No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 83 (เล่ม 11)

ข้างหนึ่ง มีลักษณะเหมือนลูกตาลสุกที่หล่นจากขั้ว มีลักษณะเหมือน
ทับทิมที่วางไว้บนผ้ากัมพลสีเหลือง มีลักษณะเหมือนดวงจันทร์เพ็ญที่ลอย
เด่นในท้องนภากาศอันปราศจากเมฆ และมีลักษณะเหมือนดอกปทุมมี
เกสรและกลีบแดงเรื่อกำลังแย้มด้วยต้องแสงอาทิตย์อ่อน ๆ คล้ายจะบอก
เรื่องที่คนบรรลุพระอรหัตด้วยปากอันประเสริฐบริสุทธิ์ผุดผ่องมีรัศมีและมี
สิริ ได้ไปสู่ที่ประชุมสงฆ์. ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะพอเห็นพระ
อานนท์ดังนั้น ได้มีความรู้สึกว่า ท่านผู้เจริญ พระอานนท์บรรลุพระ
อรหัตแล้ว งามจริง ๆ ถ้าพระศาสดายังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ก็จะ
พึงประทานสาธุการแก่พระอานนท์ในวันนี้แน่แท้ บัดนี้เราจะให้สาธุการ
ซึ่งพระศาสดาควรประทานแก่พระอานนท์นั้น ดังนี้แล้ว ได้ให้สาธุการ
๓ ครั้ง.
ส่วนพระมัชฌิมภาณกาจารย์กล่าวว่า พระอานนทเถระ ประสงค์
จะให้สงฆ์ทราบเรื่องที่ตนบรรลุพระอรหัต จึงมิได้ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายเมื่อนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตน ๆ ตามลำดับอาวุโส ก็นั่งเว้น
อาสนะของพระอานนทเถระไว้. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก
ถามว่า นั่นอาสนะของใคร ? ได้รับตอบว่า ของพระอานนท์. ภิกษุ
เหล่านั้นถามอีกว่า พระอานนท์ไปไหนเสียเล่า ? สมัยนั้น พระอานนท์-
เถระคิดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรจะไป ต่อจากนั้น เมื่อจะแสดง
อานุภาพของตน ท่านจึงดำดินแล้วแสดงตนบนอาสนะของตนทีเดียว.
อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระอานนท์ไปทางอากาศแล้ว นั่งบน
อาสนะของตน ดังนี้ก็มี. อย่างไรก็ตาม การที่ท่านพระมหากัสสปะเห็น
พระอานนท์แล้ว ให้สาธุการ เป็นการเหมาะสมโดยประการทั้งปวงทีเดียว.

83
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 84 (เล่ม 11)

เมื่อท่านพระอานนท์มาอย่างแล้ว พระมหากัสสปเถระจึง
ปรึกษาหารือภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลาย
จะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้เจริญ พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อ
พระวินัยตั้งอยู่ พระศาสนาก็ชื่อว่ายังดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลาย
จงสังคายนาพระวินัยก่อน พระมหากัสสปะถามว่าเราจะจัดให้ใครรับเป็น
ธุระ ? ที่ประชุมตอบว่าให้ท่านพระอุบาลีรับเป็นธุระ ? ท่านถามแย้งว่า
พระอานนท์ไม่สามารถหรือ ? ที่ประชุมชี้แจงว่า ไม่ใช่พระอานนท์
ไม่สามารถ ก็แต่ว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งดำรงพระชนม์อยู่ ได้
สถาปนาท่านพระอุบาลีไว้ในเอตทัคคะ เพราะอาศัยการเล่าเรียนวินัยว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาลีเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกของเราผู้ทรงวินัย ดังนี้
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงต้องถามพระอุบาลีเถระ สังคายนาพระวินัย.
ลำดับนั้น พระมหากัสสปเถระได้สมมติตนเองเพื่อถามพระวินัย แม้
พระอุบาลีเถระ ก็สมมติตนเองเพื่อตอบพระวินัย ในการสมมตินั้น
มีบาลีดังต่อไปนี้
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
ข้าพเจ้าจะขอถามวินัยกะพระอุบาลี. แม้ท่านพระอุบาลีก็ได้เผดียงว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะถามวินัยแล้ว จะตอบ
ครั้นท่านพระอุบาลีสมมติตนอย่างนี้แล้วลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่า
ข้างหนึ่งนมัสการภิกษุชั้นพระเถระแล้วนั่งบนธรรมาสน์จับพัดงา. ลำดับนั้น

84
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 85 (เล่ม 11)

พระมหากัสสปเถระนั่งบนเถรอาสน์ ถามวินัยกะท่านพระอุบาลีว่า
ดูก่อนอาวุโสอุบาลี ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ
ที่ไหน ? พระอุบาลีตอบว่า ทรงบัญญัติที่เมืองเวลาลี เจ้าข้า.
พระมหากัสสปะถามว่า ทรงปรารภใคร ? พระอุบาลีตอบว่า ทรง
ปรารภพระสุทิน บุตรกลันทเศรษฐี. พระมหากัสสปะถามว่า เรื่อง
อะไร ? พระอุบาลีตอบว่า เรื่องเสพเมถุนธรรม. ครั้งนั้นแล ท่าน
พระมหากัสสปะถามท่านพระอุบาลีทั้งวัตถุ ถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคล
ถามทั้งมูลบัญญัติ ถามทั้งอนุบัญญัติ ถามทั้งอาบัติ ถามทั้งอาบัติแห่ง
ปฐมปาราชิก. ท่านพระอุบาลี อันพระมหากัสสปะถามแล้ว ๆ ก็ได้ตอบ
แล้ว.
ถามว่า ก็ในบาลีปฐมปาราชิก ในวินัยปิฎกนี้ บทอะไร ๆ ที่ควร
ตัดออกหรือที่ควรเพิ่มเข้ามา จะมีบ้างหรือไม่มีเลย. ตอบว่า บทที่ควร
ตัดออก ไม่มีเลย เพราะถือกันว่าบทที่ควรตัดออกในภาษิตของพระ
พุทธเจ้าผู้มีบุญ จะมีไม่ได้เลย ด้วยว่าพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ตรัสอักษร
ที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่ตัวเดียว แต่บทที่ควรตัดออกในภาษิตของพระสาวก
ทั้งหลายก็ดี ของเทวดาทั้งหลายก็ดี ย่อมมีบ้าง พระธรรมสังคาหกเถระ
ทั้งหลายได้ตัดบทนั้นออกแล้ว. ส่วนบทที่ควรเพิ่มเข้ามา ย่อมมีได้แม้ใน
พุทธภาษิต สาวกภาษิต และเทวดาภาษิตทั่วไป เพราะฉะนั้น บทใด
ควรเพิ่มเข้าในเทศนาใด พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายก็ได้เพิ่มบทนั้น
เข้ามาแล้ว. ถามว่า บทที่เพิ่มเข้ามานั้นได้แก่บทอะไรบ้าง ? ตอบว่า
บทที่เพิ่มเข้ามานั้น ได้แก่บทที่เป็นแต่เพียงคำเชื่อมความท่อนต้นกับท่อน
หลัง มีอาทิอย่างนี้ว่า เตน สมเยน บ้าง เตน โข ปน สมเยน บ้าง

85
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 86 (เล่ม 11)

อถโข บ้าง เอวํ วุตฺเต บ้าง เอตทโวจ บ้าง อนึ่ง พระธรรม-
สังคาหกเถระทั้งหลาย ได้เพิ่มบทที่ควรเพิ่มเข้ามาอย่างนี้แล้ว ตั้งไว้ว่า
อิทํ ปฐมปาราชิกํ (สิกขาบทนี้ชื่อปฐมปาราชิก) เมื่อปฐมปาราชิก
ขึ้นสู่สังคายนาแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ก็ได้ทำคณสาธยาย (สวด
เป็นหมู่ ) โดยนัยที่ยกขึ้นสู่สังคายนาว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา
เวรญฺชายํ วิหรติ เป็นต้น. ในเวลาที่พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เหล่านั้น
เริ่มสวด แผ่นดินใหญ่ได้เป็นเหมือนให้สาธุการไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน.
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ยกปาราชิกที่เหลืออยู่ ๓ สิกขาบท
ขึ้นสู่สังคายนาโดยนัยนี้เหมือนกัน แล้วตั้งไว้ว่า อิทํ ปาราชิกกณฺฑํ
กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ ตั้งสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ว่า เตรสกณฺฑํ ตั้งสิกขา
บท ๒ ไว้ว่า อนิยต ตั้งสิกขาบท ๓๐ ไว้ว่า นิสสัคคียปาจิตตีย์ ตั้ง
สิกขาบท ๙๒ ไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้งสิกขาบท ๔ ไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ
ตั้งสิกขาบท ๗๕ ไว้ว่า เสขิยะ ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ
ระบุสิกขาบท ๒๒๗ ว่า คัมภีร์มหาวิภังค์ ตั้งไว้ด้วยประการฉะนี้. แม้
ในเวลาเสร็จการสังคายนาคัมภีร์มหาวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหวโดยนัย
ก่อนเหมือนกัน.
ต่อจากนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ได้ตั้งสิกขาบท ๘
ในภิกขุนีวิภังค์ไว้ว่า กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกภัณฑ์ ตั้งสังฆาทิเสส ๑๗
สิกขาบทไว้ว่า นี้สัตตรสกัณฑ์ ตั้งนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทนี้
ไว้ว่า นี้นิสสัคคียปาจิตตีย์ ตั้งปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาจิตตีย์
ตั้งปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาฏิเทสนียะ ตั้งเสขิยะ ๗๕ สิกขาบท
ไว้ว่า นี้เสขิยะ ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า นี้อธิกรณสมถะ ระบุ

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 87 (เล่ม 11)

สิกขาบท ๓๐๔ ว่า ภิกขุนีวิภังค์ อย่างนี้แล้ว ตั้งไว้ว่า วิภังค์นี้ชื่อ
อุภโตวิภังค์ มี ๖๔ ภาณวาร. แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาคัมภีร์
อุภโตวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหวโดยนัยที่กล่าวแล้วเหมือนกัน.
โดยอุบายวิธีนี้แหละ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ยกคัมภีร์
ขันธกะ (มหาวรรคและจุลวรรค ) ซึ่งมีประมาณ ๘๐ ภาณวาร และ
คัมภีร์บริวารซึ่งมีประมาณ ๒๕ ภาณวาร ขึ้นสู่สังคายนาแล้วตั้งไว้ว่า
ปิฎกนี้ชื่อวินัยปิฎก. แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาวินัยปิฎก แผ่นดินได้
ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้มอบ
ท่านพระอุบาลีให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ในเวลาเสร็จการสังคายนา
วินัยปิฎก พระอุบาลีเถระ วางพัดงาลงจากธรรมาสน์ นมัสการภิกษุ
ชั้นเถระทั้งหลายแล้วนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตน.
ครั้นสังคายนาพระวินัยเสร็จแล้ว ท่านพระมหากัสสปะประสงค์
จะสังคายนาพระธรรมต่อไป จึงถามภิกษุทั้งหลายว่า เราทั้งหลายผู้จะ
สังคายนาพระธรรม (สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก) จะจัดให้ใครรับ
เป็นธุระสังคายนาพระธรรม ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ให้ท่านพระอานนท-
เถระรับเป็นธุระ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอถามพระธรรมกะพระอานนท์. ครั้งนั้นแล ท่าน
พระอานนท์ได้เผดียงว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะ
ถามพระธรรมแล้ว จะตอบ. ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ
ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการภิกษุชั้นพระเถระทั้งหลายแล้วนั่งบน

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 11)

ธรรมาสน์จับพัดงา. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาปิฎกไหนก่อน ? ภิกษุ
ทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสุตตันปิฎกก่อน พระมหากัลสปะถามว่า
ในสุตตันตปิฎกมีสังคีติ ๔ ประการ (คือ ทีฆสังคีติ การสังคายนาทีฆนิกาย
มัชฌิมสังคีติ การสังคายนามัชฌิมนิกาย สังยุตตสังคีติ การสังคายนา-
สังยุตตนิกาย อังคุตตรสังคีติ การสังคายนาอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททก-
นิกาย มีวินัยปิฎกรวมอยู่ด้วย จึงไม่นับในที่นี้ ) ในสังคีติเหล่านั้น เรา
ทั้งหลายจะสังคายนาสังคีติไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนา
ทีฆสังคีติก่อน. พระมหากัสสปะถามว่า ในทีฆสังคีติ มีสูตร ๓๔ สูตร
มีวรรค ๓ วรรค ในวรรคเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาวรรคไหน
ก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสีลขันธวรรคก่อน. พระมหา-
กัสสปะถามว่า ในสีลขันธวรรค มีสูตร ๑๓ สูตร ในสูตรเหล่านั้น เรา
ทั้งหลายจะสังคายนาสูตรไหนก่อน ? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขึ้นชื่อว่าพรหมชาลสูตรประดับด้วยศีล ๓ ประเภท เป็นสูตรกำจัดโทษ
มีการหลอกลวง และการพูดประจบประแจงซึ่งเป็นมิจฉาชีพหลายอย่าง
เป็นต้น เป็นสูตรปลดเปลื้องข่ายคือ ทิฏฐิ ๖๒ ทำหมื่นโลกธาตุให้ไหว
เราทั้งหลายจงสังคายนาพรหมชาลสูตรนั้นก่อน.
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวถามคำนี้กะท่านพระ
อานนท์ว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตร
ที่ไหน ? พระอานนท์ตอบว่า ตรัส ณ พระตำหนักในพระราชอุทยาน
อัมพลัฏฐิกา ระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา. พระมหากัสสปะ
ถามว่า ทรงปรารภใคร ? พระอานนท์ตอบว่า ทรงปรารภสุปปิยปริ-

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 11)

พาชกกับพรหมทัตมาณพ. พระมหากัสสปะถามว่า เรื่องอะไร ?
พระอานนท์ตอบว่า เรื่องชมและติ. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ
ถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคล แห่งพรหมชาลสูตรกะท่านพระอานนท์
ท่านพระอานนท์ก็ได้ตอบแล้ว. เมื่อตอบเสร็จแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐
องค์ไค้ทำคณสาธยาย. และแผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
ครั้นสังคายนาพรหมชาลสูตรอย่างนี้แล้ว ต่อจากนั้น พระธรรม
สังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาสูตร ๑๓ สูตร ทั้งหมดรวมทั้งพรหม-
ชาลสูตร ตามลำดับแห่งปุจฉาและวิสัชนา โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อน
อาวุโสอานนท์ วรรคนี้ชื่อสีลขันธวรรค. พระธรรมสังคาหกเถระ
ทั้งหลาย สังคายนาบาลีประมาณ ๖๔ ภาณวาร ประดับด้วยสูตร ๖๔ สูตร
จัดเป็น ๓ วรรค อย่างนี้ คือ มหาวรรคต่อจากสีลขันธวรรคนั้น ปาฏิก-
วรรคต่อจากมหาวรรคนั้น แล้วกล่าวว่า นิกายนี้ชื่อทีฆนิกาย แล้วมอบ
ท่านพระอานนท์ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน. ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์
ทีฆนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกาย
ประมาณ ๘๐ ภาณวาร แล้วมอบกะนิสิตของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร-
เถระว่า ท่านทั้งหลาย จงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้ . ต่อจากการ
สังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้
สังคายนาสังยุตตนิกายประมาณ ๑๐๐ ภาณวาร แล้วมอบกะพระมหา-
กัสสปเถระ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์
สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาอังคุตตร-
นิกายประมาณ ๑๒๐ ภาณวาร แล้วมอบกะพระอนุรุทธเถระ ให้ไปสอน
ลูกศิษย์ของท่านว่า

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 11)

คัมภีร์ธรรมสังคณี คัมภีร์วิภังค์ คัมภีร์
กถาวัตถุ คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ คัมภีร์
ธาตุกถา คัมภีร์ยมก คัมภีร์ปัฏฐาน ท่าน
เรียกว่า พระอภิธรรม.
ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์อังคุตตรนิกายนั้น พระธรรมสังคาหก-
เถระทั้งหลาย ได้สังคายนาบาลีพระอภิธรรม ซึ่งเป็นอารมณ์ของญาณ
อันสุขุม อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้วอย่างนี้ แล้วกล่าวว่า ปิฎกนี้
ชื่อ อภิธรรมปิฎก พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ได้ทำคณสาธยาย แผ่นดินได้
ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล. ต่อจากการยังคายนาอภิธรรมปิฎกนั้น
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาพระบาลี คือ ชาดก นิทเทส
ปฏิสัมภิทามรรค อปทาน สุตตนิบาต ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน
อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา พระทีฆภาณ-
กาจารย์กล่าวว่า ประชุมคัมภีร์นี้ชื่อว่า ขุททกคันถะ และกล่าวว่า
พระธรรมสังคาหกเถระ ยกสังคายนาในอภิธรรมปิฎกเหมือนกัน. ส่วน
พระมัชฌิมภาณกาจารย์กล่าวว่า ขุททกคันถะทั้งหมดนี้กับจริยาปิฎกและ
พุทธวงศ์ นับเนื่องในสุตตันตปิฎก.
พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้ พึงทราบว่ามี ๑ คือ รส มี ๒ คือ
ธรรมและวินัย มี ๓ คือ ปฐมพจน์ มัชฌิมพจน์ และปัจฉิมพจน์ มี ๓
ด้วยอำนาจแห่งปิฎก มี ๕ ด้วยอำนาจแห่งนิกาย มี ๙ ด้วยอำนาจแห่งองค์
มี ๘๔,๐๐๐ ด้วยอำนาจธรรมขันธ์ ด้วยประการฉะนี้.
พระพุทธพจน์ มี ๑ คือ รส นับอย่างไร ? จริงอยู่ คำใดที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมแล้ว

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 11)

ทรงสั่งสอนเทวดา มนุษย์ นาค และยักษ์เป็นต้นก็ดี ทรงพิจารณา
อยู่ก็ดี ตลอดเวลา ๔๕ ปี ในระหว่างนี้จนตราบเท่าเสด็จปรินิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตรัสไว้ คำทั้งหมดนั้นมีรสเดียว คือวิมุตติรส
นั่นแล พระพุทธพจน์ มี ๑ คือ รส นับอย่างนี้.
พระพุทธพจน์ มี ๒ คือธรรมและวินัย นับอย่างไร ? จริงอยู่
พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้ ย่อมนับว่าธรรมและวินัย ในธรรมและวินัยนั้น
วินัยปิฎก ชื่อว่าวินัย พระพุทธพจน์ที่เหลือ ชื่อว่าธรรม. เพราะ-
เหตุนั้นแล พระมหากัสสปะจึงกล่าวว่า อย่ากระนั้นเลย เราทั้งหลาย
พึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัย และกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะถาม
วินัยกะพระอุบาลี จะถามธรรมกะพระอานนท์ พระพุทธพจน์มี ๒ คือ
ธรรมและวินัย นับอย่างนี้.
พระพุทธพจน์มี ๓ คือปฐมพจน์ มัชฌิมพจน์ และปัจฉิมพจน์
นับอย่างไร ? จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้มี ๓ ประเภท คือ
ปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์ ปัจฉิมพุทธพจน์. ใน ๓ ประเภทนี้
ปฐมพุทธพจน์ได้แก่พุทธพจน์นี้ คือ
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยว
ไปแล้ว สิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 92 (เล่ม 11)

ดูก่อนช่างผู้ทำเรือนคืออัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนคือ
อัตภาพของเราอีกไม่ได้ โครงบ้านของท่านทั้งหมด เราทำลายแล้ว
ยอดแห่งเรือนคืออวิชชา เรารื้อแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้ว
เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว.
อาจารย์บางพวกกล่าวอุทานคาถาในคัมภีร์ขันธกะ มีคำว่า ยทา หเว
ปาตุภวนฺติ ธมฺมา ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ ดังนี้ เป็นต้น
ว่าเป็นปฐมพุทธพจน์ ก็อุทานคาถานี้ พึงทราบว่า เป็นอุทานคาถาที่บังเกิด
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงพิจารณาซึ่ง
ปัจจยาการ ด้วยพระญาณที่สำเร็จด้วยโสมนัสเวทนาในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๖
ก็คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในเวลาใกล้เสด็จปรินิพพานว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังสัมมาปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยความ
ไม่ประมาท ดังนี้ เป็นปัจฉิมพุทธพจน์. คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ระหว่างปฐมพจน์และปัจฉิมพจน์ ชื่อมัชฌิมพจน์. พุทธพจน์ ๓ ประเภท
คือ ปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์ และปัจฉิมพุทธพจน์ นับอย่างนี้
พุทธพจน์มี ๓ ด้วยอำนาจแห่งปิฎก นับอย่างไร ? จริงอยู่ พระ
พุทธพจน์ทั้งหมดนี้มี ๓ ประเภท คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรม-
ปิฎก. ใน ๓ ปิฎกนั้น พระพุทธพจน์นี้ คือ ปาติโมกข์ทั้ง ๒ วิภังค์
ขันธกะ ๘๒ ปริวาร ๑๖ ชื่อวินัยปิฎก เพราะรวมพระพุทธพจน์ทั้งหมด
ที่สังคายนาในครั้งปฐมสังคายนา และที่สังคายนาต่อมา. พระพุทธพจน์
ที่ชื่อว่าสุตตันตปิฎก ได้แก่พระพุทธพจน์ต่อไปนี้คือ ทีฆนิกาย มี
จำนวน ๓๔ สูตร มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น มัชฌิมนิกาย มีจำนวน ๑๕๒

92