No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 332 (เล่ม 13)

เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นต้น
[๑๕๗] พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตรได้
ทรงสดับแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเมืองกุสินารา จึงทรง
ส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้
เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้
ทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกกษัตริย์ลิจฉวี
เมืองเวสาลีได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วในเมืองกุสินารา.
จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากษัตริย์
แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง เรา
ก็จักได้ทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกกษัตริย์
ศากยะกบิลพัสดุ์ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในเมืองกุสินารา
จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระ
ญาติอันประเสริฐของพวกเรา. . . พวกกษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ. . . พระผู้มี
พระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ . . . แม้เราก็เป็นกษัตริย์. . . พวกกษัตริย์โกลิยะเมือง
รามคาม . . .พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์. . .พราหมณ์
ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ . . . พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็น
พราหมณ์. . . พวกกษัตริย์มัลละเมืองปาวา ได้ทรงสดับแล้วว่าพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมือง
กุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควร
จะได้ส่วนพระสรีระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้กระทำพระสถูปและการฉลอง
พระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกษัตริย์และพราหมณ์กล่าวแล้วอย่างนี้ พวก
เจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ตรัสกะหมู่ คณะเหล่านั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ให้ส่วนพระสรีระพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า.

332
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 333 (เล่ม 13)

เรื่องโทณพราหมณ์
[๑๕๘] เมื่อพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราตรัสอย่างนี้แล้ว โทณ-
พราหมณ์ได้พูดกะหมู่คณะเหล่านั้นว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวก
ท่านจงฟังคำอันเอกของข้าพเจ้า พระพุทธ
เจ้าของเราทั้งหลาย เป็นผู้กล่าวสรรเสริญ
ขันติ การจะสัมปหารกันเพราะส่วนพระ
สรีระธาตุของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอุดม
บุคคลเช่นนี้ ไม่ดีเลย.
ขอเราทั้งหลายทั้งปวง จงยินยอม
พร้อมใจยินดีแบ่งพระสรีระออกเป็น ๘
ส่วนเถิด ขอพระสถูปจงแพร่หลายไปใน
ทิศทั้งหลาย ชนผู้เลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้า
ผู้มีพระจักษุมีอยู่มาก.
การแบ่งพระสรีระธาตุ
[๑๕๙] หมู่คณะเหล่านี้กล่าวว่า ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นขอท่าน
นั่นแหละ. จงแบ่งพระสรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าออกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กัน
ให้เรียบร้อยเถิด. โทณพราหมณ์รับคำของหมู่คณะเหล่านั้นแล้ว แบ่งพระสรีระ-
ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าออกเป็น ๘ ส่วนเท่ากันเรียบร้อย จึงกล่าวกะหมู่คณะ
เหล่านั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวกท่านจงให้ทะนานนี้แก่ข้าพเจ้า
เถิด ข้าพเจ้าจักการทำพระสถูปและการฉลองทะนานบ้าง. ทูตเหล่านั้นได้ให้
ทะนานแก่โทณพราหมณ์.

333
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 334 (เล่ม 13)

[๑๖๐] พวกเจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวันได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระ
สรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระ
ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารากล่าวว่า ส่วนพระสรีระ
ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มี เราได้แบ่งพระสรีระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสียแล้ว ขอพวกท่านจงนำพระอังคารไปแต่ที่นี้เถิด. พวกทูตนั้นนำพระอังคาร
ไปจากที่นั้นแล้ว.
[๑๖๑] ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรูเวเทหิ-
บุตร ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าในกรุง
ราชคฤห์. พวกกษัตริย์ลิจฉวีเมืองเวสาลี ได้กระทำพระสถูป . . . ในเมือง
เวสาลี. พวกกษัตริย์ศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ได้กระทำพระสถูป. . . ในเมือง
กบิลพัสดุ์. พวกกษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ ได้กระทำพระสถูป. . . ในเมือง
อัลลกัปปะ. พวกกษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมือง
รามคาม. พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมือง
เวฏฐทีปะ. พวกเจ้ามัลละเมืองปาวา ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมืองปาวา. พวก
เจ้ามัสละเมืองกุสินารา ได้กระทำพระสถูป . . .ในเมืองกุสินารา. โทณพรา-
หมณ์ได้กระทำพระสถูปและการฉลองทะนาน. พวกกษัตริย์โมริยะเมืองปิปผลิ-
วัน ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระอังคารในเมืองปิปผลิวัน.
พระสถูปบรรจุพระสรีระธาตุมี ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่งทั้งบรรจุทะนาน
เป็น ๑๐ แห่งทั้งพระสถูปบรรจุพระอังคารด้วยประการฉะนี้ การแจกพระธาตุ
และการก่อพระสถูปเช่นนี้ เป็นแบบอย่างมาแล้ว.

334
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 335 (เล่ม 13)

พุทธสารีริกธาตุ
[๑๖๒] พระสรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มี
พระจักษุ ๘ ทะนาน ๗ ทะนาน บูชากัน
อยู่ในชมพูทวีป ส่วนพระสรีรธาตุอีก
ทะนานหนึ่งของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุรุษ
ที่ประเสริฐอันสูงสุด พวกนาคราชบูชากัน
อยู่ในรามคาม.
พระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่งเทวดาชั้นดาว
ดึงส์บูชาแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่
ในคันธารปุระ อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ใน
แคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีกองค์หนึ่ง
พระยานาคบูชากันอยู่.
ด้วยพระเดชแห่งพระสรีรธาตุนั่น
แหละ แผ่นดินประดับแล้วด้วยนักพรตผู้
ประเสริฐที่สุด พระสรีรธาตุของพุทธ-
เจ้าผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่าอันเขาสักการะ ๆ สัก-
การะดีแล้ว.
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดอันจอมเทพ
พญานาคและจอมนระ บูชาแล้ว อันจอม
มนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน
ขอท่านทั้งหลายจงประนมมือถวายบังคม

335
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 336 (เล่ม 13)

พระสรีรธาตุนั้น ๆ ของพระพุทธเจ้าพระ
องค์นั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ยาก
โดยร้อยแห่งกัป.
พระทนต์ ๔๐ องค์บริบูรณ์ พระ
เกศา และพระโลมาทั้งหมด พวกเทวดา
นำไปองค์ละองค์นำสืบต่อกันในจักรวาล
ดังนี้แล.
จบมหาปรินิพพานสูตรที่ ๓

336
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 337 (เล่ม 13)

อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร
มหาปรินิพพานสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
พรรณนาความตามลำดับบทในมหาปรินิพพานสูตรนั้น ดังต่อไปนี้.
บทว่า คิชฺฌกูเฏ ความว่า บนภูเขาชื่อว่า คิชฌกูฏ เพราะมีฝูงแร้งอยู่บนยอด
หรือมียอดคล้ายแร้ง. บทว่า อภิยาตุกาโม ได้แก่มีพระประสงค์จะเสด็จยาตรา-
ทัพยึดแคว้นวัชชี. บทว่า วชฺชี ได้แก่เหล่าเจ้าวัชชี. บทว่า เอวํ มหิทฺธิเก
ได้แก่ประกอบด้วยราชฤทธิ์ใหญ่อย่างนี้. พระเจ้าอชาตศัตรู ตรัสถึงภาวะที่
เจ้าวัชชีเหล่านั้นสามัคคีกัน ด้วยพระดำรัสนี้. บทว่า เอวํ มหานุภาเว ได้แก่
ประกอบด้วยอานุภาพมากอย่างนี้. พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถึงภาวะที่เจ้าวัชชี
เหล่านั้น ทรงศึกษาหัตถศิลปะเป็นต้น ที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า พวกเจ้า
ลิจฉวีราชกุมารเหล่านี้ศึกษาฝึกฝนชำนาญดีแล้วหนอ ที่สามารถยิงลูกศร เข้า
ทางช่องดาลถี่ ๆ ได้ ลูกศรที่ติดพู่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กไม่ผิดพลาดเป้าเลย. บทว่า
อุจฺเฉชฺชามิ แปลว่า จักตัดขาด. บทว่า วินาเสสฺสามิ แปลว่า จักทำให้ถึง
ความไม่ปรากฏ. ในคำว่า อนยพฺยสนํ นี้ ความเจริญหามิได้เหตุนั้นจึงชื่อว่า
อนยะ. คำว่า อนยะ นี้ เป็นชื่อของความไม่เจริญ ความไม่เจริญนั้น ย่อม
ขจัดทิ้งซึ่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เหตุนั้นจึงชื่อว่า พยสนะ. คำว่า
พยสนะ นี้ เป็นชื่อของความเสื่อมมีเสื่อมญาติเป็นต้น. บทว่า อาปาเทสฺสามิ
แปลว่า จักให้ถึง.
ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ตรัสเฉพาะการยุทธ์อย่างนี้ ในอิริยา-
บถมียืนและนั่งเป็นต้น จึงสั่งกองทัพอย่างนี้ว่า พวกเจ้าจงเตรียมยาตราทัพ.

337
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 338 (เล่ม 13)

เพราะเหตุไร. ได้ยินว่าตรงตำบลปัฏฏนคามตำบลหนึ่งแห่งแม่น้ำคงคา พระเจ้า
อชาตศัตรูทรงมีอำนาจกึ่งโยชน์ พวกเจ้าลิจฉวีมีอำนาจกึ่งโยชน์. อธิบายว่า
ก็ในตำบลนี้เป็นสถานที่ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครอง. อีกอย่างหนึ่งในที่นั้น
สิ่งที่มีค่ามากตกจากเชิงเขา. เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบดังนั้นแล้ว ทรง
พระดำริว่า ไปวันนี้ ไปพรุ่งนี้ จึงตระเตรียมทันที เหล่าเจ้าลิจฉวีทรงสมัคร
สมานกันอยู่ จึงพากันไปก่อนยึดของมีค่ามากเอาไว้หมด. พระเจ้าอชาตศัตรู
เสด็จไปทีหลัง ทรงทราบเรื่องนั้น แล้วทรงกริ้ว เสด็จไป. เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
ก็กระทำอย่างนั้นแหละแม้ในปีต่อมา. ดังนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงอาฆาต
อย่างรุนแรง ได้ทรงการทำอย่างนั้นในคราวนั้น. แต่นั้นทรงดำริว่า ชื่อว่าการ
ต่อยุทธ์กับคณะเจ้าเป็นเรื่องหนัก ชื่อว่าการต่อตีที่ไร้ประโยชน์แม้ครั้งเดียวก็
มีไม่ได้ แต่เมื่อปรึกษากับบัณฑิตสักคนหนึ่งย่อมไม่พลาด. ก็บัณฑิตเช่นพระ
ศาสดา ไม่มี ทั้งพระศาสดาก็ประทับอยู่ในวิหารใกล้ ๆ นี่เอง. เอาเถิด เราจะ
ส่งคนไปทูลถาม ถ้าเราไปเอง จักมีประโยชน์อะไร พระศาสดาก็จักทรงดุษณี
ภาพ ก็เมื่อไม่เป็นประโยชน์เช่นนี้ พระศาสดาจักตรัสว่า พระราชาเสด็จไป
ในที่นั้น จะมีประโยชน์อะไร. ท้าวเธอจึงส่งวัสสการพราหมณ์ไป. พราหมณ์
ไปแล้วก็กราบทูลความข้อนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าว
ว่า อถ โข ราชา ฯ เป ฯ อาปาเทสฺสามิ วชฺชึ ดังนี้.
บทว่า ภควนฺตํ วีชยมาโน ความว่า พระเถระยืนถวายงานพัดพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตามธรรมเนียม แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงหนาวหรือทรงร้อน
ก็หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพราหมณ์แล้ว ไม่ทรงปรึกษา
กับพราหมณ์นั้น กลับมีประสงค์จะปรึกษากับพระเถระ จึงตรัสคำว่า กินฺติ เต
อานนฺท สุตํ ดังนี้เป็นอาทิ.

338
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 339 (เล่ม 13)

บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา ความว่า ประชุมกันวันละ ๓ ครั้งบ้าง
ประชุมกันเป็นระยะบ้าง ชื่อว่า ประชุมกันเนือง ๆ. บทว่า สนฺนิปาตพหุลา
ความว่า เมื่อไม่หยุดพักว่าเมื่อวาน ก็ประชุมกันแล้ว ทั้งวันก่อนก็ประชุมกัน
แล้ว วันนี้จะประชุมกันทำไมอีก ชื่อว่า มากด้วยการประชุม. บทว่า ยาว-
กีวญฺจ แปลว่า ตลอดกาลเพียงใด. บทว่า วุฑฺฒิเยว อานนฺท วชฺชีนํ
ปาฏิกงฺขาโน ปริหานิ ความว่า เพราะเมื่อไม่ประชุมกันเนือง ๆ ไม่ฟังข่าว
ที่มาแต่ทุกทิศทุกทางก็ไม่รู้เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น จากเขตบ้านหรือเขตนิคมโน้น
หรือโจรมั่วสุมในที่โน้น. แม้เหล่าโจรรู้ว่า พวกเจ้าพากันประมาท จึงปล้นบ้าน
และนิคมเป็นต้น ทำชนบทให้พินาศ. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยประการฉะนี้.
แต่เมื่อประชุมกันเนือง ๆ รู้ข่าวนั้น ๆ แต่นั้นก็จะส่งกำลังไปปราบฝ่ายที่ไม่ใช่
มิตร แม้โจรทั้งหลายรู้ว่าพวกเจ้าไม่ประมาท พวกเราก็ไม่อาจจะคุมกันเป็น
หมู่เที่ยวไปได้ แล้วก็แตกหนีไป. เจ้าทั้งหลายย่อมเจริญด้วยประการฉะนี้.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ชาววัชชีพึงหวังความเจริญถ่ายเดียว
ไม่เสื่อมเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขา แปลว่า พึงปรารถนา
อธิบายว่า พึงเห็นอย่างนี้ว่า ความเจริญจักมีแน่แท้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สมคฺคา เป็นต้น ดังนี้.
เมื่อกลองเรียกประชุมลั่นขึ้น พวกเจ้าลิจฉวีการทำการบ่ายเบี่ยงว่า
วันนี้เรามีกิจ วันนี้ มงคล ดังนี้ ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันประชุม. แต่พอได้
ยินเสียงกลอง กำลังกินก็ดี กำลังแต่งตัวก็ดี กำลังนุ่งผ้าก็ดี กินได้ครึ่งหนึ่งบ้าง
แต่งตัวได้ครึ่งหนึ่งบ้าง กำลังนุ่งผ้าบ้าง ก็เข้าประชุม ชื่อว่า พร้อมเพรียงกัน
ประชุม. ส่วนเข้าประชุมแล้ว ก็คิดก็ปรึกษากัน ทำกิจที่ควรทำ ไม่เลิกพร้อม
กัน ชื่อว่า ไม่พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม. ก็เมื่อเลิกประชุมกันอย่างนี้แล้ว
พวกที่ไปก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราได้ยินแต่พูดกันนอกเรื่อง บัดนี้ จะ

339
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 340 (เล่ม 13)

พูดแต่เรื่องที่มีข้อยุติ. แต่เมื่อเลิกพร้อมกัน ก็ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก. อนึ่ง
ได้ยินว่า ความวุ่นวาย หรือโจรมั่วสุมกัน แต่เขตบ้านหรือเขตนิคม ในที่โน้น
เมื่อไต่ถามกันว่า ใครจักไปกระทำการปราบฝ่ายที่ไม่ใช่มิตรเล่า ต่างชิงกัน
อาสาพูดว่า ข้าก่อน ข้าก่อน แล้วพากันไปก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก.
แต่เมื่อการงานของเจ้าองค์หนึ่ง ต้องงดไป เหล่าเจ้าที่เหลือก็ส่งบุตรและพี่น้อง
ไปช่วยการงาน ของเจ้าองค์นั้นก็ไม่พูดกะเจ้าผู้เป็นอาคันตุกะว่า โปรดเสด็จ
ไปวังของเจ้าองค์โน้นเถิด หากสงเคราะห์พร้อมกันทั้งหมดก็ดี และเมื่องาน
มงคล โรค หรือสุขทุกข์เช่นนั้น อย่างอื่น เกิดขึ้นแก่เจ้าองค์นั้น ก็พากันไป
ช่วยเหลือในเรื่องนั้น ทั้งหมดก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกัน กระทำกิจที่ชาววัชชี
พึงทำ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อปญฺญตฺตํ เป็นต้นดั่งนี้. ไม่ตั้งภาษีอากร
หรือ พลี หรืออาชญาที่ไม่เคยทำ ชื่อว่า ไม่บัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ. ส่วนใช้
ข้อที่มาโดยโบราณประเพณี ชื่อว่า ไม่ถอนข้อที่ท่านบัญญัติไว้แล้ว. เมื่อบุคคล
ถูกเขาจับมาแสดงว่าเป็นโจร. ไม่ยอมวินิจฉัย สั่งลงโทษโดยเด็ดขาดเลย ชื่อว่า
ไม่ถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ. เมื่อเจ้าเหล่านั้นบัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ
พวกผู้คนที่ถูกบีบคั้นด้วยภาษีใหม่เอี่ยมเป็นต้น รู้สึกว่าเราถูกบีบคั้น ใครจักอยู่
ในแคว้นของเจ้าเหล่านี้ได้ แล้วก็พากันไปชายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวก
ของโจรบ้าง ปล้นชนบท. เมื่อพวกเจ้าเลิกถอนข้อที่บัญญัติไว้ ไม่เก็บภาษี
เป็นต้น ที่มีมาตามประเพณีเรือนคลังก็เสื่อมเสีย แต่นั้นกองทัพ ช้าง ม้าและ
ไพร่พล เมื่อไม่ได้วัตถุเนืองนิตย์เหมือนพนักงานต้นห้องเป็นต้น ก็จะเสื่อมทาง
กำลังใจกำลังกาย พวกเขาก็ไม่ควรจะรบ ไม่ควรจะบำรุงได้. เมื่อไม่ยึดถือวัชชี-
ธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนในแว่นแคว้น ก็จะพากันโกรธว่า พวกเจ้าทำบุตรบิดา
พี่น้องของเราผู้ไม่เป็นโจรว่าเป็นโจรตัดทำลายกัน แล้วพากันไปชายแดน เป็น

340
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 341 (เล่ม 13)

โจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง โจมตีชนบท. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยอาการ
อย่างนี้. แต่เมื่อพวกเจ้าบัญญัติข้อที่บัญญัติแล้ว พวกผู้คนก็จะ พากันร่าเริงยินดี
ว่าพวกเจ้ากระทำแต่ข้อที่มาตามประเพณี ดังนี้แล้ว ต่างก็จะทำการงาน มีกสิ-
กรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้นให้เกิดผลสมบูรณ์. เมื่อไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติ
ไว้แล้วเก็บภาษีเป็นต้น ที่มีมาตามประเพณี เรือนคลังก็เจริญ แต่นั้นทัพช้าง
ม้าและไพร่พล เมื่อได้วัตถุเนืองนิตย์ เหมือนพนักงานต้นห้อง สมบูรณ์ด้วย
กำลังใจ กำลังกายแล้ว ควรรบได้ ควรบำรุงได้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โปราณํ วชฺชิธมฺมํ นี้ดังต่อไปนี้เขาว่า
พวกเจ้าวัชชีแต่ก่อน ไม่ตรัสว่า เมื่อตนถูกเขานำมาแสดงว่าผู้นี้เป็นโจร พวก
ท่านจงจับโจรนั้น แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายสอบสวน. ฝ่ายอำมาตย์เหล่านั้น
สอบสวนแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่โจรก็ปล่อยไป ถ้าเป็นโจรก็ไม่พูดอะไร ๆ ด้วย
ตนเอง แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายผู้พิพากษา. มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาวินิจฉัย
แล้ว ถ้าไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป ถ้าเป็นโจร ก็มอบให้แก่มหาอำมาตย์ฝ่ายที่
ชื่อว่าลูกขุน. ลูกขุนเหล่านั้นวินิจฉัยแล้ว หากไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป หาก
เป็นโจร ก็มอบให้มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูล. มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูลนั้น ก็
กระทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมอบให้เสนาบดี. เสนาบดีก็มอบให้แก่อุปราช
อุปราชก็มอบถวายแด่พระราชา. พระราชา วินิจฉัยแล้ว หากว่าไม่ใช่โจรก็
ปล่อยตัวไป หากว่าเป็นโจร ก็จะโปรดให้เจ้าหน้าที่อ่านคัมภีร์ กฏหมาย
ประเพณี. ในคัมภีร์กฏหมายประเพณีนั้นเขียนไว้ว่า ผู้ใดทำความผิดชื่อนี้
ผู้นั้นจะต้องมีโทษชื่อนี้. พระราชา ทรงนำการกระทำของผู้นั้นมาเทียบกับตัว
บทกฏหมายนั้นแล้ว ทรงลงโทษตามสมควรแก่ความผิดนั้น ดังนั้นเมื่อพวกเจ้า
ยึดถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนทั้งหลายย่อมไม่ติเตียน. พวกเจ้าทั้งหลาย
ย่อมทำงาน ตามประเพณีโบราณ เจ้าเหล่านั้นย่อมไม่มีโทษ ย่อมมีโทษ

341