หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 312 (เล่ม 13)

ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์อยู่ที่ไหน. พวกภิกษุ
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอานนท์นั่นเข้าไปสู่วิหาร
ยืนเหนี่ยวสลักเพชร ร้องไห้อยู่ว่าเรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่
พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เราก็จักปรินิพพานเสีย. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า เธอจงไปเถิด ภิกษุ จงบอก
อานนท์ตามคำของเราว่า ท่านอานนท์พระศาสดารับสั่งหาท่าน. ภิกษุนั้นทูล
รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นเข้า
ไปหาแล้ว บอกท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน.
ท่านพระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไป
เฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะท่านพระอานนท์ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า
อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ
ว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบ
ใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหนเล่า สิ่งใดเกิด
แล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนา
ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลยดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ อานนท์ เธอ
ได้เป็นอุปัฏฐากตถาคต ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วย
เมตตา เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุขไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน
เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่
มีอาสวะโดยฉับพลัน.
ตรัสสรรเสริญพระอานนท์
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใด ได้มีแล้ว.

312
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 313 (เล่ม 13)

ในอดีต ภิกษุผู้อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือน
อานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐากแห่งเรา แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใดจักมี
ในอนาคตกาล ภิกษุผู้อุปัฏฐากของผู้พระมีพระภาคเจ้านั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือน
อานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐากแห่งเรา อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่านี้เป็นกาลเพื่อจะ
เข้าเฝ้าพระตถาคต นี้เป็นกาลของพวกภิกษุ นี้เป็นกาลของพวกภิกษุณี นี้เป็น
กาลของพวกอุบาสก นี้เป็นกาลของพวกอุบาสิกา นี้เป็นกาลของพระราชา
นี้เป็นกาลของพระราชมหาอำมาตย์ นี้เป็นกาลของพวกเดียรถีย์ นี้เป็นกาลของ
สาวกเดียรถีย์.
อัพภูตธรรม ๔
[๑๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้
มีอยู่ในพระอานนท์. อัพภูตธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุบริษัท เข้าไปใกล้เพื่อจะเห็นอานนท์ ภิกษุบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วย
การที่ได้เห็น ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุบริษัทนั้น ภิกษุบริษัทนั้น ก็ย่อม
ยินดี แม้ด้วยธรรมที่แสดงแล้ว ภิกษุบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไป
ในเวลานั้น ถ้าภิกษุณีบริษัท. . .อุบาสกบริษัท. . .อุบาสิกาบริษัท เข้าไปใกล้
เพื่อจะเห็นอานนท์ อุบาสิกาบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น ถ้าอานนท์
แสดงธรรมในอุบาสิกาบริษัทนั้น อุบาสิกาบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วยธรรมที่
แสดงแล้ว อุบาสิกบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น ภิกษุ
ทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ในอานนท์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
ในพระเจ้าจักรพรรดิ. ถ้าขัตติยบริษัทเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ขัตติยบริษัท
นั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เข้าเฝ้า ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระดำรัสในขัตติย-

313
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 314 (เล่ม 13)

บริษัทนั้น ขัตติยบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วยพระดำรัส ขัตติยบริษัทยังไม่อิ่ม
เลย พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งในเวลานั้น. ถ้าพราหมณบริษัท. . .คฤห-
บดีบริษัท. . . สมณบริษัท เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ สมณบริษัทนั้น
ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เข้าเฝ้า ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระดำรัสในสมณบริษัท
นั้น สมณบริษัทนั้นก็ยินดี. แม้ด้วยพระดำรัส สมณบริษัทนั้นยังไม่อิ่มเลย
พระจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งไปในเวลานั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่าง มิอยู่ในอานนท์
ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าภิกษุบริษัทเข้าไปใกล้เพื่อจะเห็นอานนท์ ภิกษุบริษัทนั้น
ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุบริษัทนั้น ภิกษุ
บริษัทนั้นย่อมยินดี แม้ด้วยธรรมที่แสดงแล้ว ภิกษุบริษัทยังไม่อิ่มเลย
อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น. ถ้าภิกษุณีบริษัท. . .อุบาสกบริษัท. . .อุบาสิกา
บริษัทเข้าไปหาได้เห็นอานนท์ อุบาสิกาบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น
ถ้าอานนท์แสดงธรรมในอุบาสิกาบริษัทนั้น อุบาสิกาบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วย
ธรรมที่แสดงแล้ว อุบาสิกาบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น.
ภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ในอานนท์.
ตรัสเรื่องเมืองกุสินารา
[๑๓๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
อย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองนี้เลย เมืองใหญ่เหล่าอื่น
มีอยู่คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพี
เมืองพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด
กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาลที่เลื่อมใสในพระตถาคต
มีอยู่มากในเมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจักกระทำสักการะบูชาสรีระของพระตถาคต.

314
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 315 (เล่ม 13)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้
เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า เมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองดังนี้เลย แต่ปางก่อน
มีพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรมเป็นพระราชา
โดยธรรมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว
มีพระราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เมืองกุสินารานี้ มี
นามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยาวด้านทิศบูรพา
และทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทิศอุดรและทิศทักษิณ ๗ โยชน์
กุสาวดีเป็นราชธานี เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก มนุษย์หนาแน่น และ
มีภิกษาหาได้ง่าย ดูก่อนอานนท์ อาลกมันทาราชธานีแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย
เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก ยักษ์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย แม้
ฉันใด กุสาวดีราชธานีก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก
มนุษย์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย กุสาวดีราชธานีมิได้เงียบจากเสียงทั้ง
๑๐ ทั้งกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียง
ตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงประโคมและเสียงเป็นที่ ๑๐
ว่า ท่านทั้งหลายจงบริโภค จงดื่ม จงเคี้ยวกิน จงไปเถิด อานนท์ เธอจงเข้า
ไปในเมืองกุสินาราแล้ว บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน
วาสิฏฐทั้งหลาย พระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ พวก
ท่านจงรีบออกไปเถิด พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระ-
ตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เข้าไปเฝ้า พระตถาคต
ในกาลครั้งสุดท้าย. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปในเมืองกุสินารา ลำพังผู้เดียว.
แจ้งข่าวมัลลกษัตริย์
สมัยนั้น มัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคาร
ด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปยังสัณฐาคารของ

315
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 316 (เล่ม 13)

มัลลกษัตริย์เมืองกุสินารา ได้บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน
วาสิฏฐทั้งหลาย พระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ
พวกท่านจงรีบออกไปเถิด พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระ
ตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เฝ้าตถาคตในกาล
ครั้งสุดท้าย. พวกมัลลกษัตริย์ พระโอรส สุณิสาและปชาบดีได้สดับคำนี้ของ
ท่านพระอานนท์แล้ว เป็นทุกข์เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ บาง
พวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา
เหมือนมีพระบาทอันขาดแล้ว ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักปรินิพพาน
เร็วนัก พระสุคตจักปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก จักอันตรธาน
เสียเร็วนัก.
ครั้งนั้น พวกมัลลกษัตริย์ พระโอรส สุณิสาและปชาบดีเป็นทุกข์
เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ เสด็จเข้าไปยังสาลวัน อันเป็นที่แวะพัก
ของพวกมัลลกษัตริย์ เสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์. ท่านพระอานนท์ได้มี
ความดำริว่า ถ้าเราให้พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทีละองค์ ๆ พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราจักมิได้ถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทั่วกัน ราตรีนี้จักสว่างเสีย ถ้ากระไรเราควรจัดให้พวกมัลล-
กษัตริย์เมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยลำดับสกุล ๆ ด้วย กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มัลลกษัตริย์มีนามอย่างนี้ พร้อมด้วยโอรส
ชายา บริษัทและอำมาตย์ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยเศียรเกล้า. โดยอุบายเช่นนี้ท่านพระอานนท์ ยังพวกมัลลกษัตริย์เมือง
กุสินาราให้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเสร็จโดยปฐมยามเท่านั้น.

316
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 317 (เล่ม 13)

เรื่องสุภัททปริพาชก
[๑๓๘] สมัยนั้น สุภัททปริพาชก อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา. สุภัทท
ปริพาชกได้ฟังว่า พระสมณโคดม จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น
วันนี้. ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกได้มีความดำริว่า เราได้ฟังคำนั้นของพวก
ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมอุบัติขึ้นในโลกในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจัก
ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้
ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณ-
โคดม ย่อมสามารถเพื่อแสดงธรรมแก่เรา ที่เราจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัย
นี้ได้.
ลำดับนั้น สุภัททปริพาชก เข้าไปหาท่านพระอานนท์ที่สาลวันอันเป็น
ที่แวะพักของพวกมัลลกษัตริย์ ครั้นเข้าไปหาแล้ว จึงได้กล่าวกะท่านพระ
อานนท์ว่า ท่านอานนท์ ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพวกปริพาชก...ที่เราจะพึงละธรรม
อันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ท่านอานนท์ ข้าพเจ้านั้น ขอได้เฝ้าพระสมณโคดม.
เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์กล่าวว่า อย่าเลยสุภัททะ
อย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อย. แม้ครั้ง
ที่สอง...แม้ครั้งที่สามสุภัททปริพาชกก็กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า. . .
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับคำเจรจาของท่านพระอานนท์กับสุภัทท
ปริพาชกแล้ว. จึงตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อย่าเลย อานนท์ อย่าห้ามสุภัททะ
เลย สุภัททะจงได้เฝ้าพระตถาคตเถิด สุภัททะจักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
กะเรา มุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งเพื่อความเบียดเบียน อนึ่ง เราอันสุภัททะถาม
แล้วจักพยากรณ์ข้อความแก่สุภัททนะนั้นได้ เขาจักรู้ข้อความนั้นได้โดยฉับพลัน.

317
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 318 (เล่ม 13)

ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะท่านสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิด สุภัททะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานโอกาสแก่ท่าน. สุภัททปริพาชกจึงเข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ถ้อยคำเป็นที่ชื่นชมให้ระลึก
ถึงกันผ่านพ้นไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. สุภัททปริพาชกกราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่าใด เป็น
เจ้าหมู่ เป็นเจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็น
อันมากสมมติว่าเป็นคนดี คือ บูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ อชิตเกสกัมพละ
ปกุธกัจจายนะ สัญชยเวลัฎฐบุตร นิครณฐนาฎบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้น
ทั้งหมดตรัสรู้แล้ว ตามปฏิญญาของตน หรือทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบาง
พวกไม่ได้ตรัสรู้. อย่าเลยสุภัททะข้อนั้นหยุดไว้ก่อน. . .
ทรงแสดงธรรมแก่สุภัททะ
เราจะแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ. อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาไม่ได้ในธรรม
วินัยใด แม้สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น
สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่ ๑
ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หาได้ในธรรมวินัยนั้น สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วย
องค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็มีอยู่ในธรรม
วินัยนี้ ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ สุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ
โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.
[๑๓๙] ดูก่อนสุภัททะเรามีวัย ๒๙ ปีบวชแล้ว
แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว

318
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 319 (เล่ม 13)

นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะเป็นไปในประเทศแห่ง
ธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอกแต่
ธรรมวินัยนี้.
สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้. สุภัททะ
ภิกษุเหล่านั้นพึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.
ติตถิยปริวาส
[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุภัททปริพาชก
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่ม
แจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก บุคคลหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ผู้มีจักษุจักเห็นรูปฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรม โดยอเนก
ปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม
พระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์
หวังบรรพชาอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน. ต่อล่วง ๔
เดือนแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีจิตยินดีแล้ว จึงให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็น
ภิกษุ แต่ว่าเรารู้บุคคลต่างกันในข้อนี้. สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ หากผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชาอุปสมบทในธรรม
วินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน ต่อล่วง ๔ เดือนแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีจิต
ยินดีแล้ว จึงให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็นภิกษุ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาส
๔ ปี ต่อล่วง ๔ ปีแล้ว ขอภิกษุทั้งหลายมีจิตยินดีแล้ว จงให้บรรพชาอุปสม-
บทเพื่อความเป็นภิกษุเถิด.

319
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 320 (เล่ม 13)

สุภัททสำเร็จอรหัต
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน
อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถิด. ท่านพระอานนท์ทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่านพระ-
อานนท์ว่า ดูก่อนท่านอานนท์ผู้มีอายุ ลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดา
ทรงอภิเษกด้วยอันเตวาสิกาภิเษก ที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้. สุภัทท-
ปริพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ก็ท่าน
สุภัททะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียวเป็นผู้ไม่ประมาท มี
ความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่ช้านานนัก ทำให้แจ้งที่สุดพรหมจรรย์อัน
ยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้มีความต้องการออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
โดยชอบด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฏฐธรรมเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้
มี. ท่านสุภัททะรูปหนึ่งได้เป็นพระอรหันต์. ท่านเป็นสักขิสาวกองค์สุดท้าย
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
จบภาณวารที่ ๕
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วง
แล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี
วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัย
อันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเราดูก่อนอานนท์ บัดนี้
พวกภิกษุเรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโสฉันใด โดยล่วงไปแห่งเรา ไม่ควร

320
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 321 (เล่ม 13)

เรียกกันฉันนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่าโดยชื่อหรือโดยโคตร
หรือโดยวาทะว่าอาวุโส ภิกษุผู้อ่อนกว่า พึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภนฺเต หรือ
อายสฺมา ดูก่อนอานนท์ ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างจง
ถอนเถิด โดยล่วงไปแห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ โดยล่วงไปแห่ง
เรา. ท่านพระอานนท์กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พรหมทัณฑ์
เป็นไฉน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฉันนภิกษุพึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา
ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่า ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอน.
[๑๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มรรค หรือในข้อปฏิบัติจะพึงมีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มี
ความร้อนใจภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว เรายังมิอาจทูลถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าที่เฉพาะพระพักตร์. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
พวกภิกษุเหล่านั้นก็พากันนิ่งอยู่. แม้ครั้งที่สอง. . . แม้ครั้งที่สามภิกษุเหล่านั้น
ก็พากันนิ่งอยู่.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
บางทีพวกเธอไม่ถามแม้เพราะความเคารพในพระศาสดา แม้ภิกษุผู้เป็นสหาย
จงบอกแก่ภิกษุผู้สหายเถิด. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ แล้วพวกภิกษุ
เหล่านั้นก็พากันนิ่งอยู่ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุ
สงฆ์อย่างนี้ว่า ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค
หรือในข้อปฏิบัติไม่มีแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้. ดูก่อนอานนท์
เธอพูดเพราะความเลื่อมใส ตถาคตหยั่งรู้ในข้อนี้เหมือนกันว่า ความสงสัย
เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือข้อปฏิบัติไม่มีแม้

321