No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 801 (เล่ม 1)

อุปัชฌายะของข้าพาเจ้าให้สามเณรใดบรรพชาแล้วให้ภิกษุใดอุปสมบท
แล้ว สามเณรใดบรรพชาแล้วในสำนักของอุปัชฌายะนั้น ภิกษุใดอุปสมบท
แล้วในสำนักของอุปัชฌายะนั้น บรรพชาของสามเณรใดมีอุปัชฌายะนั้นเป็น
ประธาน อุปสมบทของภิกษุใด มีอุปัชฌายะนั้นเป็นประธาน ข้าพเจ้าบอกคืน
ภิกษุนั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า สมานาจริยกํ ปจฺจกฺขามิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งพระผู้
ร่วมอาจารย์อย่างนี้ คือ:-
อาจารย์ของข้าพเจ้าให้สามเณรใดบรรพชา สวดประกาศให้ภิกษุใด
ภิกษุใดอาศัยอาจารย์นั้นอยู่ ภิกษุใดให้อาจารย์นั้นแสดงอุเทศให้สอบถามอุเทศ
อาจารย์ของข้าพเจ้า แสดงอุเทศแก่ภิกษุใด อนุญาตให้ภิกษุใดสอบถามอุเทศ
ข้าพเจ้าบอกคืนภิกษุนั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า สพฺรหฺมจารึ ปจฺจกฺขามิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งพระ-
เพื่อนพรหมจรรย์อย่างนี้ คือ :-
ข้าพเจ้า ศึกษาอธิศีล ศึกษาอธิจิต ศึกษาอธิปัญญา ร่วมกับภิกษุใด
ข้าพเจ้าบอกคืนพระเพื่อนพรหมจรรย์นั้น.
การบอกลาด้วยคำว่า คีหีติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลาด้วย
คำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งคฤหัสถ์อย่างนี้ คือ:-
อาคาริโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นผู้
ครองเรือน
กสโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นชาวนา

801
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 802 (เล่ม 1)

วาณิโชติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นพ่อค้า
โครกฺโขติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นผู้เลี้ยงโค
โอคลฺลโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นคนกำพร้า
โมลิพทฺโธติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นผู้ไว้ผมจุก
กามคุณิโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นผู้รักกามคุณ
การบอกลาด้วยคำว่า อุปาสโกติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลา
ด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งอุบาสกอย่างนี้
คือ :-
เทฺววาจิโก อุปสโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นอุบาสกผู้มีวาจา ๒
เตวาจิโกติ " " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นอุบาสกผู้มีวาจา ๓
พุทฺธํ สรณคมนิโก" " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นอุบาสกผู้เข้าถึงพระ-
พุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง
ธมฺมํ สรณคมนิโก" " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงพระธรรม
ว่าเป็นที่พึง

802
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 803 (เล่ม 1)

สงฺฆํ สรณคมนิโก อุปสโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้า
ไว้ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง
พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง,
ปญฺจสิกฺขาปทิโก อุปาสโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้า
ไว้ว่า เป็นอุบาสกผู้
รักษาสิกขาบท ๕
ทสสิกฺขาปทิโก อุปาสโกติ มํ ธาราหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้
ว่า เป็นอุบาสกผู้รักษา
สิกขาบท ๑๐.
การบอกลาด้วยคำว่า อารามิโกติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลา
ด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งอารามิกะ (ผู้
รักษาวัดหรือผู้รักษาสวน) อย่างนี้คือ :-
กปฺปิยการโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
กัปปิยการก,
เวยฺยาวจฺจกโรติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ไวยาวัจกร,
อปหริตการโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้ทิ้งของสดเขียว, (ผู้ดายหญ้า)
ยาคุภาชโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้แจกข้าวต้ม,

803
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 804 (เล่ม 1)

ผลภาชโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้แจกผลไว้,
ขชฺชกภาชโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้แจกของขบเคี้ยว,
การบอกลาด้วยคำว่า สามเณโรติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลา
ด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยไวพจน์แห่งสามเณรอย่างนี้
คือ:-
กุมารโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สามเณรน้อย,
เจฏโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สามเณรเล็ก,
เปฏโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สามเณรปานกลาง,
โมณิคลฺโลติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สามเณรโค่ง,
สมณุทฺเทโสติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สมณุทเทศ, (คือสามเณรมีอายุมาก
หรือเถร)
การบอกลาด้วยคำว่า ติตฺถิโยติ มํ ธาเรห ไม่ใช่เป็นการบอกลา
ด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งเดียรถีย์อย่างนี้
คือ:-

804
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 805 (เล่ม 1)

นิคฺคณฺโฐติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
นิครณฐ์,
อาชีวโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
เป็นอาชีวก,
ตาปิโสติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
เป็นดาบส,
ปริพฺพาชโกติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ปริพาชก,
ปณฺฑรงฺโคติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ตาปะขาว,
การบอกลาด้วยคำว่า ติตฺถิยสาวโกติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งสาวก-
เดียรถีย์อย่างนี้ คือ :-
นิคฺคณฺฐสาวโกติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สาวกของนิครณฐ์.
อาชีวกตาปสปริพฺพาชกปณฺฑ- ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
รงฺคสาวโกติ มํ ธาเรหิ สาวกของอาชีวกดาบสปริพาชกและ
ตาปะขาว.
การบอกลาด้วยคำว่า อสฺสมโณติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการบอกลา
ด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งผู้มิใช่สมณะ
อย่างนี้ คือ :-

805
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 806 (เล่ม 1)

ทุสฺสีโลติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้ทุศีล,
ปาปธมฺโมติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้มีธรรมลามก,
อสุจิสงฺกสฺสรร- ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สมาจาโรติ " " ผู้ไม่สะอาดและมีสมาจารที่ตาม
ระลึกด้วยความรังเกียจ,
ปฏิจฺฉนฺน- ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
กมฺมนฺโตติ " " ผู้มีงานปกปิด,
อสฺสมโณ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
สมณปฏิญฺโญติ " " ผู้มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็น
สมณะ,
อพฺพหฺมจารี พฺรหฺม- ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า
จาริปฏิญฺโญติ " " เป็นผู้ประพฤติไม่ประเสริฐ ก็
ปฏิญญาว่า เป็นผู้ประพฤติ-
ประเสริฐ,
อนฺโตปูตีติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้บูดเน่าภายใน,
อวสฺสุโตติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้อันราคะให้ชุ่มแล้ว,
กสมฺพุชาโตติ " " ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
ผู้ดุจขยะมูลฝอย,

806
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 807 (เล่ม 1)

โกณฺโฑติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็น
คนชั่ว,
การบอกลาด้วยคำว่า อสกฺยปุตฺติโยติ มํ ธาเรหิ ไม่ใช่เป็นการ
บอกลาด้วยคำไวพจน์. การบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยคำไวพจน์แห่งผู้มิใช่
เชื้อสายพระศากยบุตร มีอาทิอย่างนี้ คือ :-
น สมฺมาสมฺพุทฺธปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า,
น อนนฺตพุทฺธิปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของพระอนันตพุทธิเจ้า,
น อโนมพุทฺธิปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพาเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของพระอโนมพุทธิเจ้า
น โพธิปฺปญฺญาณปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของโพธิปัญญาเจ้า,
น ธีรปุตฺโตติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
บุตรของพระธีรเจ้า,
น วิคตโมหปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของพระวิคตโมหเจ้า,
น ปภินฺนขีลปุตฺโตติ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
มํ ธาเรหิ บุตรของพระปภินนขีลเจ้า,
น วิชิตวิชยปุตฺโตติ มํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า ไม่เป็น
บุตรของพระวิชิตวิชัยเจ้า,

807
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 808 (เล่ม 1)

หลายบทว่า เตหิ อากาเรหิ เตหิ ลิงฺเคหิ เตหิ นิมิตฺเตหิ
ความว่า (ภิกษุย่อมกล่าวให้ผู้อื่นรู้) ด้วยคำไวพจน์แห่งพระรัตนตรัย มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้น คือ ที่ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า คำไวพจน์แห่ง
พระพุทธเจ้าก็ดี. จริงอยู่ คำไวพจน์ทั้งหลาย ท่านเรียกว่า อาการ เพราะ
เป็นเหตุแห่งการบอกลาสิกขา, เรียกว่า เพศ เพราะแสดงทรวดทรงแห่ง
พระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือ เพราะความเหมาะสมแก่การบอกลาสิกขานั่นเอง,
เรียกว่า นิมิต เพราะเป็นเหตุให้รู้การบอกลาสิกขา เหมือนจุดดำทั้งหลายมีมูล
แมลงวันเป็นต้น (ไฝ) ของพวกมนุษย์ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกำหนดแน่นอนลงไปว่า เอวํ โข ภิกฺขเว
ดังนี้เป็นต้น เพราะเหตุแห่งการบอกลาสิกขาอย่างอื่น นอกจากเหตุที่กล่าว
แล้วนี้ไม่มี. จริงอยู่ ในคำว่า เอวํ โข นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ความในให้แจ้ง
ความเป็นผู้ทุรพล และการบอกลาสิกขา ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้แล เหตุอื่น
นอกจากนี้ หามีไม่.
[ลาสิกขากับคนวิกลจริตเป็นต้นไม่เป็นอันบอกลา]
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงลักษณะแห่งการบอกลาสิกขาอย่าง
นี้แล้ว เพื่อความไม่เลอะเลือนในการไม่บอกลา เพื่อแสดงความวิบัติแห่ง
ลักษณะการบอกลาสิกขานั้นนั่นเอง ด้วยอำนาจแห่งบุคคลเป็นต้น จึงตรัสคำว่า
กถญฺจ ภิกฺขเว อปจฺจกฺขาตา ดังนี้เป็นต้น. ในคำว่า อปจฺจกฺขาตา
เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
คำว่า เยหิ อากาเรหิ เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง.

808
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 809 (เล่ม 1)

บทว่า อุมฺมตฺตโก ได้แก่ ภิกษุบ้าเพราะถูกยักษ์เข้าสิง หรือบ้า
เพราะดีกำเริบ คือ ภิกษุมีสัญญาวิปริตรูปใดรูปหนึ่ง. ภิกษุบ้านั้น ถ้าบอกลา
(สิกขา) ไซร้, สิกขา ย่อมไม่เป็นอันบอกลา.
บทว่า อุมฺมตฺตกสฺส ได้แก่ ภิกษุบ้าเช่นนั้นเหมือนกัน. จริงอยู่
ถ้าปกตัตตภิกษุ บอกลาสิกขาในสำนักของภิกษุบ้าเช่นนั้นไซร้, ภิกษุบ้าไม่
เข้าใจ, สิกขา ย่อมไม่เป็นอันบอกลา
ภิกษุบ้าเพราะถูกยักษ์เข้าสิง ท่านเรียกว่า ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน. อนึ่ง
คำว่า ภิกษุบ้าเพราะถูกยักษ์เข้าสิง หรือภิกษุบ้าเพราะดีกำเริบ ท่านกล่าวไว้
แล้วในบทต้น โดยความเป็นภิกษุบ้าเสมอกัน. ความแปลกกันแห่งภิกษุบ้า
แม้ทั้งสองจักมีแจ้งในอนาปัตติวาร. ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่านอย่างนั้น บอกลา
(สิกขา) สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกลาเลย. สิกขาแม้อันปกตัตตภิกษุบอกลาแล้ว
ในสำนักของภิกษุบ้าเพราะถูกยักษ์เข้าสิงนั้น เมื่อภิกษุบ้านั้นไม่เข้าใจ ก็ไม่
เป็นอันบอกลา.
บท เวทนฏฺโฏ ได้แก่ ภิกษุอันทุกขเวทนาที่มีกำลังถูกต้องแล้ว
คือ ผู้ถูกความสยบครอบงำแล้ว. สิกขาที่ภิกษุผู้ถูกเวทนาเบียดเบียนบ่นเพ้อ
อยู่นั้น แม้บอกลาแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นอันบอกลา. สิกขา แม้อันภิกษุบอกลา
แล้วในสำนักของภิกษุผู้ถูกเวทนาครอบงำนั้น เมื่อภิกษุผู้ถูกเวทนาครอบงำนั้น
ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นอันบอกลา.
สองบทว่า เทวตาย สนฺติเก ความว่า สิกขาที่ภิกษุบอกลาแล้ว
ในสำนักของเทวดาเริ่มต้นแต่ภุมเทวดาไปจนถึงอกนิฏฐเทวดา ย่อมไม่เป็นอัน
บอกลา.

809
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 810 (เล่ม 1)

บทว่า ติรจฺฉานคตสฺส ความว่า สิกขาที่ภิกษุบอกลาแล้วในสำนัก
ของนาคมาณพก็ดี สุบรรณมาณพก็ดี หรือในสำนักของเทวดาเหล่ากินนร
ช้างและลิงเป็นต้นพวกใดพวกหนึ่งก็ดี ย่อมไม่เป็นอันบอกลาเลย.
สิกขา ที่ภิกษุบอกลาในสำนักของบรรดาภิกษุบ้าเป็นต้นเหล่านั้น ย่อม
ไม่เป็นอันบอกลาแท้ เพราะ (ภิกษุบ้าเป็นต้นนั้น) ไม่เข้าใจ. ที่บอกลาใน
สำนักของเทวดา ก็ย่อมไม่เป็นอันบอกลา (เหมือนกัน) เพราะ (เทวดา)
เข้าใจเร็วเกินไป. ชื่อว่าเทวดาพวกที่มีปฏิสนธิเป็นไตรเหตุ มีปัญญามาก
ย่อมรู้อะไรเร็วเกินไป. ก็ขึ้นชื่อว่าจิตนี้ ย่อมเป็นธรรมชาติเป็นไปเร็ว; เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงใฝ่พระทัยว่า ความพินาศของบุคคล (ภิกษุ)
ผู้มีจิตกลับกลอก อย่าได้มีเร็วนัก เพราะอำนาจจิตนั่นเลย จึงทรงห้ามการลา
สิกขาในสำนักของเทวดาไว้. ส่วนในหมู่มนุษย์ ไม่มีกำหนดไว้, สิกขาที่
ภิกษุบอกลาในสำนักของคนใดคนหนึ่ง ผู้เป็นสภาคกัน (คือบุรุษ) ก็ตาม
ผู้เป็นวิสภาคกัน (คือมาตุคาม) ก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม
ซึ่งเข้าใจ (ผู้รู้เดียงสา) ย่อมเป็นอันบอกลาแล้วแท้. ถ้าว่าคนนั้น ไม่เข้าใจ
ไซร้, สิกขา ก็ย่อมไม่เป็นอันบอกลาเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงแสดงใจความนั่น จึงตรัสคำว่า อริยเกน
เป็นต้น. ในคำว่า อริยเกน เป็นต้นนั้น มีวินิจฉันดังนี้ :-
โวหารของชาวอริยะ ซึ่งอริยกะ ได้แก่ ภาษาของชาวมคธ. โวหาร
ที่ไม่ใช่ของชาวอริยะอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อมีลักขกะ ได้แก่ โวหารของชาว
อันธทมิฬ (คนดำ) เป็นต้น.
หลายบทว่า โส เจ น ปฏิวิชานาติ ความว่า (ถ้าชนชาวมิลักขะนั้น)
ไม่เข้าใจว่า ภิกษุนั่น พูดเนื้อความชื่อนี้ เพราะความที่ตนไม่รู้ในภาษาอื่น
หรือเพราะความที่ตนไม่ฉลาดในพุทธสมัยสิกขา ย่อมไม่เป็นอันบอกลา.

810