No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 268 (เล่ม 12)

ฝั่งโน้น เขามัดแขนไพล่หลังอย่างแน่นด้วยเชือกเหนียวอยู่ที่ริมฝั่งนี้ วาเสฏฐะ
เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นพึงข้ามไปฝั่งโน้น จากฝั่งนี้ แห่ง
แม่น้ำอจิรวดี ได้หรือ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่ได้พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ ๕ เหล่านี้ ในวินัยของพระ-
อริยเจ้า เรียกว่า ขื่อคาบ้าง เรียกว่า เครื่องจองจำบ้าง กามคุณ ๕ เป็น
ไฉน รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่พึงรู้ด้วยหู กลิ่นที่พึงรู้ด้วยจมูก รสที่พึงรู้
ด้วยลิ้น โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก
เกี่ยวด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณ ๕ เหล่านี้ในวินัยของ
พระอริยเจ้า เรียกว่า ขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำบ้าง พราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพท กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก
บริโภคกามคุณ ๕ เหล่านั้นอยู่. วาเสฏฐะ ก็พราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น
ละธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์เสีย ยืดถือธรรมที่ไม่ให้เป็นพราหมณ์ประพฤติ
อยู่ กำหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาสลัดออก บริโภค
กามคุณ ๕ พัวพันอยู่ในกามฉันทะ เมื่อตายไปแล้ว จักเข้าถึงความอยู่ร่วม
กับพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๗๘] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง
กาดื่มกินได้ ครั้งนั้นบุรุษต้องการจะข้าม ประสงค์จะข้ามไปฝั่งโน้น เขา
กลับนอนคลุมตลอดศีรษะเสียที่ฝั่งนี้ วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน บุรุษนั้นพึงข้ามจากฝังนี้ไปฝั่งโน้นได้หรือ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน นิวรณ์ ๕ อย่างเหล่านี้ ในวินัยของ

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 269 (เล่ม 12)

พระอริยเจ้า เรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง เครื่อง
รัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน คือ กามฉันทะ
พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล ใน
วินัยของพระอริยเจ้าเรียกว่า เครื่องหน่วงเหนี่ยวบ้าง เครื่องกางกั้นบ้าง
เครื่องรัดรึงบ้าง เครื่องตรึงตราบ้าง.
[๓๗๙] วาเสฏฐะ พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ถูกนิวรณ์ ๕
เหล่านี้ ปกคลุม หุ้มห่อ รัดรึง ตรึงตราแล้ว ก็พราหมณ์ผู้จบไตรเพท
เหล่านั้น ละธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย ยึดถือธรรมที่ไม่ทำให้
เป็นพราหมณ์ ประพฤติอยู่ ถูกนิวรณ์ ๕ ปกคลุม หุ้มห่อ รัดรึง ตรึงตรา
เมื่อตายไปแล้ว จักเข้าถึงความอยู่ร่วมกับพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๘๐] วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคยได้
ยืนพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอาจารย์ และเป็นอาจารย์ของอาจารย์กล่าวว่า
กระไรบ้าง พรหมมีเครื่องเกาะคือสตรี หรือไม่. ไม่มี พระเจ้าข้า. มีจิต
จองเวรหรือไม่. ไม่มีพระเจ้าข้า. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่. ไม่มี พระเจ้าข้า.
มีจิตเศร้าหมองหรือไม่. ไม่มี พระเจ้าข้า. ทำจิตให้อยู่ในอำนาจได้หรือไม่.
ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ผู้จบไตรเพท
มีเครื่องเกาะคือสตรี หรือไม่. มี พระเจ้าข้า มีจิตจองเวรหรือไม่. มี
พระเจ้าข้า. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่. มี พระเจ้าข้า. มีจิตเศร้าหมองหรือไม่.
มี พระเจ้าข้า. ทำจิตให้อยู่ในอำนาจได้หรือไม่. ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
[๓๘๑] วาเสฏฐะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่าพราหมณ์ผู้จบไตร-
เพท เหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะคือสตรี แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบ

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 270 (เล่ม 12)

พราหมณ์ผู้จบไตรเพท ซึ่งมีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะ
คือสตรี ได้หรือ. ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท เหล่านั้น ยังมีเครื่องเกาะ
คือสตรี เมื่อตายไปแล้ว จักเข้าถึงความอยู่ร่วมกับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะ
คือสตรี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท
เหล่านั้น ยังมีจิตจองเวร แต่พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพท ซึ่งยังมีจิตจองเวรกับพรหมผู้ไม่มีจิตจองเวร ได้หรือไม่. ไม่ได้
พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท เหล่านั้น ยังมีจิตเบียดเบียน แต่
พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้จบไตรเพทซึ่งยังมีจิตเบียดเบียนกับ
พรหมผู้ไม่มีจิตเบียดเบียนได้หรือ. ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น ยังมีจิตเศร้าหมอง แต่
พรหมไม่มี จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้จบ ไตรเพทซึ่งยังมีจิตเศร้าหมองกับ
พรหมผู้ไม่มีจิตเศร้าหมอง ได้หรือ. ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น ทำให้จิตอยู่ในอำนาจไม่
ได้ แต่พรหมยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะมาเปรียบเทียบพราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพทซึ่งทำจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ ได้หรือ. ไม่ได้พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ถูกละ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท เหล่านั้น ยังจิตให้เป็นไป
ในอำนาจไม่ได้ เมื่อตายไปแล้ว จักเข้าถึงความอยู่ร่วมกับพรหมผู้ทำจิตให้
อยู่ในอำนาจได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้. วาเสฏฐะ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท
เหล่านั้น ในโลกนี้จมลงแล้ว กำลังจมอยู่ ครั้นจมลงแล้ว ย่อมถึงความ
ย่อยยับ สำคัญว่า ข้ามได้ง่าย เพราะฉะนั้น ไตรเพทนี้เรียกว่า ไตรเพท

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 271 (เล่ม 12)

ทุ่งใหญ่ [ที่ไม่มีหมู่บ้าน] บ้าง ว่าไตรเพทป่าใหญ่ [ที่ไม่มีน้ำ] บ้าง ว่า
ไตรเพทคือความย่อยยับบ้าง ของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท.
[๓๘๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพ ได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระสมณะ-
โคดมทรงทราบหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม.
วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มนสากตคามอยู่ในที่
ใกล้แต่นี้ ไม่ไกลจากนี้มิใช่หรือ. ใช่ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดมาแล้ว
เติบโตแล้ว ในมนสากตคามนี้ ออกไปจากมนสากตคามในทันใด พึงถูก
ถามหนทางแห่งมนสากตคาม วาเสฏฐะ จะพึงมีหรือ บุรุษผู้นั้นเกิดแล้ว
เติบโตแล้ว ในมนสากตคาม ถูกถามถึงหนทางแห่งมนสากตคามแล้วจะชักช้า
หรืออ้ำอึ้ง.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มี. ข้อนั้น เพราะเหตุไร. เพราะบุรุษนั้น
เกิดแล้ว เติบโตแล้วในมนสากตคาม เขาต้องทราบหนทางแห่งมนสากตคาม
ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี.
วาเสฏฐะ เมื่อบุรุษนั้นเกิดแล้ว เติบโตแล้ว ในมนสากตคาม ถูกถาม
ถึงหนทางแห่งมนสากตคาม จะพึงมีความชักช้าหรืออ้ำอึ้งหรือ. เมื่อตถาคตถูก
ถามถึงพรหมโลกหรือปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่มีความล่าช้า
หรืออ้ำอึ้งเลย เรารู้ถึงพรหมและพรหมโลก ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงพรหมโลกและ
ว่าพรหมปฏิบัติอย่างไร จึงเข้าถึงพรหมโลกด้วย.
[๓๘๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า พระสมณโคดม
ย่อมแสดงหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม ข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระ-

271
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 272 (เล่ม 12)

องค์ทรงแสดงทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม ขอพระองค์โปรดช่วยประชาชน
ผู้เป็นพราหมณ์ด้วยเถิด.
วาเสฏฐะ ถ้ากระนั้นเธอจงฟัง จงใส่ใจด้วยดี เราจักกล่าว.
วาเสฏฐมาณพทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า วาเสฏฐะ พระตถาคตทรงอุบัติในโลกนี้ เป็นพระ-
อรหันต์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ฯลฯ (พึงขยายความเหมือนในสามัญญ-
ผลสูตร) ฯลฯ วาเสฏฐะ ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยอาการอย่างนี้ ฯลฯ
เมื่อภิกษุตามเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ที่ละได้แล้วในตน ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น
เมื่อมีปราโมทย์ก็เกิดปีติ เมื่อใจประกอบด้วยปีติกายก็สงบ เมื่อกายสงบก็
เสวยสุข เมื่อเสวยสุขจิตก็ตั้งมั่น. เธอมีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอด
ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เช่นนั้น ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้อง
ขวาง ก็แผ่ไปในที่ทั้งปวงตลอดโลกทั้งสิ้นเพราะแผ่ทั่วไป ด้วยจิตประกอบด้วย
เมตตาอันไพบูลย์ มีอารมณ์มาก หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความ
เบียดเบียนอยู่ คนเป่าสังข์ผู้มีกำลัง พึงยังบุคคลให้รู้แจ้งทั้งสี่ทิศ โดยไม่ยากเลย
ฉันใด กรรมที่ทำพอประมาณอันใดในเมตตาเจโตวิมุตติ ที่บุคคลอบรมแล้ว
อย่างนี้ กรรมนั้นจะไม่เหลือ ไม่ตั้งอยู่ในรูปาพจร และอรูปาพจรนั้น
ฉันนั้นเหมือนกัน วาเสฏฐะ แม้นี้ก็เป็นทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม.
[๓๘๔] วาเสฏฐะ อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีใจประกอบด้วยกรุณา ฯลฯ
มุทิตา ฯลฯ อุเบกขา ฯลฯ นี้แลเป็นทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม. วาเสฏฐะ
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีเครื่องเกาะคือสตรี
หรือไม่ ไม่มีพระเจ้าข้า. มีจิตจองเวรหรือไม่. ไม่มีพระเจ้าข้า. มีจิตเบียด-

272
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 273 (เล่ม 12)

เบียนหรือไม่. ไม่มีพระเจ้าข้า. มีจิตเศร้าหมองหรือไม่. ไม่มีพระเจ้าข้า. ยัง
จิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่. ได้พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ได้ยินว่า ภิกษุไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี พรหมก็ไม่มี จะ
เปรียบเทียบภิกษุผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี กับพรหมผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี
ได้หรือไม่. ได้พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ ภิกษุนั้นไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี เมื่อมรณะแล้ว
จักเข้าถึงความอยู่ร่วมกับพรหม ผู้ไม่มีเครื่องเกาะคือสตรี ข้อนี้เป็นฐานะที่
มีได้.
วาเสฏฐะ ภิกษุมีจิตไม่จองเวร พรหมก็มีจิตไม่จองเวร ฯลฯ ภิกษุ
มีจิตไม่เบียดเบียน พรหมก็มีจิตไม่เบียดเบียน ฯลฯ ภิกษุมีจิตไม่เศร้าหมอง
พรหมก็มีจิตไม่เศร้าหมอง ฯลฯ ภิกษุยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ พรหมก็
ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะเปรียบเทียบภิกษุผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ
กับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้หรือไม่. ได้ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ ภิกษุผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้นั้น. เมื่อ
มรณะแล้ว จักเข้าถึงความอยู่ร่วมกับพรหมผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้
ข้อนั้นเป็นฐานะที่มีได้.
[๓๘๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพ และ
ภารัทวาชมาณพ ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
ไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มี

273
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 274 (เล่ม 12)

พระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้า
พระองค์ทั้งสองนี้ ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็น อุบาสก ผู้ถึงสรณะอย่างมอบ
กายถวายชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบ เตวิชชสูตรที่ ๑๓

274
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 275 (เล่ม 12)

อรรถกถาเตวิชชสูตร
เตวิชชสูตรมีความเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ฯลฯ ใน
แคว้นโกศล.
ต่อไปนี้จะพรรณนาบทที่ยากในพระสูตรนั้น. บทว่า มนสากตะ เป็นชื่อ
ของบ้านนั้น. บทว่า โดยทางทิศเหนือของบ้านมนสากตะ คือ ข้างทิศเหนือ
ไม่ไกลจากบ้านมนสากตะ. บทว่า ในป่ามะม่วง คือ ในหมู่ต้นมะม่วงหนุ่ม ได้
ยินว่า ภูมิภาคนั้นน่ารื่นรมย์ ข้างล่าง ลาดทรายเช่นเดียวกับแผ่นดิน ข้างบน
เป็นป่ามะม่วงมีกิ่งและใบหนา เหมือนเพดานดาดด้วยแก้วมณี พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพวัน อันเป็นความสุขเกิดจากวิเวก สมควรแก่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า พราหมณ์มหาศาล ผู้ที่เขารู้จักกันแพร่หลาย คือ เป็นผู้ที่เขา
รู้กันทั่วไปในตำบลนั้น ๆ โดยถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติมีกุลจารีตเป็นต้น. บท
ว่า วังกี เป็นอาทิ เป็นชื่อของพราหมณ์มหาศาล เหล่านั้น. บรรดาพราหมณ์
มหาศาลเหล่านั้น วังกีอยู่บ้านโอปสาทะ ตารุกขะอยู่บ้านอิจฉานังคละ.
โปกขรสาติอยู่อุกกัฏฐนคร ชาณุโสนิอยู่สาวัตถี โตเทยยะอยู่ตุทิคาม. บทว่า
พราหมณ์มหาศาล เหล่าอื่นอีก ความว่า ก็บรรดาชนเป็นอันมากเหล่าอื่น
มาจากที่อยู่ของตน ๆ แล้วอาศัยอยู่ ณ มนสากตคามนั้น. ได้ยินว่า เพราะ
มนสากตคามเป็นที่น่ารื่นรมย์ พราหมณ์เหล่านั้นจึงพากันสร้างเรือนใกล้ฝั่ง
แม่น้ำในมนสากตคามนั้น ล้อมไว้โดยรอบ ห้ามคนพวกอื่นเข้าไป พากันไป
อยู่ ณ ที่นั้น ตามลำดับ.

275
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 276 (เล่ม 12)

บทว่า วาเสฏฐมาณพและภารัทวาชมาณพ ความว่า วาเสฏ-
ฐมาณพ เป็นศิษย์ของโปกขรสาติพราหมณ์ ภารัทวาชมาณพเป็นศิษย์ของ
ตารุกขพราหมณ์. ได้ยินว่า มาณพทั้งสองนั้นสมบูรณ์ด้วยชาติ ได้จบไตรเพท
แล้ว. บทว่า ชังฆวิหาร คือ เดินเที่ยวพักผ่อน เพื่อต้องการบรรเทาความ
เมื่อยขบ เพราะนั่งนานเกินไปเป็นเหตุ. ได้ยินว่ามาณพทั้งสองนั้นนั่งท่องมนต์
ตลอดกลางวัน ตอนเย็นจึงลุก ให้คนถือของหอมดอกไม้ น้ำมันและผ้าสะอาด
อันเป็นเครื่องใช้สำหรับอาบน้ำ แวดล้อมด้วยบริวารชนของตน ๆประสงค์
จะอาบน้ำ ไปฝั่งแม่น้ำเดินไปๆ มา ๆ ที่เนินทราย สีแผ่นเงิน. คนหนึ่งเดิน
อีกคนหนึ่งเดินตาม อีกคนหนึ่งก็เดินตามอีกคนหนึ่ง ต่อกันไป ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า เดินเที่ยวเล่นตามกันไป.
บทว่า ในทางและมิใช่ทาง คือในเรื่องทางและมิใช่ทาง. อธิบายว่า
มาณพทั้งสองสนทนากันปรารภถึงเรื่องทางและมิใช่ทางอย่างนี้ว่า เราจะบำเพ็ญ
ปฏิปทาอย่างไรหนอ แล้วจึงจะสามารถไปสู่พรหมโลกอันเป็นสุขได้ โดยทาง
ไหน. บทว่าเส้นทางเดินเป็นไวพจน์ของทางตรง หรือทางตรงนั่นแหละ. คน
ย่อมเดินคือย่อมมาโดยทางนั้น เพราะฉะนั้น ทางนั้นจึงชื่อว่า เส้นทางเดิน.
บทว่าเป็นทางนำออก ย่อมนำออก คือ เมื่อนำออก ย่อมนำออกไปได้. อธิบาย
ว่า เมื่อจะไปก็ไปได้ ถามว่า ไปไหน. ตอบว่า เพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามนั้นอยู่ร่วม
กับพรหม อธิบายว่า ผู้ที่ไปเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม เพื่อความปรากฏ ในที่
เดียวกัน ย่อมดำเนินตามทางนั้น. บทว่า ยฺวายํ ตัดบทเป็น โย อยํ. บทว่า
ตารุกขพราหมณ์ บอกไว้ คือ กล่าวไว้ ได้แก่ แสดงไว้. บทว่า โปกขรสาติ-
พราหมณ์ คือ วาเสฏฐมาณพอ้างถึงอาจารย์ของตน. วาเสฏฐมาณพเที่ยวชม
เชยยกย่อง วาทะของอาจารย์ของตนฝ่ายเดียว แม้ภารัทวาชะก็เที่ยวชมเชย

276
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 277 (เล่ม 12)

....ฝ่ายเดียวเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้
ภารัทวาชมาณพยินยอมได้เป็นต้น.
ลำดับนั้น วาเสฏฐมาณพ คิดว่า ถ้อยคำของเราแม้ทั้งสองไม่เป็นทาง
นำออกได้แน่นอน ขึ้นชื่อว่าผู้ฉลาดในทาง ในโลกนี้ เช่นกับพระโคดมผู้เจริญ
ไม่มี พระโคดมผู้เจริญประทับอยู่ไม่ไกล พระองค์จักขจัดความสงสัยของเราได้
เหมือนพ่อค้านั่งถือตราชั่ง ฉะนั้น แล้วจึงบอกความนั้นแก่ภารัทวาชมาณพ
ทั้งสองก็พากันไปกราบทูลถ้อยคำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล วาเสฏฐมาณพ ฯลฯ ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์
บอกไว้นี้เป็นทางตรง ดังนี้.
บทว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมในข้อนี้ คือ ในเรื่องทางและมิใช่ทางนี้.
ในบทว่า การถือผิด การกล่าวผิด เป็นต้น ความว่า ถือผิด เกิดขึ้นก่อน
กล่าวผิดเกิดขึ้นภายหลัง. แม้ทั้งสองก็เป็นวาทะต่างจากวาทะของบรรดาอาจารย์
ต่าง ๆ. ในบทว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเธอจะถือผิด กล่าวผิดกันในข้อ
ไหน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า แม้เธอก็ยกย่องวาทะอาจารย์
ของตนเท่านั้นยืนยันอยู่ว่า นี้เท่านั้นเป็นทาง แม้ภารัทวาชมาณพก็ยกย่อง
วาทะอาจารย์ของตนเหมือนกัน ความสงสัยของคนหนึ่งย่อมไม่มีในคนหนึ่ง
เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเธอถือต่างกันในเรื่องอะไร. บทว่า ข้าแต่พระโคดม-
ผู้เจริญ ในทางและมิใช่ทาง ความว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในทาง
และมิใช่ทาง อธิบายว่าในทางตรง และมิใช่ทางตรง.
ได้ยินว่า มาณพนั้น ไม่กล่าวถึงทาง แม้ของพราหมณ์คนหนึ่งว่า
ไม่ใช่ทาง ก็ทางอาจารย์ของตนเป็นทางตรงฉันใด เขาไม่รับรู้ของผู้อื่นฉัน
นั้น เพราะฉะนั้น เมื่อจะแสดงความนั้น เขาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-

277