อุปัชฌายะของข้าพาเจ้าให้สามเณรใดบรรพชาแล้วให้ภิกษุใดอุปสมบท
แล้ว สามเณรใดบรรพชาแล้วในสำนักของอุปัชฌายะนั้น ภิกษุใดอุปสมบท
แล้วในสำนักของอุปัชฌายะนั้น บรรพชาของสามเณรใดมีอุปัชฌายะนั้นเป็น
ประธาน อุปสมบทของภิกษุใด มีอุปัชฌายะนั้นเป็นประธาน ข้าพเจ้าบอกคืน
ภิกษุนั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า สมานาจริยกํ ปจฺจกฺขามิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งพระผู้
ร่วมอาจารย์อย่างนี้ คือ:-
อาจารย์ของข้าพเจ้าให้สามเณรใดบรรพชา สวดประกาศให้ภิกษุใด
ภิกษุใดอาศัยอาจารย์นั้นอยู่ ภิกษุใดให้อาจารย์นั้นแสดงอุเทศให้สอบถามอุเทศ
อาจารย์ของข้าพเจ้า แสดงอุเทศแก่ภิกษุใด อนุญาตให้ภิกษุใดสอบถามอุเทศ
ข้าพเจ้าบอกคืนภิกษุนั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า สพฺรหฺมจารึ ปจฺจกฺขามิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งพระ-
เพื่อนพรหมจรรย์อย่างนี้ คือ :-
ข้าพเจ้า ศึกษาอธิศีล ศึกษาอธิจิต ศึกษาอธิปัญญา ร่วมกับภิกษุใด
ข้าพเจ้าบอกคืนพระเพื่อนพรหมจรรย์นั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า คีหีติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลาด้วย
คำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งคฤหัสถ์อย่างนี้ คือ:-
อาคาริโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นผู้
ครองเรือน
กสโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นชาวนา