No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 183 (เล่ม 11)

ในข้อนั้น พึงทราบความสำเร็จบทอย่างนี้ อคโท แปลว่า โอสถ
ก็เหมือน อาคโท ที่แปลว่า วาจา. ก็โอสถนี้คืออะไร ? คือ เทศนา-
วิลาส และบุญพิเศษ. ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ทรงครอบงำผู้มีวาทะ
ตรงกันข้ามทั้งหมดและโลกพร้อมทั้งเทวดา เหมือนนายแพทย์ผู้มีอานุภาพ
มาก ครอบงำงูทั้งหลายด้วยทิพยโอสถฉะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า
บัณฑิตพึงทราบว่า ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะเหตุว่า ทรงมีพระ
โอสถ คือ เทศนาวิลาส และบุญพิเศษ อันแท้ ไม่วิปริต ด้วยการ
ครอบงำโลกทั้งปวง ดังนี้ เพราะแปลง ท เป็น ต พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะอรรถว่าทรงครอบงำ เป็นอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะ
เสด็จไปด้วยกิริยาที่แท้ ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงถึงกิริยาที่แท้
ดังนี้ก็มี.
บทว่า คโต มีเนื้อความว่า หยั่งรู้ เป็นไปล่วง บรรลุ ปฏิบัติ.
ในเนื้อความ ๘ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ตถาคต
เพราะทรงหยั่งรู้โลกทั้งสิ้นด้วยตีรณปริญญา ชื่อว่า ด้วยกิริยาที่แท้. เพราะ
ทรงเป็นไปล่วงซึ่งโลกสมุทัย ด้วยปหานปริญญา ชื่อว่า ด้วยกิริยาที่แท้.
เพราะทรงบรรลุโลกนิโรธด้วยสัจฉิกิริยา ชื่อว่า ด้วยกิริยาที่แท้. เพราะ
ทรงปฏิบัติปฏิปทาอันให้ถึงโลกนิโรธ ชื่อว่า กิริยาที่แท้. ด้วยเหตุนั้น คำใด
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกตถาคตตรัสรู้แล้ว
ตถาคตพรากแล้วจากโลก โลกสมุทัย ตถาคตตรัสรู้แล้ว โลกสมุทัยตถาคต
ละได้แล้ว โลกนิโรธตถาคตตรัสรู้แล้ว โลกนิโรธตถาคตทำให้แจ้งแล้ว
ปฏิปทาอันให้ถึงโลกนิโรธตถาคตตรัสรู้แล้ว ปฏิปทาอันให้ถึงโลกนิโรธ

183
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 184 (เล่ม 11)

ตถาคตเจริญแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติใดของโลกพร้อมทั้ง
เทวดา ฯ ล ฯ ธรรมชาตินั้นทั้งหมดตถาคตตรัสรู้แล้ว เหตุนั้น จึงได้
พระนามว่า ตถาคต ดังนี้ พึงทราบเนื้อความแห่งคำนั้นแม้อย่างนี้. อนึ่ง
แม้ข้อนี้ก็เป็นเพียงมุขในการแสดงภาวะที่พระตถาคตมีพระนามว่าตถาคต
เท่านั้น. ที่จริง พระตถาคตเท่านั้น จะพึงพรรณนาภาวะที่พระตถาคตมี
พระนามว่า ตถาคต โดยอาการทั้งปวงได้.
อธิบายคำ ปุจฉา
คำว่า กตมญฺเจตํ ภิกฺขเว เป็นต้น ความว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสถามข้อที่ปุถุชนเมื่อกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด
ซึ่งมีประมาณน้อยนัก ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล นั้นว่าเป็นไฉน ?
ชื่อว่าคำถามในพระบาลีนั้น มี ๕ อย่าง คือ
๑. อทิฏฐโชตนาปุจฉา คำถามเพื่อส่องลักษณะที่ยังไม่เห็นให้
กระจ่าง
๒. ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา คำถามเทียบเคียงลักษณะที่เห็นแล้ว
๓. วิมติเฉทนาปุจฉา คำถามเพื่อตัดความสงสัย
๔. อนุมติปุจฉา คำถามเพื่อการรับรอง
๕. กเถตุกัมยตาปุจฉา คำถามเพื่อประสงค์จะตอบเอง
ในบรรดาคำถามเหล่านั้น อทิฏฐโชตนาปุจฉา เป็นไฉน ? ตาม
ปกติลักษณะที่ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้พิจารณา ยังไม่ได้ไตร่ตรอง
ยังไม่แจ่มแจ้ง ยังไม่ได้อธิบาย บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อรู้ เพื่อเห็น
เพื่อพิจารณา เพื่อไตร่ตรอง เพื่ออธิบายลักษณะนั้น นี้ชื่อว่า อทิฏฐ-

184
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 185 (เล่ม 11)

โชตนาปุจฉา.
ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ตามปกติลักษณะที่รู้แล้ว
เห็นแล้ว พิจารณาแล้ว ไตร่ตรองแล้ว แจ่มแจ้งแล้ว อธิบายแล้ว
บุคคลย่อมถามปัญหาเพื่อต้องการจะเทียบเคียงลักษณะนั้นกับบัณฑิตเหล่า
อื่น นี้ชื่อว่า ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา.
วิมติเฉทนาปุจฉา เป็นไฉน ? ตามปกติบุคคลเป็นผู้มักสงสัย มัก
ระแวง เกิดความแคลงใจว่า อย่างนี้หนอ ? ไม่ใช่หนอ ? อะไรหนอ ?
อย่างไรหนอ ? บุคคลนั้นย่อมถามปัญหาเพื่อต้องการตัดความสงสัย นี้
ชื่อว่า วิมติเฉทนาปุจฉา.
อนุมติปุจฉา เป็นไฉน ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามปัญหาเพื่อ
การรับรองของภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน ? รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ก็รูป
ที่ไม่เที่ยงนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุข เป็นทุกข์พระเจ้าข้า พึงกล่าวคำ
ทั้งหมด นี้ชื่อว่า อนุมติปุจฉา.
กเถตุกัมยตาปุจฉา เป็นไฉน ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม
ปัญหาด้วยมีพุทธประสงค์จะทรงตอบแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ปติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ สติปัฏฐาน ๔ อะไรบ้าง ? ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย องค์แห่งมรรค ๘ เหล่านี้ องค์แห่งมรรค ๘ อะไร
บ้าง ? นี้ชื่อว่า กเถตุกัมยตาปุจฉา.
ในบรรดาปุจฉา ๕ ประการดังพรรณนามานี้ เบื้องต้น อทิฏฐ-
โชตนาปุจฉา ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต เพราะธรรมอะไร ๆ ที่พระองค์
ไม่ทรงเห็นไม่มี แม้ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา ก็ไม่มี เพราะไม่เกิดการประมวล

185
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 186 (เล่ม 11)

พระดำริว่า ลักษณะชื่อนี้ เราจักแสดงเทียบเคียงกับสมณพราหมณ์ผู้เป็น
บัณฑิตเหล่าอื่น ดังนี้เลย. อนึ่ง เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรง
มีความลังเลความสับสน แม้ในธรรมสักข้อเดียว พระองค์ทรงตัดความ
สงสัยทั้งปวงได้ ณ โพธิมัณฑสถานนั่นแล ฉะนั้น แม้วิมุติเฉทนาปุจฉา
ก็ไม่มีแน่นอน. แต่ปุจฉา ๒ ประการนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ย่อมมีแก่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ในปุจฉา ๒ ประการนั้น นี้ชื่อว่า กเถตุกัมยตา
ปุจฉา.
วรรณนาจุลศีล
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแก้เนื้อความ
ที่ได้ตรัสถามด้วยกเถตุกัมยตาปุจฉานั้น จึงตรัสพระบาลีอาทิว่า ปาณา-
ติปาตํ ปหาย ดังนี้.
ในคำว่า ละปาณาติบาต. ปาณาติบาต แปลว่าทำสัตว์มีชีวิตให้
ตกล่วงไป อธิบายว่า ฆ่าสัตว์ ปลงชีพสัตว์. ก็ในคำว่า ปาณะ นี้ โดย
โวหาร ได้แก่สัตว์ โดยปรมัตถ์ ได้แก่ชีวิตินทรีย์. อนึ่ง เจตนาฆ่า อัน
เป็นเหตุยังความพยายามตัดรอนชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้น เป็นไปทางกายทวาร
และวจีทวาร ทางใดทางหนึ่ง ของผู้มีความสำคัญในชีวิตนั้นว่า เป็นสัตว์
มีชีวิต ชื่อว่าปาณาติบาต. ปาณาติบาตนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในสัตว์เล็ก
บรรดาสัตว์ที่เว้นจากคุณมีสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะ
สัตว์มีร่างกายใหญ่. เพราะเหตุไร ? เพราะต้องขวนขวายมาก. แม้เมื่อ
มีความพยายามเสมอกัน ก็มีโทษมาก เพราะมีวัตถุใหญ่. ในบรรดาสัตว์ที่มี
คุณมีมนุษย์เป็นต้น สัตว์มีคุณน้อยมีโทษน้อย สัตว์มีคุณมากมีโทษมาก.

186
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 187 (เล่ม 11)

แม้เมื่อมีสรีระและคุณเท่ากัน ก็พึงทราบว่า มีโทษน้อย เพราะกิเลสและ
ความพยายามอ่อน มีโทษมาก เพราะกิเลสและความพยายามแรงกล้า.
ปาณาติบาตนั้น มีองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา ตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม มีความพยายาม ( ลงมือทำ )
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น.
ปาณาติบาตนั้น มีประโยค ๖ คือ
๑. สาหัตถิกประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยมือตนเอง
๒. อาณัตติกประโยค ประโยคที่สั่งให้คนอื่นฆ่า
๓. นิสสัคคิยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอาวุธที่ชัดไป
๔. ถาวรประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอุปกรณ์ที่อยู่กับที่
๕. วิชชามยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยวิชา
๖. อิทธิมยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยฤทธิ์.
ก็เมื่อข้าพเจ้าจะพรรณนาเนื้อความนี้ให้พิสดาร ย่อมจะเนิ่นช้าเกิน
ไป ฉะนั้นจะไม่พรรณนาความนั้นและความอื่นที่มีรูปเช่นนั้นให้พิสดาร
ส่วนผู้ที่ต้องการพึงตรวจดูสมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัย ถือเอาความ
เถิด.
บทว่า ปหาย ความว่า ละโทษอันเป็นเหตุทุศีล นี้กล่าวคือ เจตนา
ทำปาณาติบาต. บทว่า ปฏิวิรโต ความว่างด คือเว้นจากโทษอันเป็นเหตุ

187
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 188 (เล่ม 11)

ทุศีลนั้น จำเดินแต่กาลที่ละปาณาติบาตได้แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ไม่มีธรรมที่จะพึงรู้ทางจักษุและโสดว่า เราจักละเมิดดังนี้ จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงธรรมที่เป็นไปทางกายเล่า. แม้ในบทอื่น ๆ ที่มีรูปอย่างนี้ ก็พึง
ทราบเนื้อความโดยนัยนี้แหละ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้โวหารว่า สมณะ เพราะเป็นผู้มีบาป
สงบแล้ว. บทว่า โคตโม ความว่า ทรงพระนามว่า โคดม ด้วยอำนาจ
พระโคตร. มิใช่แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่เว้นจาก
ปาณาติบาต แม้ภิกษุสงฆ์ก็เว้นด้วย แก่เทศนามีมาอย่างนี้ตั้งแต่ต้น แต่
เมื่อจะแสดงเนื้อความ จะแสดงแม้ด้วยสามารถแห่งภิกษุสงฆ์ก็ควร.
บทว่า นิหิตทณฺโฑ นิหิตสตฺโถ ความว่า มีไม้อันวางแล้ว และ
มีมีดอันวางแล้ว เพราะไม่ถือไม้หรือมีดไปเพื่อต้องการจะฆ่าผู้อื่น. ก็ใน
พระบาลีนี้ นอกจากไม้ อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด พึงทราบว่า ชื่อว่ามีด
เพราะทำให้สัตว์ทั้งหลายพินาศได้. ส่วนไม้เท้าคนแก่ก็ดี ไม้ก็ดี มีดก็ดี
มีดโกนที่ภิกษุทั้งหลายถือเที่ยวไปนั้น มิใช่เพื่อต้องการจะฆ่าผู้อื่น ฉะนั้น
จึงนับว่า วางไม้ วางมีด เหมือนกัน.
บทว่า ลชฺชี ความว่า ประกอบด้วยความละอายอันมีลักษณะเกลียด
บาป. บทว่า ทยาปนฺโน ความว่า ถึงความเอ็นดู คือความเป็นผู้มีเมตตา-
จิต. บทว่า สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี ความว่า อนุเคราะห์สัตว์มีชีวิต
ทั้งปวงด้วยความเกื้อกูล อธิบายว่า มีจิตเกื้อกูลแก่สัตว์มีชีวิตทุกจำพวก
เพราะถึงความเอ็นดูนั้น. บทว่า วิหรติ ความว่า เปลี่ยนอิริยาบถ คือ
ยังอัตภาพให้เป็นไป ได้แก่รักษาตัวอยู่.
คำว่า อิติ วา หิ ภิกฺขเว ความเท่ากัน เอวํ วา ภิกฺขเว วา

188
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 189 (เล่ม 11)

ศัพท์ ตรัสเป็นความวิกัป (แยกความ ) เล็งถึงคำว่า ละอทินนาทาน
เป็นต้นข้างหน้า. พึงทราบความวิกัป เล็งถึงคำต้นบ้าง คำหลังบ้าง ทุก
แห่งอย่างนี้.
ก็ในอธิการนี้ มีความย่อดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อปุถุชนจะ
กล่าวชมตถาคต พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ใช้
ให้คนอื่นฆ่า ไม่เห็นชอบในการฆ่าสัตว์ เป็นผู้เว้นจากโทษเป็นเหตุทุศีลนี้
น่าชมเชยแท้ พระคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ ดังนี้ ถึงต้องการจะกล่าว
ชม ทำอุตสาหะใหญ่ ดังนี้ ก็จักกล่าวได้เพียงอาจาระและศีลเท่านั้น ซึ่ง
เป็นคุณมีประมาณน้อย จักไม่สามารถกล่าวพระคุณอาศัยสภาพอันไม่ทั่วไป
ยิ่งขึ้นได้เลย และมิใช่แต่ปุถุชนอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถ แม้พระ
โสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ แม้พระ
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่สามารถเหมือนกัน แต่ตถาคตเท่านั้นสามารถ
เราจักกล่าวความข้อนั้นแก่เธอทั้งหลายในเบื้องหน้า. นี้เป็นพรรณนาเนื้อ
ความพร้อมทั้งอธิบายในพระบาลีนี้ . ต่อแต่นี้ไป เราจักพรรณนาตาม
ลำดับทีเดียว.
ในคำว่า ละอทินนาทานนี้ การถือเอาของที่เขาไม่ได้ให้ ชื่อ อทิน-
นาทาน มีอธิบายว่า การลักทรัพย์ของผู้อื่น คือความเป็นขโมย ได้แก่
กิริยาที่เป็นโจร. คำว่า ของที่เขาไม่ได้ให้ ในคำว่า อทินนาทานนั้น
ได้แก่ของที่เจ้าของหวงแหน คือ เป็นทรัพย์ที่ผู้อื่นใช้ให้ทำตามประสงค์
ย่อมไม่ควรถูกลงอาชญา และไม่ถูกตำหนิ. อนึ่ง เจตนาคิดลักอันเป็น
เหตุให้เกิดความพยายามที่จะถือเอาของที่เจ้าของหวงแหนนั้น ของบุคคล
ผู้มีความสำคัญในของที่เจ้าของหวงแหนว่า เป็นของที่เจ้าของหวงแหน
ชื่อว่า อทินนาทาน. อทินนาทานนั้น ลักของเลว มีโทษน้อย ลักของ

189
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 190 (เล่ม 11)

ดี มีโทษมาก. เพราะเหตุไร ? เพราะวัตถุประณีต. อทินนาทานนั้น เมื่อ
วัตถุเสมอกัน ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะวัตถุเป็นของ ๆ ผู้ยิ่งด้วยคุณ ชื่อว่า
มีโทษน้อย เพราะวัตถุเป็นของ ๆ ผู้มีคุณน้อย ๆ กว่าผู้ยิ่งด้วยคุณนั้น ๆ.
อทินนาทานนั้น มีองค์ ๕ คือ
๑. ปรปริคฺคหิตํ ของที่เจ้าของหวงแหน
๒. ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา รู้อยู่ว่า เป็นของที่เจ้าของหวงแหน
๓. เถยฺยจิตฺตํ จิตคิดลัก
๔. อุปกฺกโม พยายามลัก
๕. เตน หรณํ ลักมาได้ด้วยความพยายามนั้น
อทินนาทานนั้น มี ๖ ประโยค มีสาหัตถิกประโยคเป็นต้นนั่นเอง.
และประโยคเหล่านี้แล เป็นไปด้วยอำนาจอวหารเหล่านี้ คือ
๑. เถยยาวหาร ลักโดยการขโมย
๒. ปสัยหาวหาร ลักโดยข่มขี่
๓. ปฏิจฉันนาวหาร ลักซ่อน
๔. ปริกัปปาวหาร ลักโดยกำหนดของ
๕. กุสาวหาร ลักโดยสับสลาก
ตามควร. นี้เป็นความย่อในอธิการนี้ ส่วนความพิสดาร ข้าพเจ้ากล่าว
ไว้แล้วในสมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัย.
พระสมณโคดม ชื่อว่า ทินนาทายี เพราะถือเอาแต่ของที่เขาให้
เท่านั้น. ชื่อว่า ทินฺนปาฏิกงฺขี เพราะต้องการแต่ของที่เขาให้เท่านั้น
แม้ด้วยจิต. ผู้ที่ชื่อว่าเถนะ เพราะลัก. ผู้ที่ไม่ใช่ขโมย ชื่อว่าอเถนะ.

190
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 191 (เล่ม 11)

พระสมณโคดมประพฤติคนเป็นคนสะอาดเพราะไม่เป็นขโมยนั่นเอง. บท
ว่า อตฺตนา คืออัตภาพ. มีอธิบายว่า กระทำคนไม่เป็นขโมย เป็นคน
สะอาดอยู่. คำที่เหลือพึงประกอบตามนัยที่กล่าวแล้วในสิกขาบทที่หนึ่ง
นั่นแหละ. ทุกสิกขาบทก็เหมือนในสิกขาบทนี้.
บทว่า อพฺรหฺมจริยํ ความว่า ความพระพฤติไม่ประเสริฐ. ชื่อว่า
พรหมจารี เพราะประพฤติอาจาระอันประเสริฐที่สุด. ผู้ที่ไม่ใช่พรหมจารี
ชื่อว่า อพรหมจารี. บทว่า อาราจารี ความว่า ทรงพระพฤติไกลจากกรรม
อันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์. บทว่า เมถุนา ความว่า จากอสัทธรรมที่
นับว่า เมถุน เพราะบุคคลผู้ได้บัญญัติว่าเป็นคู่กัน เพราะเป็นเช่นเดียวกัน
ด้วยอำนาจความกลุ้มรุมแห่งราคะ พึงส้องเสพ. บทว่า คามธมฺมา ความ
ว่า เป็นธรรมของชาวบ้าน.
ในคำว่า มุสาวาทํ ปหาย นี้ คำว่า มุสา ได้แก่วจีประโยค หรือ
กายประโยค ที่ทำลายประโยชน์ของบุคคลผู้มุ่งจะกล่าวให้คลาดเคลื่อน.
ก็เจตนาอันให้เกิดกายประโยคและวจีประโยค ซึ่งพูดให้ผู้อื่นคลาดเคลื่อน
ของบุคคลผู้มุ่งจะกล่าวให้คลาดเคลื่อนนั้น ด้วยประสงค์จะกล่าวให้คลาด
เคลื่อน ชื่อว่า มุสาวาท.
อีกนัยหนึ่ง คำว่า มุสา ได้แก่เรื่องที่ไม่เป็นจริง ไม่แท้. คำว่า
วาท ได้แก่กิริยาที่ทำให้เขาเข้าใจเรื่องที่ไม่จริง ไม่แท้นั้นว่า เป็นเรื่อง
จริง เรื่องแท้. ว่าโดยลักษณะ เจตนาที่ให้เกิดวิญญัติอย่างนั้น ของผู้
ประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องที่ไม่แท้ว่าเป็นเรื่องแท้ ชื่อว่า มุสาวาท.
มุสาวาทนั้น มีโทษน้อย เพราะประโยชน์ที่ทำลายนั้นน้อย มีโทษมาก
เพราะประโยชน์ที่ทำลายนั้นมาก.

191
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 192 (เล่ม 11)

อีกอย่างหนึ่ง สำหรับพวกคฤหัสถ์ มุสาวาทที่เป็นไปโดยนัยว่า
ไม่มี เป็นต้น เพราะประสงค์จะไม่ให้ของของตนมีโทษน้อย ที่เป็นพยาน
กล่าวเพื่อทำลายประโยชน์ มีโทษมาก. สำหรับพวกบรรพชิต มุสาวาท
ที่เป็นไปโดยนัยแห่งการพูดว่าเป็นของบริบูรณ์ เช่นว่า วันนี้น้ำมันในบ้าน
ไหลเหมือนแม่น้ำเป็นต้น ด้วยประสงค์จะหัวเราะ เพราะได้น้ำมันหรือ
เนยใสมาน้อย มีโทษน้อย แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่ไม่เห็นเลย โดยนัยว่า เห็น
แล้ว เป็นต้น มีโทษมาก.
มุสาวาทนั้น มีองค์ ๔ คือ
๑. อตถํ วตฺถุํ เรื่องไม่แท้
๒. วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อน
๓. ตชฺโช วายาโม ความพยายามเกิดจากจิตคิดจะพูดให้คลาด-
เคลื่อนนั้น
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ คนอื่นรู้เรื่องนั้น.
มุสาวาทนั้นมีประโยคเดียว คือ สาหัตถิกประโยค. มุสาวาทนั้นพึง
เห็นด้วยการใช้กายบ้าง ใช้ของที่เนื่องด้วยกายบ้าง ใช้วาจาบ้าง กระทำ
กิริยาหลอกลวงผู้อื่น. ถ้าผู้อื่นเข้าใจความนั้น ด้วยกิริยานั้น ผู้นี้ย่อม
ผูกพันด้วยกรรม คือ มุสาวาทในขณะที่คิดจะให้เกิดกิริยาทีเดียว. ก็เพราะ
เหตุที่บุคคลสั่งว่า ท่านจงพูดเรื่องนี้แก่ผู้นี้ ดังนี้ก็มี เขียนหนังสือแล้ว
โยนไปตรงหน้าก็มี เขียนติดไว้ที่ฝาเรือน เป็นต้น ให้รู้ว่า เนื้อความพึง
รู้อย่างนี้ ดังนี้ ก็มีโดยทำนองที่หลอกลวงผู้อื่น ด้วยกาย ของเนื่องด้วย
กายและวาจา ฉะนั้น แม้อาณัตติกประโยค นิสสัคคิยประโยค และถาวร-

192