No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 303 (เล่ม 11)

ถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีด้วยไม่มีด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมี
ความเห็นว่า มีด้วย ไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่า มีด้วย ไม่มีด้วย ถ้า
มหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่
หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่า
มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่....ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย
เกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า เกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่า เกิดอีก
... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย ไม่เกิดหรือ ถ้าอาตม-
ภาพมีความเห็นว่า ไม่เกิด ก็จะพึงทูลตอบว่า ไม่เกิด.. .ถ้ามหาบพิตรตรัส
ถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดด้วย ไม่เกิดด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมี
ความเห็นว่า เกิดด้วยไม่เกิดด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่า เกิดด้วย ไม่เกิดด้วย
... ถ้ามหาบพิตรตรัสถานว่า สัตว์เบื้องหน้าแค่ทาย เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็
มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ก็จะพึง
ทูลตอบว่า เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่... อาตมภาพมีความเห็นว่า อย่างนี้
ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดังนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ ครู
สญชัยเวลัฏฐบุตรกลับตอบส่ายไปฉะนี้ เหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบ
ขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง แม้ฉันใด ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญ ผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย-
เวลัฏฐบุตรกลับตอบส่ายไป ฉันนั้นทีเดียว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อม
ฉันได้มีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัยเวลัฏฐบุตร
นี้ โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึง
สามัญญผลที่เห็นประจักษ์อย่างไร จึงกลับตอบส่ายไป หม่อมฉันได้มีความ

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 304 (เล่ม 11)

ดำริว่า ไฉนคนอย่างเราจะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ ผู้อยู่ในราช-
อาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัยเวลัฏฐบุตร
ไม่พอใจ ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่คัดค้านวาจา
นั้นเลย ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
(๑๐๐) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้นขอทูลถามพระผู้มี
พระภาคเจ้าบ้างว่า ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ ทหารช้าง ทหาร
ม้า ทหารรถ ทหารธนู ทหารเชิญธง ทหารจัดกระบวนทัพ ทหาร
หน่วยส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร ทหารหน่วยอาสา แม่ทัพนายกอง
หน่วยทหารหาญ ทหารสวมเกราะหนัง ทหารรับใช้ หน่วยทำขนม หน่วย
ซักฟอก หน่วยตัดผม หน่วยทำครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างทอ ช่าง
จักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ พวกนับคะแนน หรือศิลปศาสตร์เป็น
อันมาก แม้อย่างอื่นใด ที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผล
แห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลป -
ศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร สหาย ให้เป็น
สุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้
อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทำให้รู้สามัญญผลที่เห็นประจักษ์ใน
ปัจจุบันเหมือนฉันนั้นได้หรือไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า อาจอยู่มหาบพิตร แต่ในข้อนี้
ตถาคตจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย
มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน สมมติว่า มหาบพิตรพึง
มีบุรุษผู้เป็นทาสกรรมกร มีปกติตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังพระบัญชาว่า

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 305 (เล่ม 11)

จะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย พูดจาไพเราะ คอยเฝ้าสังเกต
พระพักตร์ เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ
น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า
อชาตศัตรูเวเทหิบุตร พระองค์นี้ เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่
พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่ม พรั่งพร้อม ได้รับบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณ
ประหนึ่งเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ท่านต้องตื่นก่อน
นอนทีหลัง ต้องคอยฟังพระบัญชาว่า จะโปรดให้ทำอะไร ต้องประพฤติ
ให้ถูกพระทัย ต้องพูดจาไพเราะ ต้องคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เราพึง
ทำบุญ จะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและ
หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขา
ปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้น
บวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความ
มีเพียงอาหาร และผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวก
ราชบุรุษพึงกราบทูลถึงพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์
พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นทาสกรรมกรของพระองค์ ผู้ตื่นก่อนนอน
ทีหลัง คอยฟังพระบัญชาว่า จะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย
พูดจาไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวด
นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้
สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหาร
เละผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัส
อย่างนี้เทียวหรือว่า พ่อมหาจำเริญคนนั้นของข้ามาสิ จงมาเป็นทาสเป็น
กรรมกรของข้า จงตื่นก่อนนอนทีหลัง จงคอยฟังบัญชาว่าจะให้ทำอะไร

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 306 (เล่ม 11)

ประพฤติให้ถูกใจ พูดไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตดูหน้าข้าอีกตามเดิม.
พระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่
จริงข้าพระองค์เสียอีก ควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญ
ให้เขานั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อ
เป็นเช่นนั้น สามัญญผลที่เห็นประจักษ์จะมีหรือไม่.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญญผลที่เห็นประจักษ์
มีอยู่อย่างแน่แท้.
มหาบพิตร นี่แหละสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งตถาคต
ทำให้รู้เป็นข้อแรก.
(๑๐๑) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทำให้รู้สามัญญผลที่เห็น
ประจักษ์ในปัจจุบันแม้ข้ออื่นให้เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่.
อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ตถาคตจักขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน
โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตร พระองค์จะทรงเข้าพระทัย
ความข้อนั้นเป็นไฉน สมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษเป็นชาวนา คฤหบดี
ซึ่งเสียภาษีอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติ
ของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงพระเจ้า
แผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหิบุตร พระองค์นี้เป็นมนุษย์
แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อม บำเรออยู่ด้วย
เบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นชาวนาคฤหบดี ต้องเสียภาษีอาการ
เพิ่มพูนพระราชทรัพย์ เราพึงทำบุญจะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน อย่า

306
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 307 (เล่ม 11)

กระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็น
บรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่
ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อ
บวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความ
มีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราช
บุรุษพึงกราบทูลพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรง
ทราบเถิด บุรุษผู้เป็นชาวนาคฤหบดี ซึ่งเสียภาษีอากรเพิ่มพูนพระราช
ทรัพย์ของพระองค์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เขาเป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา
สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง
ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียวหรือว่า พ่อมหา-
จำเริญคนนั้นของข้ามาสิ จงเป็นชาวนาคฤหบดี เสียภาษีอากรเพิ่มพูน
ทรัพย์อีกตามเดิม.
จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีก ควร
จะไหว้เขา ควรลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วย
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการ
รักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร พระองค์จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อ
เป็นเช่นนั้น สามัญญผลที่เห็นประจักษ์จะมีหรือไม่.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญญผลที่เห็นประจักษ์
มีอยู่อย่างแน่แท้.
มหาบพิตร นี้แหละสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งตถาคต

307
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 308 (เล่ม 11)

ทำให้รู้ถวายมหาบพิตรเป็นข้อที่ ๒.
(๑๐๒) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทำให้รู้สามัญญผลที่เห็น
ประจักษ์ในปัจจุบันแม้ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่า สามัญญผลที่
เห็นประจักษ์เหล่านี้ ได้หรือไม่.
อาจอยู่ มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรจงคอยสดับ จงตั้ง
พระทัยให้ดี ตถาคตจักแสดง.
ครั้นพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหิบุตร ทูล
สนองพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
มหาบพิตร พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง
โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้โลก เป็น
สารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระ
องค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้ง
ชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์แล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์พร้อม
ทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้
เกิดภายหลังในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้
ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาส
คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้
ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์
ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาว-

308
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 309 (เล่ม 11)

พัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่
ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออก
บวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อม
ด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทาน
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล
มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จุลศีล
(๑๐๓) มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์
วางไม้ วางมีด มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์
แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๒. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่
เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๓. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์
ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุน อันเป็นเรื่องของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็
เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๔. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง
ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้
ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

309
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 310 (เล่ม 11)

๕. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้ว
ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้ว
ไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกัน
แล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน
ยินดีคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำ
ที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ
เพราะหู ชวนให้รัก จักใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๗. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดจริง
พูดเป็นอรรถ พูดเป็นธรรม พูดเป็นวินัย พูดมีหลัก มีที่อ้าง มีที่สุด
ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ
ประการหนึ่ง.
๘. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม.
๙. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดเว้นการฉันในเวลา
วิกาล.
๑๐. เธอเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และ
ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล.
๑๑. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตกแต่งร่างกาย ด้วย
ดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
๑๒. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.
๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

310
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 311 (เล่ม 11)

๑๔. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.
๑๕. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.
๑๖. เธอเว้นขาดจากการรับสตรี และกุมารี.
๑๗. เธอเว้นขาดจากการรับทาสี และทาส.
๑๘. เธอเว้นขาดจากการรับแพะ และแกะ.
๑๙. เธอเว้นขาดจากการรับไก่ เละสุกร.
๒๐. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นา และที่ดิน.
๒๒. เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.
๒๓. เธอเว้นขาดจากการซื้อ การขาย.
๒๔. เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม
และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.
๒๕. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบ-
ตะแลง.
๒๖. เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การ
ปล้น และกรรโชก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
จบจุลศีล
มัชฌิมศีล
(๑๐๔) ๑. ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม เช่น
อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา
แล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคามเห็นปานนี้ คือพืชเกิดแต่

311
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 312 (เล่ม 11)

เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด
เป็นที่ครบห้า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
(๑๐๕) ๒. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้
เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา
แล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว
สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมของหอม สะสมอามิส
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
(๑๐๖) ๓. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่
กุศล เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้
ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ
การฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม มหรสพ มีการรำเป็นต้น การ
เล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากบ้านเมือง
ที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง
ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา
รำกระบี่กระบอง ชกมวย มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัด
กระบวนทัพ กองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
(๑๐๗) ๔. ภิกษุเว้นขาดจากการขวนขวายเล่นการพนันอันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท เช่นอย่างสมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉัน
โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้ง
แห่งความประมาทเห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละ ๘ ตา แถวละ
๑๐ ตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง
เล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อย ๆ เล่นหกคะเมน

312