No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 238 (เล่ม 12)

เรื่องนี้และเรื่องนี้เป็นไปแล้ว. บทว่า วิชาชื่อมณิกา ท่านชี้แจงว่า มีวิชาหนึ่ง
ในโลกได้ชื่ออย่างนี้ว่า จินดามณี บุคคลย่อมรู้ถึงจิตของคนอื่นได้ ด้วยวิชา
จินดามณีนั้น.
บทว่า ท่านทั้งหลายจงตรึกอย่างนี้ คือ ตรึกให้เป็นไปทาง เนก-
ขัมมวิตกเป็นต้น. บทว่า อย่าตรึกอย่างนี้ คือ อย่างตรึกให้เป็นไปกามวิตก
เป็นต้น. บทว่า จงทำในใจอย่างนี้ คือ ทำในใจถึงอนิจจสัญญา หรือ อย่างใด
อย่างหนึ่ง ในทุกขสัญญาเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า อย่า........อย่างนี้ คือ อย่าทำ
ในใจโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นของเที่ยง ดังนี้. บทว่า จงละสิ่งนี้ อธิบายว่า จงเข้าถึง
กำหนัดอันเคลือบด้วยกามคุณนี้. บทว่า จงเข้าถึงสิ่งนี้ อธิบายว่า จงเข้าถึง
คือ บรรลุ สำเร็จ โลกุตตรธรรม อันได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นี้แลอยู่. พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ชื่อ อิทธิปาฏิหริย์ การรู้จิตของผู้อื่น แล้ว
พูด ชื่อ อาเทศนาปาฏิหาริย์ การแสดงธรรมเนือง ๆ ของพระสาวกและของ
พระพุทธเจ้า ชื่อ อนุสาสนีปาฏิหาริย์.
ในปาฏิหาริย์เหล่านั้น พระมหาโมคคัลลานะแสดง อนุสาสนีปาฏิหาริย์
ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร แสดง อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ด้วย
อาเทศนาปาฏิหาริย์. เมื่อพระเทวทัตทำลายสงฆ์ ได้พาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปแล้ว
แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นด้วยพุทธลีลา ณ ตำบล คยาสีสะ ครั้นเมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงส่งพระอัครสาวก ๒ รูป ไป พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ทราบวารจิตของภิกษุเหล่านั้นแล้วแสดงธรรม. ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ฟังธรรม-
เทศนาของพระเถระก็บรรลุโสดาปัตติผล. ต่อมาพระมหาโมคคัลลานเถระได้
แสดงการแผลงฤทธิ์ต่าง ๆ แล้ว แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้งหมด
ฟังธรรมของท่านแล้วต่างได้บรรลุพระอรหัตตผล. ครั้นแล้วพระมหานาคทั้ง
สองพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เหาะสู่เวหามาถึงวิหารเวฬุวัน. การแสดงธรรมเนือง ๆ

238
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 239 (เล่ม 12)

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์. ในปาฏิหาริย์เหล่านั้น อิทธิ-
ปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ยังติเตียนได้ ยังมีโทษ ไม่ยั่งยืนอยู่นาน
เพราะไม่ยั่งยืนอยู่นาน จึงไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้. อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น
ไม่ติเตียนได้ ไม่มีโทษ ตั้งอยู่ได้นาน เพราะตั้งอยู่ได้นาน จึงนำสัตว์ให้พ้น
ทุกข์ได้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงติเตียนอิทธิปาฏิหาริย์ และ
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างเดียว.
บทว่า เรื่องเคยมีมาแล้วนี้ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ทรงปรารภขึ้น. ที่ทรงปรารภขึ้นก็เพื่อทรงแสดงถึงอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนา
ปาฏิหาริย์ไม่นำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ และเพื่อทรงแสดงถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์
เท่านั้น ที่จะนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้. อีกอย่างหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อ
มหาภูตปริเยสกะ แสวงหามหาภูตรูป เที่ยวไปจนถึงพรหมโลก ไม่ได้ช่อง
แก้ปัญหา จึงมาทูลถามพระพุทธเจ้า แล้วก็หมดสงสัยไป. เพราะเหตุอะไร.
เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เหตุการณ์อันนี้ได้ปกปิด
แล้ว ครั้นต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงเปิดเผยแสดงเหตุการณ์นั้น จึง
ตรัสคำเป็นอาทิว่า เรื่องเคยมีมาแล้ว ดังนี้. บทว่า ในที่ไหนหนอแล อธิบาย
ว่า บุคคล อาศัยอะไรแล้ว บรรลุอะไร มหาภูต ๔ นั้น จึงดับโดยไม่เหลือ
ด้วยอำนาจเป็นไปไม่ได้ในที่ไหน ก็มหาภูตกถานี้ ท่านกล่าวไว้แล้ว ในวิสุทธิ-
มรรค โดยพิสดาร. เพราะฉะนั้น ควรค้นหาจากวิสุทธิมรรคนั้นเถิด.
บทว่า ทางไปเทวโลก คือ ชื่อว่าทางไปเทวโลกเฉพาะนั้น ไม่มี.
ก็บทนั้นเป็นชื่อของอิทธิวิธญาณ. จริงอยู่ ทางนั้นเป็นไปสู่อำนาจทางกาย
ย่อมไปสู่เทวโลก ตลอดถึงพรหมโลกได้โดยทางนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวว่าทางไปเทวโลก. บทว่า เทวดาชั้นจาตุมมหาราชโดยที่ใด ความว่า
ภิกษุไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ประทับอยู่ในที่ใกล้ สำคัญว่า ตาม

239
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 240 (เล่ม 12)

ธรรมดา เทวดาที่เขาโจทกันย่อมมีอานุภาพมากดังนี้จึงเข้าไปหา. ข้อที่ว่า
ดูก่อนภิกษุ แม้พวกข้าพเจ้าก็ไม่รู้ หมายถึง พวกเทวดา ถูกถามปัญหาใน
พุทธวิสัยย่อมไม่รู้จึงได้กล่าวอย่างนั้น. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นสำทับพวกเทวดาว่า
พวกท่านตอบปัญหานี้ของเราไม่ได้ ก็จงบอกมาเร็ว ๆ จึงถามแล้วถามอีก. พวก
เทวดาคิดว่า ภิกษุรูปนี้สำทับเรา เราจักปลดเปลื้อง ภิกษุนั้นให้พ้นไปจาก
พวกเรา จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุ ยังมีท้าวมหาราชอีก ๔ องค์.
บทว่า รุ่งเรืองยิ่งนัก คือ งามเหลือเกิน. บทว่า วิเศษกว่า คือ สูง
สุดด้วย วรรณะ ยศ และความเป็นใหญ่ เป็นต้น. พึงทราบเนื้อความในทุก
วาระโดยนัยนี้. แต่เนื้อความนี้พิเศษ. นัยว่าท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่าปัญหา
นี้เป็นพุทธวิสัย คนอื่นไม่สามารถแก้ได้ ก็ภิกษุนี้ละเลยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นอัครบุคคลในโลก เที่ยวถามพวกเทวดา ดุจคนละเว้นไฟเป่าหิ่งห้อย และ
ดุจคนละเว้นกลอง ตีท้อง เราจะส่งภิกษุนั้นไปยังสำนักพระศาสดา จักหมดสงสัยใน
นั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริอีกว่า ภิกษุนั้นไปไกลมากแล้ว จักหมดสงสัยใน
สำนักของพระศาสดา อนึ่ง ธรรมดาบุคคลเช่นนี้ก็มีอยู่ เมื่อเดินทางไปได้เพียง
เล็กน้อย มักมีความลำบาก แต่ภายหลังจักรู้ ดังนี้ จึงกล่าวกะภิกษุนั้น เป็นต้น
ว่า แม้เราก็ไม่รู้ ดังนี้. แม้ทางไปพรหมโลก ก็เช่นเดียวกับทางไปเทวโลก. ทาง
ไปเทวโลกก็ดี การเข้าถึงธรรมก็ดี ความแน่วแน่ชั่วขณะจิตหนึ่งก็ดี ความ
คิดคาดคะเนก็ดี จิตไปสูงก็ดี ความรู้ยิ่งก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นชื่อของอิทธิวิธญาณ
นั่นเอง. บทว่า บุพพนิมิต ท่านแสดงไว้ว่า นิมิตในส่วนแรกที่จะมาถึง เหมือน
รุ่งอรุณมีเพราะพระอาทิตย์ขึ้น เพราะฉะนั้น พระพรหมจักมาในบัดนี้. พวก
ข้าพเจ้ารู้เพียงนี้. บทว่า ปาตุรโหสิ แปลว่า ได้ปรากฏแล้ว.
ครั้งนั้นแล พระพรหม เมื่อถูกภิกษุนั้นถาม รู้ความที่มิใช่วิสัย
ของตน จึงคิดว่า หากเราบอกว่า เราไม่รู้ พวกนี้จักดูหมิ่นเรา ถ้าเรา

240
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 241 (เล่ม 12)

จักกล่าวอะไร ๆ ทำเป็นเหมือนรู้ ภิกษุไม่มีจิตปรารมภ์ด้วยคำพยากรณ์ ของ
เรา จักยกคำพูดของเรา เมื่อเราบอกว่า ดูก่อนภิกษุ เราเป็นพรหม ดังนี้ เป็นต้น
ใคร ๆ ก็จักไม่เชื่อถ้อยคำ ถ้ากระไร เราจะบอกปัดส่งภิกษุนี้ไปเฝ้าพระ-
ศาสดาดังนี้ จึงกล่าวว่า ดูก่อนภิกษุ เราเป็นพรหม ดังนี้เป็นต้น
บทว่า นำออกไป ณ ส่วนข้างหนึ่ง ดังนี้ เพราะเหตุไรจึงได้ทำอย่าง
นั้นเพราะเพื่อความพิศวง. บทว่าเสาะหาการพยากรณ์ในภายนอก อธิบายว่า
ถึงการแสวงหาในภายนอก ตลอดถึงพรหมโลก ดุจคนต้องการน้ำมัน บีบ
ทรายฉะนั้น
บทว่า นก ได้แก่ กา หรือ เหยี่ยว. ข้อว่า ภิกษุไม่ควรถามปัญหา
อย่างนี้ มีอธิบายว่า เพราะภิกษุควรถามปัญหาให้ถูกจุดหมาย ก็ภิกษุนี้ถือ สิ่ง
ไม่มีใจครองถามนอกจุดหมาย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปฏิเสธ. นัยว่า
การแสดงโทษคำถามของผู้หลงผิดในคำถาม แล้วให้สำเนียกคำถาม จึงตอบ
ในภายหลังเป็นหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุไร. เพราะผู้
ไม่รู้เพื่อจะถามจึงถาม ชื่อว่าเป็นคนไม่ฉลาด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้สำ
เหนียกปัญหาจึงตรัสว่า อาโปธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ตั้งอยู่ไม่ได้ คือดำรงอยู่ไม่ได้ มีอธิบายว่า มหาภูตรูป ๔ เหล่านี้
อาศัยอะไรจึงเป็นอันตั้งอยู่ไม่ได้ ท่านถามหมายถึงสิ่งมีใจครองเท่านั้น. บทว่า
ยาวและสั้น ท่านกล่าวถึงอุปาทายรูปโดยสัณฐาน. บทว่า ละเอียด หยาบ
หมายถึง เล็ก หรือ ใหญ่. ท่านกล่าวเพียงทรวดทรงในอุปาทายรูปเท่านั้น
แม้ด้วยบทนี้. บทว่า งาม และ ไม่งาม คือ อุปาทายรูปที่ดี และ ไม่ดีนั่นเอง

241
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 242 (เล่ม 12)

ก็ที่ว่า อุปาทายรูปงามไม่งาม มีอยู่ หรือ ไม่มี. แต่ท่านกล่าวถึงอิฎฐารมณ์
และอนิฏฐารมณ์อย่างนี้. บทว่า นาม และ รูป คือ นามและรูปอันต่างกัน
มียาว เป็นต้น. บทว่า อุปรุชฺฌติ แปลว่าย่อมดับไป. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงชี้แจงคำถามว่า ควรจะถามอย่างนี้ว่า นามและรูปนั้นอาศัยอะไรจึงเป็นไป
ไม่ได้อย่างไม่มีเหลือ เมื่อจะทรงแก้ปัญหา จึงตรัสว่า ในปัญหานั้นมีพยากรณ์
ดังนี้ แล้วตรัสว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง เป็นต้น.
บทว่า ควรรู้แจ้ง คือ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง. เป็นชื่อของนิพพาน.
นิพพานนั้น แสดงไม่ได้ เพราะไม่มีการแสดง. นิพพานชื่อว่าไม่มีที่สุด เพราะ
ไม่มีเกิด ไม่มีเสื่อม ไม่มีความเป็นอย่างอื่นของผู้ตั้งอยู่. บทว่า แจ่มใส คือ
น้ำสะอาด. นัยว่า บทนี้เป็นชื่อของท่าน้ำ. เป็นที่น้ำไหล ท่านทำ ป อักษรให้
เป็น ภ อักษร ท่าข้ามของนิพพานนั้นมีอยู่ทุกแห่ง เพราะฉะนั้นจึงชื่อมีท่าข้าม
ทุกแห่ง ชนทั้งหลายประสงค์จะข้ามจากที่ใด ๆ ของมหาสมุทร มีท่าเป็นเส้น
ทางที่จะไม่มีท่าไม่มี ฉันใด ชนทั้งหลายประสงค์จะข้ามให้ถึงพระนิพพาน
โดยอุบายอันใดในกรรมฐาน ๓๘ กรรมฐานเป็นท่า เป็นเส้นทาง กรรมฐาน
จะไม่ใช่ท่าของนิพพานไม่มี ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า มีท่าข้าม
ทุกแห่ง. ในบทว่า อาโปธาตุนี้ ท่านอาศัยนิพพาน จึงกล่าวทั้งหมดนั้น
โดยนัยเป็นต้นว่า อาโปธาตุ ธรรมชาติที่มีใจครอง ย่อมดับโดยไม่มีเหลือ
คือ เป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง อุบายดับไม่มีเหลือ
ของธรรมชาตินั้น จึงตรัสว่า เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับ
ไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้. บทว่า วิญญาณ คือ วิญญาณเดิมบ้าง
วิญญาณที่ปรุงแต่งบ้าง. จริงอยู่ เพราะวิญญาณเดิมดับ นาม และรูปนั้น
ย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ คือว่า ย่อมถึงความไม่มีบัญญัติเหมือน

242
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 243 (เล่ม 12)

เปลวประทีปที่ถูกเผาหมดไป ฉะนั้น เพราะไม่เกิดขึ้น และดับไปโดยไม่เหลือ
แห่งวิญญาณที่ปรุงแต่งนามและรูป จึงดับโดยไม่เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า เพราะดับวิญญาณที่ปรุงแต่งด้วยโสดาปัตติมัคคญาณ นามและ
รูปที่พึงเกิดในสังสารวัฏอันไม่มีเบื้องต้น และที่สุด เว้นภพทั้ง ๗ ย่อมดับ
โดยไม่มีเหลือ ในธรรมชาตินี้ ดังนี้. ทั้งหมดพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้
แล้วในมหานิเทศนั้นแล. ส่วนที่เหลือ ในทุก ๆ บทง่ายทั้งนั้น.
อรรถกถาเกวัฏฏสูตรแห่งอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินีจบ
แล้วด้วยประการฉะนี้.
สูตรที่ ๑๑ จบ

243
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 244 (เล่ม 12)

๑๒ โลหิจจสูตร
[๓๕๑] ข้าพเจ้า ได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อม
ด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ประทับอยู่บ้านสาลวติกา ก็สมัยนั้น
โลหิจจพราหมณ์ ครอบครองบ้าน สาลวติกา ซึ่งมีประชาชนคับคั่ง มีหญ้า
ไม้ และน้ำ สมบูรณ์ อุดมไปด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชทรัพย์ ที่พระเจ้า-
ปเสนทิโกศล พระราชทาน เป็นบำเหน็จเด็ดขาด.
[๓๕๒] ก็สมัยนั้น ความเห็นอันลามก เห็นปานนี้เกิดขึ้น แก่
โลหิจจพราหมณ์ ว่า สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดีในโลกนี้ ควรบรรลุกุศลธรรม
ครั้นบรรลุกุศลธรรมแล้ว ไม่ควรบอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่
ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้ว พึงสร้างเครื่องจองจำอื่นใหม่
ฉันใด ข้ออุปมัยก็ฉันนั้น เรากล่าวธรรมคือความโลภว่า เป็นธรรมลามก
เพราะผู้อื่นจักทำอะไรแก่ผู้อื่นได้ ดังนี้.
โลหิจจพราหมณ์ ได้ยินมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวช
จากศากยตระกูล เสด็จจาริกไปไนแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่
ประมาณ ๕๐๐ รูป เสร็จถึงบ้านสาลวติกาแล้ว ก็กิตติศัพท์อันงามของ
พระโคดมผู้เจริญนั้น ได้แพร่หลายไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มี
ผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็น

244
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 245 (เล่ม 12)

ผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงกระทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ให้แจ่มแจ้ง ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ทรงสอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดามนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงาม
ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อม
ทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์
เช่นนั้น เป็นการดีนักแล.
[๓๕๓] ครั้งนั้นโลหิจจพราหมณ์ ได้เรียกช่างกัลบกชื่อ โรสิกะ
มาบอกว่า มานี่ เพื่อนโรสิกะ ท่านจงไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ
แล้วกราบทูลถามพระสมณโคดม ถึงอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง ความ
คล่องแคล่ว กำลัง ความอยู่ผาสุก ตามคำของเราว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
โลหิจจพราหมณ์ถามพระองค์ถึงอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง ความคล่อง-
แคล่ว กำลัง ความอยู่ผาสุก และจงกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ
พร้อมด้วยหมู่ภิกษุ โปรดรับนิมนต์เสวยภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ใน
วันพรุ่งนี้ โรสิกะช่างกัลบกรับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์
ถามพระองค์ถึงอาพาธน้อย พระโรคเบาบาง ความคล่องแคล่ว กำลัง ความ
อยู่ผาสุก และให้กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยหมู่ภิกษุ
โปรดรับนิมนต์เสวยภัตตาหารของโลหิจจพราหมณ์ในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
[๓๕๔] โรสิกะช่างกัลบกทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์
แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำประทักษิณ

245
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 246 (เล่ม 12)

เสร็จแล้วเข้าไปหาโลหิจจพราหมณ์ถึงที่อยู่ บอกว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตามคำของท่านแล้ว. และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงรับ
นิมนต์แล้ว. ครั้งนั้นแลโลหิจจพราหมณ์ ตระเตรียมของเคี้ยวของฉัน อัน
ประณีตไว้ในนิเวศน์ของตนโดยล่วงไปแห่งราตรีนั้นได้เรียกโรสิกะมาสั่งว่า
มานี่เพื่อนโรสิกะ จงไปหาพระสมณโคดม แล้วจงทูลพระสมณโคดมว่า ถึง
เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว. โรสิกะ รับคำโลหิจจพราหมณ์แล้ว ได้เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วยืนที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบ-
ทูลว่า ถึงเวลาแล้วพระเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.
[๓๕๕] ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสก แล้วทรง
ถือบาตรจีวรเข้าไปยังบ้านสาลวติกา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุ เวลานั้น โรสิกะ
ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลหิจจพราหมณ์เกิดความเห็นชั่วอย่างนี้ว่า สมณะ
หรือพราหมณ์ในโลกนี้ พึงบรรลุกุศลธรรม ครั้งบรรลุแล้ว ไม่ควรบอก
ผู้อื่น เพราะผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่ผู้อื่นได้ บุคคลตัดเครื่องจองจำเก่า
ได้แล้ว พึงทำเครื่องจองจำอย่างอื่นใหม่ ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น
เรากล่าวธรรมคือความโลภว่า เป็นธรรมลามก ผู้อื่นจักทำอะไรให้แก่
ผู้อื่นได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรง
ปลดเปลื้องโลหิจจพราหมณ์เสียจากความเห็นชั่วนี้เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร โรสิกะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยัง
นิเวศน์ของโลหิจจพราหมณ์แล้ว ประทับเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้. ลำดับนั้น
โลหิจจพราหมณ์ได้อังคาสหมู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของ
เคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือของตนให้อิ่มหนำให้เพียงพอแล้ว.

246
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 247 (เล่ม 12)

[๓๕๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ทรงนำพระ-
หัตถ์ออกจากบาตร โลหิจจพราหมณ์ถืออาสนะที่ต่ำอันหนึ่งนั่งที่สมควรข้าง
หนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะโลหิจจพราหมณ์ว่า ดูก่อนโลหิจจะ เขา
ว่าจริงหรือ ท่านเกิดความเห็นลามกอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ในโลกนี้
บรรลุธรรมที่เป็นกุศลแล้วไม่บอกผู้อื่น เพราะผู้อื่นทำอะไรแก่ผู้อื่นได้ เปรียบ
เหมือนบุคคลตัดเครื่องจำจองเก่าได้แล้ว พึงทำเครื่องจำจองใหม่ อย่างอื่น
ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เรากล่าวว่าเป็นธรรมลามก เพราะผู้อื่นจักทำ
อะไรแก่ผู้อื่นได้ดังนี้.
โลหิจจพราหมณ์กราบทูลว่าพระโคดมผู้เจริญ เป็นความจริงอย่างนั้น.
ดูก่อนโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านครอบครอง
บ้านสาลวติกามิใช่หรือ อย่างนั้นสิท่านโคดม. ตรัสถามว่า ผู้ใดหนอจะพึง
กล่าวอย่างนี้ว่า โลหิจจพราหมณ์ครอบครองบ้านสาลวติกาอยู่ โลหิจจพราหมณ์
ควรใช้สอยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในบ้านสาลวติกานั้น แต่ผู้เดียว ไม่ควรให้
ผู้อื่น ดังนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้นั้นจะชื่อว่าทำอันตราย หรือไม่ทำอันตรายแก่
ชนที่อาศัยท่านเลี้ยงชีพอยู่. ชื่อว่าอันตรายสิท่านโคดม. เมื่อทำอันตรายจะชื่อ
ว่า หวังประโยชน์ หรือไม่หวังประโยชน์แก่ชนเหล่านั้น. ชื่อว่าไม่หวังประ-
โยชน์สิท่านโคดม. ผู้ไม่หวังประโยชน์จะชื่อว่าเข้าไปตั้งจิตเมตตาในชนเหล่า
นั้น หรือเป็นศัตรู. เป็นศัตรูสิท่านโคดม. เมื่อตั้งจิตเป็นศัตรูจะชื่อว่าเป็น
มิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิสิท่านโคดม. ดูก่อนโลหิจจะ ผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า มีคติเป็น ๒ คือ นรก หรือกำเนิดเดียรัจฉานอย่างใด
อย่างหนึ่ง.
[๓๕๗] ดูก่อนโลหิจจะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้า
ปเสนทิโกศล ทรงปกครองแคว้นกาสี และโกศลมิใช่หรือ. อย่างนั้นสิ ท่าน

247