฺผสฺมึ วา วตฺถสฺมึ วา วณฺณธาตุยาอ วา
ทั้งหมดมีนัยที่กล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.

400
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 401 (เล่ม 13)

อภิภายตนะ ๘ เหล่านี้ ท่านนำมาก็เพื่อแสดงความเป็นผู้ไม่กลัว.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอภิภายตนะแม้เหล่านี้ แล้วจึงตรัสอย่าง
นี้ว่า อานนท์ ความกลัว หรือความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้
เหล่านี้ และกำลังออก ใครเล่าควรจะเกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคตเห็น
มารผู้เดียวพึงกลัว อานนท์ ตถาคตไม่กลัว ไม่ขลาด มีสติสัมปชัญญะปลงอายุ
สังขาร.
กถาว่าด้วยเรื่องวิโมกข์ มีความง่ายทั้งนั้น. วิโมกข์ ๘ เหล่านี้ ท่าน
นำมา เพื่อความเป็นผู้ไม่กลัวเหมือนกัน. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น
ตรัสวิโมกข์แม้เหล่านี้แล้ว จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความกลัวหรือ
ความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้เหล่านี้ และกำลังออก ฯลฯ ปลง
อายุสังขาร. แม้บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ประทานโอกาสแก่พระอานนทเถระ
เลย ทรงเริ่มเทศนาแม้อย่างอื่นอีก โดยนัยมีว่า เอกมิทาหํ เป็นต้น. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรกทีเดียว คือใน
สัปดาห์ที่ ๘. บทว่า โอสฺสฏฺโฐ แปลว่า ปล่อยสละ. ได้ยินว่า ครั้นกล่าว
อย่างนี้ จึงกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น หมื่นโลกธาตุจึงไหว.
คำว่า อลํ นี้ เป็นคำปฏิเสธ. บทว่า โพธึ ได้แก่แทงตลอดด้วย
มรรคญาณ ๔. ด้วยบทว่า สทฺทหสิ ตฺวํ ท่านกล่าวว่า เธอเชื่อว่าตถาคต
กล่าวอย่างนี้ไหม. ด้วยบทว่า ตสฺมาติหานนฺท พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
ว่า เพราะเหตุที่เธอเชื่อคำนี้ ฉะนั้นข้อนี้จึงเป็นการทำไม่ดีของเธอเอง พระผู้มี
พระภาคเจ้าเริ่มคำว่า เอกมิทาหํ เป็นต้น เพื่อจะยกโทษของพระเถระแต่ผู้
เดียวโดยประการต่าง ๆ เพื่อจะบรรเทาความโศกอย่างนี้ว่า เรามิได้เรียกเธอ
มาในที่นี้อย่างเดียวเท่านั้นดอก. แม้ในเวลาอื่น ๆ เราก็เรียกมาทำนิมิตอย่าง
หยาบ เธอก็มิได้ล่วงรู้นิมิตแม้นั้น อันนี้ก็เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

401