No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 248 (เล่ม 12)

โคดม. ดูก่อนโลหิจจะ ผู้ใดหนอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงปกครองแคว้นกาสี และโกศลอยู่ พระองค์ควรทรงใช้สอยผลประโยชน์
ที่เกิดขึ้นในแคว้นกาสีและโกศลแต่พระองค์เดียว ไม่ควรพระราชทานแก่ผู้อื่น
ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อว่าทำอันตรายหรือไม่ทำอันตรายแก่พวกท่านและคนอื่น
ซึ่งได้พึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้าปเสนทิโกศลเลี้ยงชีพอยู่.
ชื่อว่าทำอันตราย ท่านโคดม. เมื่อทำอันตรายชื่อว่าเป็นผู้หวังประโยชน์
หรือไม่หวังประโยชน์แก่ชนเหล่านั้น.
ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ ท่านโคดม. ผู้ที่ไม่หวังประโยชน์ จะชื่อว่า
เข้าไปตั้งเมตตาจิต หรือเป็นศัตรูในชนเหล่านั้นเล่า. เป็นศัตรูสิท่านโคดม.
เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูแล้ว จะชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิ
เล่า. เป็นมิจฉาทิฏฐิสิท่านโคดม.
ดูก่อนโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า มีคติเป็น ๒ คือ
นรกหรือกำเนิดเดียรฉาน คติอย่างใดอย่างหนึ่ง.
[๓๕๘] ดูก่อนโลหิจจะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใดพึง
กล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ ครองบ้านสาลวติกา ควรใช้สอยผลประ-
โยชน์อันเกิดในบ้านสาลวติกาแต่ผู้เดียว ไม่ควรให้ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น
ชื่อว่าทำอันตรายแก่ชนที่อาศัยเลี้ยงชีพอยู่ เมื่อทำอันตราย ชื่อว่าไม่หวัง
ประโยชน์ เมื่อไม่หวังประโยชน์ ชื่อว่า เข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิต
เป็นศัตรู ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนั้นนั่นแล.
โลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะ หรือพราหมณ์ในโลกนี้ ควร
บรรลุกุศลธรรมแต่แล้วไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้
บุคคลตัดเครื่องจำจองเก่าได้แล้ว ควรสร้างเครื่องจำจองอย่างอื่นขึ้นใหม่ ฉัน-

248
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 249 (เล่ม 12)

ใด ข้ออุปไมยก็ฉันนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนั้น ชื่อว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้อาศัย
ธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว จึงบรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้
ย่อมทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตตผล
บ้าง และแก่กุลบุตรผู้ที่บ่มครรภ์อันเป็นทิพย์ เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์
เมื่อทำอันตราย ย่อมชื่อว่าไม่หวังประโยชน์ เมื่อไม่หวังประโยชน์ ย่อมชื่อว่า
เข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรูเมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู ย่อมชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ดูก่อน
โลหิจจะ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น ๒ คือ นรก หรือกำเนิดเดียรัจ
ฉาน คติอย่างใดอย่างหนึ่ง
[๓๕๙] ดูก่อนโลหิจจะ ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันฟังได้ว่า ผู้ใด
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงครองแคว้นกาสี และโกศล
พระองค์ทรงใช้สอยผลประโยชน์อันเกิดขึ้นในแคว้นกาสีและโกศล แต่พระ-
องค์เดียว ไม่พระราชทานแก่ผู้อื่น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้นชื่อว่า ทำอันตรายแก่
ชนทั้งหลาย คือตัวท่านและคนอื่น เมื่อทำอันตราย ชื่อว่าไม่หวังประโยชน์
เมื่อไม่หวังประโยชน์ ชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อเข้าไปตั้งจิตเป็นศัตรู
ชื่อว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็เช่นเดียวกัน. โลหิจจะ ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะ
หรือพราหมณ์ในโลกนี้พึงบรรลุกุศลธรรม แต่แล้วไม่พึงบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่น
ต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้. บุคคลตัดเครื่องจองจำอันเก่าแล้ว ควรสร้างเครื่อง
จองจำอย่างอื่นใหม่ ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรม คือความโลภ ว่าเป็น
ธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้น ชื่อ
ว่าทำอันตรายแก่กุลบุตรผู้ที่ได้อาศัยธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว จึง
บรรลุธรรมวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ คือทำให้แจ้งโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคา-
มิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตตผลบ้างและแก่กุลบุตรผู้บ่มครรภ์อันเป็นทิพย์

249
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 250 (เล่ม 12)

เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ เมื่อทำอันตรายชื่อว่า ไม่หวังประโยชน์
เมื่อไม่หวังประโยชน์ ชื่อว่าตั้งจิตเป็นศัตรู เมื่อตั้งจิตเป็นศัตรู ย่อมชื่อว่าเป็น
มิจฉาทิฏฐิ ดูก่อนโลหิจจะ เรากล่าวว่ามีคติเป็น ๒ คือ นรก หรือกำเนิด
เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
[๓๖๐] ดูก่อนโลหิจจะ ศาสดา ๓ จำพวกนี้ ควรประท้วงได้ในโลก
การประท้วงศาสดาเห็นปานนี้ของเขา เป็นการประท้วงที่เป็นจริงแท้ เป็นธรรม
ไม่มีโทษ ศาสดา ๓ จำพวกเป็นไฉน ดูก่อนโลหิจจะ ศาสดาบางคนในโลกนี้
ออกจากเรือนบวช เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะนั้น
เขาไม่ได้บรรลุ แต่แล้วก็แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่าน
ทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของท่านย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยหู
ฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงประพฤตินอกคำสอนของศาสดา. เขาจะ
พึงถูกประท้วงอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านออกจากเรือนบวช เพื่อประโยชน์
อันใด ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว แต่แล้วท่านก็
แสดงธรรมแก่สาวกว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของ
ท่านทั้งหลาย สาวกของท่านย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
และย่อมหลีกเลี่ยงประพฤตินอกคำสอนของศาสนา เหมือนบุรุษรุกเข้าไป
หาสตรีที่กำลังถอยหลังหนี หรือเหมือนบุรุษที่กอดสตรีที่หันหลังให้ ฉันใด
ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือ ความโลภว่าเป็นธรรมอันลามก เพราะ
ผู้อื่นต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้ ดังนี้ ดูก่อนโลหิจจะนี้เป็นศาสดาที่หนึ่งซึ่ง
ควรประท้วงในโลก อนึ่ง การประท้วงของผู้ประท้วงศาสดาเห็นปานนี้
เป็นจริง แท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.
[๓๖๑] ดูก่อนโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจาก

250
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 251 (เล่ม 12)

เรือนบวช เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะนั้น เขาไม่ได้
บรรลุ แต่เขาแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย
นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย สาวกของเขาย่อมตั้งใจฟัง เงี่ยหูฟัง ตั้งจิต
เพื่อรู้ทั่วถึง และไม่หลีกเลี่ยงประพฤตินอกคำสอนของศาสดา เขาจะพึงถูก
ประท้วงว่า ท่านออกจากเรือนบวช เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์แห่งความ
เป็นสมณะนั้น ท่านไม่ได้บรรลุแล้ว แต่ท่านแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี้
เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลายสาวกของท่าน
นั้นย่อมตั้งใจฟัง ย่อมเงี่ยหูฟัง ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง และไม่หลีกเลี่ยวประพฤตินอก
คำสอนของศาสดา เหมือนบุคคลทิ้งนาของตนแล้ว สำคัญของผู้อื่นว่า เป็นที่
ที่ตนควรทำให้ดี ฉันใด คำอุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภ ว่า
เป็นธรรมอันลามก เพราะผู้อื่นต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้ ดูก่อนโลหิจจะ นี้แล
ศาสดาคนที่สาม ซึ่งควรประท้วงในโลก อนึ่ง การประท้วงของผู้ประท้วง
ศาสดาเห็นปานนั้น ชื่อว่าเป็นจริง แท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.
[๓๖๒] ดูก่อนโลหิจจะ อีกข้อหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ ออกจาก
เรือนบวช เพื่อประโยชน์อันใด เขาบรรลุประโยชน์ของสมณะนั้นแล้ว จึง
แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ของเขาว่า นี้ เพื่อประโยชน์ของท่านทั้ง
หลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย ดังนี้ สาวกของเขาย่อมไม่ตั้งใจฟัง ไม่
เงี่ยหูฟังไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อความรู้ทั่ว หลีกเลี่ยงประพฤตินอกคำสอนของศาสดา
เขาพึงท้วงว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านออกจากเรือนบวชเพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์
แห่งความเป็นสมณะนั้น ท่านได้บรรลุแล้ว จึงแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า นี้
เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย นี้เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย ดังนี้ สาวกเหล่า
นั้น ย่อมไม่ตตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าใจไปตั้งจิตเพื่อความรู้ทั่ว และหลีกเลี่ยง

251
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 252 (เล่ม 12)

ประพฤตินอกคำสอนของศาสดา เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว สร้าง
เครื่องจองจำอย่างอื่นขึ้นใหม่ ฉันใด คำอุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรม คือ
ความโลภว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นต่อผู้อื่นจักทำอะไรกันได้ ดังนี้ ดูก่อน
โลหิจจะ ศาสดาคนที่สาม นี้ควรประท้วงในโลก อนึ่ง ผู้ใดประท้วงศาสดา การ
ประท้วงของผู้ประท้วงเป็นปานนี้ ชื่อว่าเป็นจริง แท้ เป็นธรรม ไม่มีโทษ.
ดูก่อนโลหิจจะ ศาสดาสามจำพวกเหล่านี้แล ควรท้วงได้ในโลก อนึ่ง
การประท้วงของผู้ประท้วงศาสดา เห็นปานนี้ ชื่อว่าเป็นจริงแท้ เป็นธรรม ไม่-
มีโทษ ดังนี้.
[๓๖๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว โลหิจจพราหมณ์ได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ศาสดาบางคนที่ไม่ควรท้วงในโลก มีบ้าง
หรือ
ดูก่อนโลหิจจะ ศาสดาที่ไม่ควรท้วงในโลกมีอยู่. ข้าแต่พระโคดมผู้-
เจริญก็ศาสดาที่ไม่ควรท้วงในโลกเป็นไฉน.
ดูก่อนโลหิจจะ พระตถาคตเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ฯลฯ (พึงขยายความให้พิสดารเหมือนในสามัญญ-
ผลสูตร) ฯลฯ ดูก่อนโลหิจจะ ภิกษุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาการอย่างนี้ ฯลฯ
เข้าถึงปฐมฌานอยู่.
ดูก่อนโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดา
ใด ศาสดานี้แลไม่ควรประท้วงในโลก อนึ่ง การประท้วงของผู้ประท้วงศาสดา
เห็นปานนี้ชื่อว่า ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม มีโทษ ฯลฯ เข้าถึงฌานที่ ๒ ที่ ๓
ที่ ๔ อยู่. ดูก่อนโลหิจจะ สาวกได้บรรลุคุณวิเศษอันโอฬารเห็นปานนี้ในศาสดา
ใด ศาสดาแม้นี้แลไม่ควรประท้วงในโลก อนึ่งการประท้วงของผู้ประท้วงศาสดา

252
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 253 (เล่ม 12)

เห็นปานนี้ ชื่อว่า ไม่จริง ไม่แท้ ไม่เป็นธรรม มีโทษ ฯลฯ เธอย่อมน้อม
โน้มจิตใจไปเพื่อญาณทัสสนะ. สาวกในศาสดาใดฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ฯลฯ
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี. สาวกในศาสดาใด...ไม่เป็นธรรมมีโทษ.
[๓๖๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว โลหิจจพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุรุษผู้หนึ่งพึง
ฉวยผมบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังจะตกไปสู่เหว คือนรกไว้ ฉุดขึ้นให้ยืนอยู่บนบก
ฉันใด ข้าพระองค์กำลังจะตกไปสู่เหว คือนรก พระโคดมผู้เจริญได้ยกขึ้นให้
ยืนอยู่บนบก ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
ไพเราะยิ่งนัก จับใจยิ่งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุจักเห็น
รูปดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญก็ทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉัน
นั้นเหมือนกัน
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระโคดมผู้เจริญพร้อมทั้ง
พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดจงทรงจำข้า-
พระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะอย่างมอบกายถวายชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น
ไปเถิด.
จบโลหิจจสูตรที่ ๑๒

253
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 254 (เล่ม 12)

อรรถกถาโลหิจจสูตร
โลหิจจสูตร มีบทเริ่มต้นว่า (ข้าพเจ้าพระอานนทเถระเจ้า) ได้
สดับมาแล้วอย่างนี้...............ในแคว้นโกศล
ต่อไปนี้เป็นการอธิบายบทที่ยากในโลหิจจสูตรนั้น บทว่า สาลวติกา
เป็นชื่อของบ้านนั้น. ได้ยินมาว่าบ้านนั้นล้อมด้วยไม้สาละ เป็นแถวไปตาม
ลำดับเหมือนล้อมรั้ว เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า บ้านสาลาติกา. บทว่า. โลหิจจะ
เป็นชื่อพราหมณ์ผู้นั้น.
บทว่า ลามก คือ ชื่อว่าลามก เพราะเว้นจากการอนุเคราะห์ผู้อื่น.
แต่ไม่ใช่อุจเฉททิฏฐิ และสัสสตทิฏฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า เกิดขึ้นแล้ว
คือบังเกิดแล้ว ได้แก่ ไม่ใช่เพียงเกิดในใจอย่างเดียวเท่านั้น. นัยว่า โลหิจจ-
พราหมณ์นั้นยังพูดอย่างนั้น แม้ในท่ามกลางบริษัท ตามอำนาจของใจ.
บททั้งหลายว่า เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ ดังนี้ อธิบายว่า
คนอื่นจะพูดว่า ผู้ที่ถูกเขาพร่ำสอนจักทำอะไร แก่ผู้พร่ำสอนนั้นได้ ตนเอง
นั่นแหละควรสักการะเคารพกุศลธรรมที่ตนได้แล้วอยู่. ข้อว่า โลหิจจพราหมณ์
เรียกช่างกัลบกชื่อโรสิกามา มีความว่า โลหิจจพราหมณ์เรียกช่างกัลบกผู้ได้
ชื่อเป็นอิตถีลิงค์อย่างนี้ว่าโรสิกา นัยว่าเขาทราบถึงการเสด็จมาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้วคิดว่า การที่เราจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่ประทับจะเป็นภาระ
แต่เราจะอาราธนาให้เสด็จมายังเรือน แล้วเข้าเฝ้า และจักถวายอาคันตุกภิกษา
ตามกำลัง เพราะฉะนั้น โลหิจจพราหมณ์จึงเรียก โรสิกาช่างกัลบกนั้นมา.
บทว่า ตามเสด็จไปข้างหลัง ๆ หมายความว่า โรสิกาช่างกัลบกตาม
เสด็จไปข้างหลัง ๆ เพื่อสะดวกในการทูลสนทนา. บทว่า ขอจงทรง-

254
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 255 (เล่ม 12)

ปลดเปลื้อง คือ โรสิกากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงปลดเปลื้อง คือ กำจัดจากความเห็นลามก นัยว่าโรสิกานี่เป็นอุบาสกเป็น
เพื่อนรัก ของโลหิจจพราหมณ์ เพราะฉะนั้น จึงกราบทูลอย่างนั้น เพราะหวัง
ประโยชน์แก่โลหิจจพราหมณ์. ในบทว่า ไม่เป็นไร โรสิกา นี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงด้วยพระดำรัสแรก ทรงเปล่งพระสุรเสียงย้ำ
อีกด้วยพระดำรัสที่สอง. ในบทนี้ พึงทราบอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงข้อความนี้ว่า ดูก่อนโรสิกา เรากระทำทุกรกิริยาหลายอย่าง
และบำเพ็ญบารมี ตลอดสี่อสงไขย และตลอดแสนกัป ก็เพื่อประโยชน์นี่แหละ
เรารู้แจ้งแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ ก็เพื่อประโยชน์นี่อีกแหละ การขจัด
ความเห็นลามกของโลหิจจพราหมณ์ไม่ใช่เรื่องหนัก ของเรา ดังนี้ ชื่อว่าทรง
เปล่งพระสุรเสียงด้วยพระดำรัสแรก. และเมื่อจะทรงแสดงความข้อนี้ว่า ดูก่อน
โรสิกา การมาก็ดี การนั่งดี การสนทนาปราศรัยก็ดี ในสำนักเราของโลหิจจ-
พราหมณ์ทั้งหมดนี้จงยกไว้ก่อน แม้ว่า บุคคลเช่นโลหิจจพราหมณ์มีความ
สงสัยในปัญหาตั้งแสนข้อ เราก็มีกำลังพอที่จะบรรเทาความสงสัยได้แต่
ในการบรรเทาความเห็นลามกของโลหิจจพราหมณ์เพียงคนเดียว ไฉนจะเป็น
เรื่องหนักของเราเล่าดังนี้ จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงย้ำด้วยพระดำรัสที่สอง
บทว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยคือการ
เกิดขึ้นแห่งโภคทรัพย์ อธิบายว่าทรัพย์และข้าวเปลือกอันเกิดขึ้นจากผลประ-
โยชน์นั้น. บทว่า ผู้ที่เข้าไปอาศัยเลี้ยงชีพ คือ ชนทั้งหลายมีญาติบริวารชน
ทาสและกรรมกรเป็นต้น อาศัยเขาเลี้ยงชีพ. บทว่า ผู้ทำอันตราย คือ
ผู้ทำอันตรายทางลาภ. คำว่า ประโยชน์ ในบทว่า อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์
ได้แก่ความความเจริญ. บุคคลย่อมเอ็นดู เพราะฉะนั้นชื่อว่าผู้อนุเคราะห์ ความ-

255
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 256 (เล่ม 12)

ว่าย่อมปรารถนา ท่านกล่าวอธิบายว่าปรารถนาความเจริญ หรือไม่ปรารถนา.
บทว่า นรก หรือกำเนิดเดียรัจฉานมีอธิบายว่า หากว่าความเห็นผิดนั้น
สมบูรณ์ คือ เป็นความแน่นอน ย่อมเกิดในนรก โดยส่วนเดียว หากยังไม่
แน่นอน ย่อมเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน.
บัดนี้ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะให้พราหมณ์เกิด
ความสลดใจยิ่งขึ้น เหมือนอย่างสัตว์ทั้งหลายสลดใจด้วยอันตรายทางลาภของ
ตนเอง มิใช่สลดใจด้วยอันตรายทางลาภของคนอื่น ฉะนั้น จึงตรัสเรื่องเกิด
ขึ้นครั้งที่สองว่า โลหิจจะ ท่านสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนดังนี้.
บทว่า กุลบุตรทั้งหลายเหล่านี้ ได้แก่ กุลบุตรเหล่านี้สดับพระ-
ธรรมเทศนาของพระตถาคต แล้วไม่สามารถจะก้าวลงสู่อริยภูมิได้. บทว่า
ครรภ์อันเป็นทิพย์ รูปศัพท์เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ แปลว่า
ซึ่งครรภ์อันเป็นทิพย์. อนึ่งบทว่า ครรภ์อันเป็นทิพย์นี้ เป็นชื่อ ของเทวโลก
๖ ชั้น. บทว่า กุลบุตรทั้งหลายย่อมบำรุง อธิบายว่า กุลบุตรทั้งหลาย
บำเพ็ญปฏิปทา เพื่อไปสู่เทวโลก ให้ทาน รักษาศีล ทำการบูชาด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้น เจริญภาวนา ชื่อว่าย่อมบำรุงบริหาร ย่อมอบรม คือว่า
ย่อมเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลง
บทว่า เพื่อบังเกิดในภพอันเป็นทิพย์ อธิบายว่า วิมานของเทวดา
ทั้งหลาย ชื่อว่าภพเป็นทิพย์ เพื่อจะไปเกิดในวิมานเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า ครรภ์อันเป็นทิพย์ หมายถึง บุญวิเศษมีทานเป็นต้น. บทว่า ภพอัน-
เป็นทิพย์ อธิบายว่า ภพทั้งหลายเป็นวิบากขันธ์ในเทวโลก กุลบุตรทั้งหลาย
กระทำบุญเพื่อเกิดในภพเหล่านั้น. บทว่า ทำอันตรายแก่ชนเหล่านั้น คือ

256
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 257 (เล่ม 12)

ทำอันตรายแห่งมรรคสมบัติ ผลสมบัติ และความวิเศษแห่งภพอันเป็นทิพย์
ของชนเหล่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงทำลายมานะของพราหมณ์ซึ่งขึ้นไป
จนถึงภวัคคพรหม โดยวิธีอุปมาโดยไม่กำหนด แล้วทรงแสดงถึงศาสดา
๓ จำพวก ผู้ควรท้วง จึงตรัสพระดำรัสเป็นอาทิว่า ดูก่อนโลหิจจะ ศาสดา ๓
จำพวกเหล่านี้. บทว่า การท้วงนั้น คือ การท้วงของผู้ท้วงศาสดา ๓ จำพวก
เหล่านั้น. บทว่า ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่งถึงคือไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้รอบ
คือเพื่อประโยชน์แก่การรู้ทั่ว บทว่า หลีกเลี่ยง อธิบายว่า ไม่กระทำตามคำ
สั่งสอนของศาสดานั้นตลอดเวลา หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนนั้น. บทว่า
พึงลุกเข้าไปหาสตรีที่กำลังถอยหลังหนี คือเข้าไปหาผู้ที่ถอยหนี ต้องการ
หญิงที่เขาไม่ต้องการ อธิบายว่า หญิงคนหนึ่งผู้ไม่ต้องการอยู่ร่วม ตัวคนเดียว
ก็ยังต้องการอยู่. บทว่า บุรุษพึงกอดสตรีที่หันหลังให้ อธิบายว่า บุรุษไปข้าง
หลังแล้วกอดสตรีผู้ไม่อยากแม้จะเห็นยืนหันหลังให้ บทว่า ข้ออุปไมยนี้ก็
ฉันนั้น อธิบายว่า เมื่อศาสดาแม้นี้คิดว่า พวกนี้เป็นสาวกของเรา แล้วสอน
สาวกผู้หลีกเลี่ยงประพฤติจากคำสอนด้วยความโลภ เราจึงกล่าวธรรมคือความ
โลภนี้ว่า มีข้ออุปไมยฉันนั้น ศาสดานั้นควรถูกท้วงว่า ท่านได้เป็นเหมือน
บุรุษที่รุกเข้าไปหาสตรีที่กำลังหนี เหมือนบุรุษพึงกอดสตรีที่หันหลังให้ ด้วย
ธรรมคือความโลภใด ธรรมคือความโลภของท่านนั้นก็เป็นอย่างนี้ ด้วย
ประการฉะนี้. ข้อที่ว่า เพราะคนอื่นจักทำอะไรแก่คนอื่นได้ มีอธิบายว่า
ศาสดาย่อมควรถูกท้วงว่า ท่านสอนคนอื่นด้วยธรรมใด ท่านจงยังตนให้ถึง
พร้อมในธรรมนั้นก่อน คือท่านจงทำให้ตรง เพราะคนอื่นจักทำอะไรให้คน
อื่นได้.

257