No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 322 (เล่ม 13)

แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้. บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุรูปที่
ต่ำที่สุด ก็เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ใน
ภายหน้า.
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระ-
ปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
ปรินิพพาน
[๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌาน ออกจาก
ปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจาก
ตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญ-
จายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก
วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญา-
ยตนะสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนสมบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ.
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า อานนท์ผู้มีอายุ
พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จปรินิพพานทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
แล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจา-

322
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 323 (เล่ม 13)

ยตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออก
จากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์
จตุตถฌานนั้น).
[๑๘๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการปริ-
นิพานได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลอง
ทิพย์ก็บันลือขึ้น.
พรหมกล่าวสังเวคธรรม
[๑๔๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพพาน
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอด-
ทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็น
ศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบ
มิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมี
พระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน.
[๑๔๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพ-
พาน ท้าวลักกจอมเทพ ได้ตรัสพระคาถาว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความ
เกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ย่อมเกิด

323
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 324 (เล่ม 13)

ขึ้นและดับไป ความเข้าไปสงบสังขารเหล่า
นั้นได้เป็นสุข.
[๑๔๘] . . .ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมุนีผู้มี
พระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่หวั่นไหว ปรารภ
สันติทำกาละมิได้มีแล้ว.
พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอด-
กลั้นเวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจิตได้มี
แล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนี้.
[๑๔๙] . . .ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวคาถานี้ว่า
เมื่อพระสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย
อาการอันประเสริฐทั้งปวง ปรินิพพาน
แล้ว ในครั้งนั้นได้เกิดอัศจรรย์ น่าพึงกลัว
และเกิดความขนพองสยองเกล้า.
[๑๕๐] เมื่อพระผู้มีภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุเหล่านั้น
พวกภิกษุยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาด รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน
เร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธาน
เร็วนัก. ส่วนพวกภิกษุที่มีราคะไปปราศแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ข้อนั้น จะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.
[๑๕๑] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มี
อายุทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศกอย่าร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความ

324
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 325 (เล่ม 13)

เป็นอย่างอื่นจากสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้น จะหาได้
ได้ในสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัย
ปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำ
ลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็นฐานที่จะมีได้ พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่. ท่านพระ-
อานนท์ถามว่า ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาการทำไว้ในใจเป็นอย่างไร. พระ
อนุรุทธะตอบว่า อานนท์ มีเทวดาบางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน สยายผม
ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาดแล้ว
รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก มีเทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่า
เป็นแผ่นดินสยายผมคร่ำครวญอยู่. . .อันตรธานเร็วนัก. ส่วนเทวดาที่ปราศ
จากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
ข้อนั้นจะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.
ลำดับนั้น ท่านอนุรุทธะและท่านพระอานนท์ยังราตรีที่เหลือนั้น ให้
ล่วงไปด้วยธรรมีกถา. ท่านพระอนุรุทธะสั่งท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิด อานนท์
ท่านจงเข้าไปเมืองกุสินารา บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน
วาสิฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ขอพวกท่านจงทราบกาล
อันควรในบัดนี้เถิด. ท่านพระอานนท์รับคำท่านพระอนุรุทธะแล้ว เวลา
เช้านุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว.
แจ้งข่าวปรินิพพาน
[๑๕๒] สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ประชุมกันที่สัณฐคาร
ด้วยเรื่องพระนิพพานนั้น. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ไปยังสัณฐาคารของเจ้า
มัลละเมืองกุสินารา ได้บอกแก่เจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย

325
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 326 (เล่ม 13)

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงสำคัญกาลอันควร
ในบัดนี้เถิด. เจ้ามัลละ โอรส สุณิสา และปชาบดีฟังคำนี้ของท่านพระอานนท์
แล้ว มีความทุกข์ เสียพระทัยเปี่ยมด้วยทุกข์ใจ บางพวกสยายผมประคอง
พระหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนมีพระบาทขาดแล้ว
ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก
พระองค์ผู้มีจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก.
ครั้งนั้น เจ้ามัลละเมืองกุสินารารับสั่งกะพวกบุรุษว่า พวกท่านจง
เตรียมของหอมดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิดในเมืองกุสินาราให้พร้อม.
เจ้ามัลละเมืองกุสินารา ถือเอาของหอมดอกไม้เครื่องดนตรีทุกชนิดและผ้า
๕๐๐ คู่ เสด็จไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักของพวกเจ้ามัลละ เสด็จเข้าถึงสรีระ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ของหอม ดอกไม้ ดาดเพดานผ้า
ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันนั้นให้ล่วงไปด้วยประการอย่างนี้. พวกเจ้ามัลละมี
พระดำริว่า การถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันนี้หมด
เวลาเสียแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจักถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องประโคม ของหอมดอกไม้ ดาดเพดานผ้า
ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันแม้ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ให้ล่วงไปแล้ว
ครั้นถึงวันที่ ๗ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารามีพระดำริว่า พวกเราสักการะ
เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำขับร้อง
ประโคม ของหอมดอกไม้ จักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระนครเชิญไปภาย
นอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทางทิศทักษิณ
แห่งพระนคร.

326
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 327 (เล่ม 13)

มัลลปาโมกข์ ๘
[๑๕๓] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๘ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้า
ใหม่ด้วยทรงดำริว่า เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมไม่อาจจะยก
ขึ้นได้. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินราได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ท่านอนุรุทธะ
อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย มัลลปาโมกข์ ๘ องค์นี้ ผู้สระสรง
เกล้าแล้ว ทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคจ้า
ย่อมไม่อาจยกขึ้นได้. พระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่าน
มีความประสงค์อย่างหนึ่ง พวกเทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง. เจ้ามัลละกาม
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร.
พระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่านมีความประสงค์
ว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการ
ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของหอม จักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระ
นคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ทางทิศทัณษิณแห่งพระนคร เทวดามีความประสงค์ว่า เราสักการะ
เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง
ประโคม ดอกไม้ ของหอม อันเป็นทิพย์จักเชิญไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร
แล้วเข้าสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดย
ทวารทิศบูรพา แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่มกุฏ-
พันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร. เจ้ามัลละกล่าวว่า
ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด.
สมัยนั้น เมืองกุสินาราดารดาษไปด้วยดอกมณฑารพ โดยถ่องแถวประมาณ
แค่เข่า จนตลอดที่ต่อแห่งเรือนบ่อของโสโครกและกองหยากเยื่อ ครั้งนั้น
พวกเทวดาและพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระ

327
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 328 (เล่ม 13)

สรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของ
หอม ทั้งที่เป็นทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เชิญไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร
แล้วเชิญไปสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออก
ไปโดยทวารทิศบูรพา แล้ววางพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ มกุฏพันธน
เจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร. ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละ
ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า พวกข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต
อย่างไร. ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่านพึงปฏิบัติ
ในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ
ฉะนั้น. เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิเป็นอย่างไรเล่า.
ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วย
ผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ห่อพระสรีระของ
พระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่แล้ว เชิญพระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็ม
ด้วยน้ำมันครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธานด้วยไม้หอมทุกชนิด
ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว สร้างพระสถูปของพระเจ้า
จักรพรรดิไว้ที่ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ
ด้วยประการฉะนี้แล พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขา
ปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น พึงสร้างพระสถูปพระตถาคต
ไว้ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งพวงมาลัยของหอมหรือจุณ
จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน.
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารารับสั่งกะพวกบุรุษว่า ดูก่อน
พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเตรียมสำลีไว้พร้อมเถิด. พวกเจ้ามัลละเมือง
กุสินาราห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อ

328
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 329 (เล่ม 13)

ด้วยผ้าใหม่โดยอุบายนี้ ห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ แล้ว
เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิต
กาธานด้วยไม้หอมทุกชนิด แล้วจึงเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นสู่
จิตกาธาน.
เรื่องพระมหากัสสปเถระ
[๑๕๔] สมัยนั้น พระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประ-
มาณ ๕๐๐ รูป เดินทางจากเมืองปาวาสู่เมืองกุสินารา. ลำดับนั้น ท่านมหา
กัสสปะแวะออกจากทางแล้วนั่งพักที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.
สมัยนั้น อาชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพในเมืองกุสินาราเดินทางไกล
มาสู่เมืองปาวา. ท่านมหากัสสปะได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล จึงถามอาชีวก
นั้นว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านยังทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือ. อาชีวกตอบ
ว่า เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วัน เข้าวันนี้ นี้ดอกมณฑารพ
เราถือมาแต่ที่นั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดยังไม่ปราศจากราคะ
ภิกษุเหล่านั้นบางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา
เหมือนเท้าขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคต
ปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก. ส่วนภิกษุ
เหล่าใดปราศจากราคะ ภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า สังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ข้อนั้นจะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.
เรื่องสุภัททวุฑฒบรรพชิต
[๑๕๕] สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ชื่อสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัท
นั้น. สุภัททวุฑฒบรรพชิตได้กล่าวกะพวกภิกษุว่า อย่าเลยผู้มีอายุ พวกท่าน
อย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย เราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้นเบียด

329
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 330 (เล่ม 13)

เบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้พวกเรา
ปรารภในสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น.
ลำดับนั้น พระมหากัสสปะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มีอายุ พวก
ท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้
ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น
จากสิ่งและบุคคลเป็นที่รักที่ชอบทั้งหมดต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในสิ่งและบุคคล
ที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความ
ทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่าขอสิ่งนี้ อย่าทำลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้.
มัลลปาโมกข์ ๔
[๑๕๖] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้า
ใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้ติดจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ย่อมไม่
อาจให้ติดได้. ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะ
ว่า ท่านอนุรุทธะอะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่มัลลปาโมกข์
๔ องค์เหล่านี้ ผู้สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้
ติดจิตกาธาร ย่อมไม่อาจให้ติดได้. ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะ
ทั้งหลาย พวกเทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง. มัลลปาโมกข์ถามว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร. ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า
พวกเทวดามีความประสงค์ว่า ท่านพระมหากัสสปะนี้ พร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา
จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้าจักยังไม่ลุกโพลงขึ้น จนกว่าท่านพระมหา
กัสสปะจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยมือของตน.

330
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 331 (เล่ม 13)

มัลลปาโมกข์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของ
พวกเทวดาเถิด.
ถวายพระเพลิง
ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้า
มัลละในเมืองกุสินารา และถึงจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้นเข้า
ไปแล้ว กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิต
กาธาน ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น กระทำจีวรเฉวียงบ่า
ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ ๓ รอบแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสอง
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. เมื่อท่านพระมาหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐
รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โพลงขึ้นเอง. เมื่อ
พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใด คือ
พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารุ หรือพระลสิกา เถ้าเขม่าแห่งพระ
อวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียว. เมื่อเนยใส
และน้ำมันถูกเพลิงไหม้อยู่ เถ้าเขม่ามิได้ปรากฏฉันใด เมื่อพระสรีระของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่. . .เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียวฉันนั้นเหมือน
กัน. บรรดาผ้า ๕๐๐ คู่ เหล่านั้น เพลิงไหม้เพียง ๒ ผืนเท่านั้น คือผืนในที่
สุดกับผืนนอก. เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้แล้ว ท่อน้ำ
ก็ไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. น้ำพุ่งขึ้นแม้จาก
ไม้สาละ ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยน้ำหอมทุกชนิด. ลำดับนั้น พวกเจ้า
มัลละเมืองกุสินารา ทำสัตติบัญชร ในสัณฐาคาร แวดล้อมด้วยธนูปราการ
สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๗ วัน
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของหอม.

331