No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 258 (เล่ม 12)

บทว่า ที่อันตนควรบำรุง อธิบายว่า ควรถอนหญ้าที่ทำลายข้าว
กล้าแล้วทำให้เรียบร้อย.
เนื้อความแห่งการท้วงครั้งที่ ๓ ว่า คนอื่นจักทำอะไรแก่คนอื่นได้
หมายความว่า คนอื่นที่ถูกพร่ำสอนตั้งแต่เวลาที่ไม่รับคำสอน จักทำอะไร
แก่คนอื่น คือผู้พร่ำสอนได้ อธิบายว่า ศาสดานั้นควรถูกท้วงอย่างนี้ว่า ตน
นั่นแหละควรถึงความเป็นผู้ขวนขวายน้อย แล้วจึงควรนับถือบูชาธรรมที่ตน
รู้แจ้งแทงตลอดแล้วอยู่มิใช่หรือ.
บทว่า ไม่ควรท้วง อธิบายว่า เพราะศาสดานี้ตั้งตนไว้ในความ
เหมาะสมแล้วก่อนจึงแสดงธรรมแก่สาวก. และสาวกของเขาเป็นผู้เชื่อฟัง
ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนย่อมบรรลุคุณวิเศษยิ่งใหญ่ ฉะนั้น เขาจึงไม่ควรท้วง.
บทว่า ตกไปสู่เหว คือ นรก ความว่า เพราะเราถือทิฏฐิลามกเราจึง
ตกไปสู่เหว คือนรก. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกเราวางไว้บนบก ความ
ว่า โลหิจจพราหมณ์กล่าวว่า เราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดทิฏฐิลามกให้
แล้ว ทรงยกขึ้นจากเหว คืออบาย ด้วยพระหัตถ์คือพระธรรมเทศนา แล้ว
วางเราไว้บนบกคือทางสวรรค์ ดังนี้.
คำที่เหลือในสูตรนี้มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.
อรรถกถาโลหิจจสูตรแห่งอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินีจบ
แล้วด้วยประการฉะนี้.
สูตรที่ ๑๒ จบ

258
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 259 (เล่ม 12)

เตวิชชสูตร
[๓๖๕] ข้าพเจ้า ได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จถึงพราหมณคาม ของชาว
โกศลชื่อมนสากตะ. นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ อัมพวัน ใกล้
ฝั่งแม่น้ำ อจิรวดี ทางทิศเหนือมนสากตคาม เขตบ้านมนสากตะนั้น.
[๓๖๖] สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลเป็นอันมาก ผู้ที่เขารู้จักกัน
แพร่หลาย อาศัยอยู่ในมนสากตคาม เช่น วังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์
โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุโสนิพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ และพราหมณ์
มหาศาลผู้ที่เขารู้จักกันแพร่หลายอื่น ๆ อีก. ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพและ
ภารัทวาชมาณพเดินเที่ยวเล่นตามกันไป ได้พูดกันถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง
วาเสฏฐมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้น
เป็นทางตรง เป็นเส้นทางเดิน เป็นทางนำออก ย่อมนำผู้ดำเนินไปตามทาง
นั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม. ฝ่ายภารัทวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทาง
ที่ท่านตารุกขพราหมณ์ บอกไว้นี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นเส้นทางเดิน เป็น
ทางนำออก ย่อมนำผู้ดำเนินไปตามทางนั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้.
วาเสฏฐมาณพไม่อาจให้ภารัทวาชมาณพยินยอมได้ ฝ่ายภารัทวาชมาณพ ก็ไม่
อาจให้ วาเสฏฐมาณพยินยอมได้.
[๓๖๗] ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพจึงปรึกษากับภารัทวาชมาณพว่า
ภารัทวาชะ ก็พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยะตระกูล ประทับ
อยู่ ณ อัมพวันใกล้ฝั่งแม่น้ำ อจิรวดี ทางทิศเหนือ มนสากตคาม กิตติศัพท์อัน

259
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 260 (เล่ม 12)

ดีงามของพระสมณโคดมนั้น ได้แพร่ไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลก เป็นสารถีฝึกคนที่ควร
ฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรม ภารัทวาชะมาเกิด เราจักไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่
ประทับ ครั้นไปเฝ้าแล้วจักกราบทูลถามความข้อนี้กะพระสมณะโคดม พระ
สมณโคดมจักทรงพยากรณ์แก่เราอย่างใด เราจักทรงจำข้อความนี้ไว้อย่าง
นั้น ภารัทวาชมาณพรับคำวาเสฏฐมาณพแล้ว พากันไป.
[๓๖๘] ครั้งนั้น วาเสฏฐมาณพกับภารัทวาชมาณพ พากันเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้บันเทิงกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ผ่านสัมโมทนียกถาพอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
วาเสฏฐมาณพได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ทั้งสอง
เดินเล่นตามกันไป ได้พูดกันถึงเรื่องทางและมิใช่ทาง ข้าพระองค์พูดอย่างนี้
ทางที่ท่านโปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นสายทางเดิน
เป็นทางนำออก นำผู้เดินไปตามทางนั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้. ฝ่าย
ภารัชวาชมาณพพูดอย่างนี้ว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้นเป็น
ทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้เดินไปตามทางนั้น เพื่อ
ความอยู่ร่วมกับพรหมได้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ยังมีการทะเลาะ
ขัดแย้งและมีวาทะต่างกันอยู่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วาเสฏฐะ ได้ยินว่า ที่ท่านพูดว่าทางที่ท่าน
โปกขรสาติพราหมณ์บอกไว้นี้เท่านั้นเป็นทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทาง
นำออก นำผู้ดำเนินไปเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้.

260
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 261 (เล่ม 12)

ภารัทวาชมาณพพูดว่า ทางที่ท่านตารุกขพราหมณ์บอกไว้เท่านั้นเป็น
ทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปเพื่อความอยู่รวม
กับพรหมได้.
วาเสฏฐะ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเธอจะมีการทะเลาะ ขัดแย้งและมี
วาทะต่างกันในข้อไหน.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องทางและมิใช่ทาง พราหมณ์คือ-
พราหมณ์พวกอัทธริยะ พราหมณ์พวกติตติริยะ พราหมณ์พวกฉันโทกะ
พราหมณ์พวกพัวหริธะ ย่อมบัญญัติหนทางต่างๆ กันก็จริง ถึงอย่างนั้น ทาง
เหล่านั้นทั้งหมด เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม
ได้ เปรียบเหมือนในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม แม้หากจะมีทางต่างๆ กันมาก
สาย ที่แท้ทางเหล่านั้นทั้งหมดล้วนมารวมลงในบ้านเหมือนกับฉันใด ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ. . . เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้ฉันนั้น.
วาเสฏฐะ เธอพูดว่า ทางเหล่านั้นนำออกหรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พูดอย่างนั้นพระเจ้าข้า.
[๓๖๙] วาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้จบไตรเพท พราหมณ์แม้คน
หนึ่ง ที่เห็นพรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีพระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ อาจารย์แม้คนหนึ่ง ของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ที่เห็น
พรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมเจริญ ไม่มีพระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ปาจารย์ แม้คนหนึ่งของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ที่เห็น
พรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.

261
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 262 (เล่ม 12)

วาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ ของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท
ที่เห็นพรหมมีเป็นพยานอยู่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ พวกฤษีเป็นบุรพาจารย์ของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท คือ
ฤษีอัฏฐกะ วามกะ วามเทวะ เวสามิตตะ ยมตัคคี อังคีรส ภารัทวาชะ
วาเสฏฐะ กัสสปะ ภคุ ซึ่งเป็นผู้แต่งมนต์ ร่ายมนต์ที่ในปัจจุบันนี้ พวก
พราหมณ์ผู้จบไตรเพท ขับกล่าวบอกสอนตาม ซึ่งมนต์บทเก่านี้ ที่ท่านขับ
แล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว ได้ถูกต้อง แม้ท่านเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
พวกเรารู้พวกเราเห็น พรหมนั้นว่า อยู่ ณ ที่ใด อยู่โดยอาการใด หรืออยู่ใน
เวลาใด ดังนี้ ยังมีอยู่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
[๓๗๐] วาเสฏฐะ บรรดาพราหมณ์ผู้จบไตรเพท แม้พราหมณ์สัก
คนหนึ่ง ที่เห็นพรหมมีเป็นพยาน ไม่มีเลยหรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ แม้อาจารย์สักคนหนึ่งของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ที่เห็น
พรหมเป็นพยานไม่มีเลยหรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ แม้ปาจารย์ของอาจารย์ แห่งพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ที่เห็น
พรหมเป็นพยานไม่มีเลยหรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ อาจารย์ที่สืบเนื่องมาเจ็ดชั่วอาจารย์ ของพราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพท ที่เห็นพรหมเป็นพยานไม่มีเลยหรือ.

262
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 263 (เล่ม 12)

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ได้ยินว่า พวกฤษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพท คือ ฤษีอัฏฐกะ............ภคุ ซึ่งเป็นผู้แต่งมนต์ ร่ายมนต์ ที่ใน
ปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ขับ กล่าว บอก สอนตาม ซึ่งมนต์
บทเก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว ได้ถูกต้อง แม้ท่าน
เหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรารู้เห็นพรหมนั้น อยู่ ณ ที่ใด โดยอาการใด
หรืออยู่ในเวลาใด พราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเรา
ไม่รู้ไม่เห็น แต่พวกเรา แสดงหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมเหล่านั้นว่า
หนทางนี้แหละ เป็นทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนิน
ไปตามทางนั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้.
[๓๗๑] เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิต
ของพราหมณ์ผู้จบไตรเพทย่อมไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ. ข้าแต่พระโคดมผู้-
เจริญ ภาษิตของพราหมณ์ผู้จบไตรเพทย่อมไม่มีปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็น
พรหม แต่แสดงหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมว่า หนทางนี้แหละเป็นทาง
ตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นเพื่อความ
อยู่ร่วมกับพรหมได้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ วาเสฏฐะ เหมือนแถวคน
ตาบอดเกาะหลังกันและกัน คนต้นก็ไม่เห็น คนกลางก็ไม่เห็น แม้คนหลังก็
ไม่เห็น ภาษิตของพราหมณ์ผู้จบไตรเพท เหล่านั้น จึงเป็นคำน่าหัวเราะที
เดียว เป็นคำต่ำช้า เป็นคำว่าง เป็นคำเปล่า. วาเสฏฐะ เธอจะสำคัญความ
ข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์จบไตรเพทย่อมเห็นพระจันทร์พระอาทิตย์ แม้ชน

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 264 (เล่ม 12)

อื่นเป็นอันมากก็เห็น พระจันทร์และพระอาทิตย์ ขึ้นเมื่อใด ตกเมื่อใด
พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน ชื่นชมประนมมือ นอบน้อม เดินเวียนรอบ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ผู้จบไตรเพท ย่อมเห็นพระจันทร์
และพระอาทิตย์ แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็เห็น พระจันทร์และพระอาทิตย์
ขึ้นเมื่อใด ตกเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน ชื่นชม ประนมมือ
นอบน้อม เดินเวียนรอบ อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๓๗๒] วาเสฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน พราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพท เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ แม้ชนอื่นเป็นอันมากก็เห็น พระ-
จันทร์และพระอาทิตย์ ขึ้นเมื่อใด ตกเมื่อใด พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมอ้อนวอน
ชื่นชม ประนมมือ นอบน้อม เดินเวียนรอบ พราหมณ์ผู้จบไตรเพทสามารถ
แสดงหนทางเพื่อความอยู่กับพระจันทร์และพระอาทิตย์แม้เหล่านั้น ว่า
ทางนี้แหละเป็นทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตาม
ทางนั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ดังนี้ได้หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได้พระเจ้าข้า
วาเสฏฐะ ได้ยินว่าพราหมณ์ผู้จบไตรเพท....นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้น
เพื่อความอยู่รวมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็จะกล่าวกันทำไม พราหมณ์
ผู้จบไตรเพทมิได้เห็นพรหมเป็นพยาน แม้พวกอาจารย์ของพราหมณ์ผู้จบ
ไตรเพทก็มิได้เห็น แม้พวกปาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์ผู้จบไตรเพท
ก็มิได้เห็น แม้พวกอาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ก็มิได้เห็น แม้พวกฤษีผู้เป็น
บุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพทคือ ฤษี อัฏฐกะ..........ซึ่งเป็นผู้
แต่งมนต์ ร่ายมนต์ ที่ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ขับ กล่าว บอก

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 265 (เล่ม 12)

สอนตาม ซึ่งมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว ได้ถูกต้อง
แม้ท่านเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่รู้ไม่เห็นว่า พรหมอยู่ ณ ที่ใด
หรืออยู่โดยอาการใด หรืออยู่ในเวลาใด พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น
แหละ พากันกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราแสดงหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม
ที่เราไม่รู้ไม่เห็นนั้นว่า ทางนี้แหละเป็นทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทาง
นำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้น เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมได้.
[๓๗๓] วาเสฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้
ภาษิตของพราหมณ์ผู้จบไตรเพทย่อมไม่มีปาฏิหาริย์ มิใช่หรือ.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพราหมณ์ผู้จบไตรเพทย่อมไม่มี
ปาฏิหาริย์พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ ก็พราหมณ์ผู้จบไตรเพท ไม่รู้จักพรหม ไม่เห็นพรหม
แต่แสดงหนทางเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมนั้นว่า เป็นทางตรง เป็นสายทาง
เดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้นเพื่อความอยู่ร่วมกับพรหม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๗๔] วาเสฏฐะ เหมือนบุรุษพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารัก
ใคร่นางชนบทกัลยาณี ในชนบทนี้ ชนทั้งหลายพึงถามเขาว่า นางชนบทกัล-
ยาณี ที่ท่านปรารถนารักใคร่นั้นท่านรู้จักหรือว่า เป็นนางกษัตริย์ เป็น
พราหมณี เป็นนางแพศยา หรือนางศูทร เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบ
ว่า ไม่รู้จัก ชนทั้งหลายพึงถามเขาว่า นางชนบทกัลยาณี ที่ท่านปรารถนารัก
ใคร่นั้น ท่านรู้จักหรือว่า นางมีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ สูง ต่ำ หรือ สันทัด
ดำคล้ำ ผิวสีทอง อยู่ในบ้าน นิคม หรือเมืองโน้น เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว
เขาพึงตอบว่า ไม่รู้จักเลย ชนทั้งหลาย พึงถามเขาว่า ท่านปรารถนารักใคร่

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 266 (เล่ม 12)

หญิงที่ท่านไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นเลยดังนั้นหรือ เมื่อเขาถูกถามดังนี้ เขาพึงตอบ
ว่าถูกแล้ว วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ คำ
กล่าวของบุรุษนั้นไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ. แน่นอนพระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่าพราหมณ์ผู้จักไตรเพทก็ดี
อาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี อาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์พวกนั้นก็
ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ ของพราหมณ์นั้นก็ดี เหล่าฤษีผู้เป็นบุรพา-
จารย์ของพราหมณ์พวกนั้นก็ดี ต่างก็มิได้เห็นพรหมเป็นพยาน.
[๓๗๕] วาเสฏฐะ เหมือนบุรุษทำพะองขึ้นปราสาทในทางใหญ่ ๔
แพร่ง ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่า ผู้เจริญ ท่านทำพะองขึ้นปราสาทใด
ท่านรู้จักปราสาทนั้นหรือว่า อยู่ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือทิศ
เหนือ สูง ต่ำ หรือปานกลาง. เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า ไม่รู้จัก
ดอก. ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาต่อไปว่า ท่านจะทำพะองขึ้นปราสาทที่ท่าน
ไม่รู้จักไม่เคยเห็นหรือ. เมื่อเขาถูกถามดังนั้นแล้ว เขาถึงตอบว่า ถูกแล้ว.
วาเสฏฐะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของ
บุรุษนั้นย่อมไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ.
แน่นอน พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพทก็ดี
อาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพทก็ดี อาจารย์ของอาจารย์แห่งพราหมณ์
ผู้จบไตรเพทก็ดี อาจารย์ที่สืบมาเจ็ดชั่วอาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท
นั้นก็ดี เหล่าฤษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพทก็ดี ต่างก็มี
ได้เห็นพรหมเป็นพยาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาษิตของพวกพราหมณ์ผู้ได้จบ
ไตรเพท ไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ.

266
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 267 (เล่ม 12)

ถูกแล้ว พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ดีละ พราหมณ์ผู้จบไตรเพทเหล่านั้น ไม่รู้จักพรหม ไม่เคย
เห็นพรหม แต่แสดงหนทาง เพื่อความอยู่ร่วมกับพรหมนี้ว่า ทางนี้แหละเป็น
ทางตรง เป็นสายทางเดิน เป็นทางนำออก นำผู้ดำเนินไปตามทางนั้น เพื่อ
ความอยู่ร่วมกับพรหม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๗๖] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือนแม่น้ำ อจิรวดี นี้ น้ำเต็มเปี่ยม
เสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ ครั้งนั้น บุรุษผู้ต้องการจะข้ามฝั่งแสดงหาฝั่ง ไปยังฝั่ง
ประสงค์จะข้ามฝั่งไปฝั่งโน้น เขายืนที่ฝั่งข้างนี้ร้องเรียกฝั่งโน้นว่า ฝั่งโน้นจง
มาฝั่งนี้ วาเสฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฝั่งโน้นของแม่น้ำอจิรวดี
จะพึงมาฝั่งนี้ เพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุปรารถนา
หรือเพราะเหตุยินดีของบุรุษนั้นหรือ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.
วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน พวกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท ละธรรม
ที่ทำให้เป็นพราหมณ์เสีย ยึดถือธรรมที่ไม่ทำให้เป็นพราหมณ์ ประพฤติอยู่
กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราร้องเรียกหาพระอินทร์ ร้องเรียกหาพระจันทร์ ร้อง
เรียกหาพระวรุณ พระอีสาน พระประชาบดี พระพรหม พระมหินท์.
วาเสฏฐะ ก็พราหมณ์ผู้จบไตรเพท เหล่านั้น ละธรรมที่ทำให้เป็นพราหมณ์
ยึดถือธรรมที่ไม่ทำให้เป็นพราหมณ์ ประพฤติอยู่ เมื่อตายไปแล้ว จักเข้า
ถึงความอยู่ร่วมกับพรหมเพราะเหตุร้องเรียก เพราะเหตุอ้อนวอน เพราะเหตุ
ปรารถนาหรือเพราะเหตุยินดี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๓๗๗] วาเสฏฐะ เปรียบเหมือน แม่น้ำอจิรวดี น้ำเต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง
กาดื่มกินได้ ครั้งนั้นบุรุษผู้ต้องการจะข้ามฝั่ง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามไป

267