No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 33 (เล่ม 11)

รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ที่ตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่น
ให้รู้แจ้ง อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริง
โดยชอบ.
อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ๔
(๓๙) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีความ
เห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้น
ได้ไม่ตายตัว ด้วยวัตถุ ๔. ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัย
อะไร จึงมีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ
ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยวัตถุ.
๑๓.๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวก
ในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล. เขามี
ความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล
ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึง
พยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล คำพยากรณ์ของเรานั้นพึง
เป็นคำเท็จ คำเท็จของเรานั้นพึงเป็นความเดือนร้อนแก่เรา ความเดือนร้อน
นั้นพึงเป็นอันตรายแก่เรา. ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่พยากรณ์ว่า นี้เป็น
กุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวการกล่าวเท็จ เพราะเกลียดการกล่าวเท็จ
เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็น
ของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่
มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑ ที่สมณพราหมณ์

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 34 (เล่ม 11)

พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูก
ถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
(๔๐) ๑๔.๒ อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัย
อะไร ปรารภอะไร จึงมีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาใน
เรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ไม่รู้
ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล. เขามีความคิดอย่างนี้
ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า
นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล ความพอใจ ความติดใจ ความเคืองใจ
หรือความขัดใจในข้อนั้นพึงมีแก่เรา ข้อที่มีความพอใจ ความติดใจ
ความเคืองใจ หรือความขัดใจนั้น จะพึงเป็นอุปาทานของเรา อุปาทาน
ของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือนร้อนแก่เรา ความเดือนร้อนของเรานั้นจะ
พึงเป็นอันตรายแก่เรา. ด้วยเหตุฉะนี้ เขาจึงไม่พยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล
นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวอุปาทาน เพราะเกลียดอุปาทาน เมื่อถูกถามปัญหา
ในเรื่องนั้น ๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้
ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว
ปรารภแล้ว มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ
จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
(๔๑) ๑๕.๓ อนึ่ง ในฐานะที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัย
อะไร มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อม

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 35 (เล่ม 11)

กล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ไม่รู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล. เขามีความคิดอย่างนี้
ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ก็ถ้าเรา
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า
นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญา
ละเอียด ชำนาญการโต้วาทะ เป็นดุจคนแม่นธนู มีอยู่แล สมณพราหมณ์
เหล่านั้น เหมือนจะเที่ยวทำลายวาทะด้วยปัญญา เขาจะพึงซักไซ้ ไล่เลียง
สอบสวนเราในข้อนั้น เราไม่อาจโต้ตอบเขาได้ การที่เราโต้ตอบเขาไม่ได้
นั้น จะเป็นความเดือนร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้น จะพึงเป็น
อันตรายแก่เรา. ด้วยเหตุฉะนี้ เขาจึงไม่พยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็น
อกุศล เพราะกลัวอุปาทาน เพราะเกลียดอุปาทาน เมื่อถูกถามปัญหาใน
เรื่องนั้น ๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้
ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๓ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหา
ในเรื่องนั้น. จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
(๔๒) ๑๖.๔ อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัย
อะไร ปรารภอะไร มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาใน
เรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ เป็น
คนเขลา งมงาย. เพราะเป็นคนเขลา เพราะเป็นคนงมงาย เมื่อถูกถาม

35
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 36 (เล่ม 11)

ปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ถ้าท่านถามเรา
อย่างนี้ว่า โลกอื่นมีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า โลกอื่นมี เราก็จะพึง
พยากรณ์ว่า โลกอื่นมี แต่ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็
มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้าท่านถามเราว่า โลก
อื่นไม่มีหรือ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า โลกอื่นมีด้วย ไม่มีด้วย ถ้าเรามีความ
เห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า ไม่มี ถ้าท่านถามเราว่า โลกอื่นมีด้วย
ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์
ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย . . . . ถ้าท่านถามเราว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่
หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่
ไม่มีก็มิใช่ ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เกิดผุดขึ้นมีหรือ ถ้าเรามีความเห็น
ว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มี . . . . ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เกิดผุดขึ้น
ไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า ไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า ไม่มี . . . . .
ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เกิดผุดขึ้น มีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความ
เห็นว่า มีด้วยไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีด้วย ไม่มีด้วย . . ถ้า
ท่านถามเราว่า สัตว์เกิดผุดขึ้นมีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็น
ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ . .
ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีหรือ ถ้าเรามีความ
เห็นว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มี . . . . ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่ง
กรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า ไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์
ว่า ไม่มี . . . . ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีด้วย
ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์
ว่า มีด้วย ไม่มีด้วย . . . . ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี

36
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 37 (เล่ม 11)

ทำชั่ว มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่
เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ . . . . . ถ้าท่านถามเราว่า
เบื้องหน้าแต่ความตาย สัตว์มีอยู่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีอยู่ เราก็จะพึง
พยากรณ์ว่า มีอยู่ . . . . . ถ้าท่านถามเราว่า เบื้องหน้าแต่ความตาย สัตว์
ไม่มีอยู่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า ไม่มีอยู่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า ไม่มีอยู่ . . .
ถ้าท่านถามเราว่า เบื้องหน้าแต่ความตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ
ถ้าเรามีความเห็นว่า มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีอยู่
ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย. . . . ถ้าท่านถามเราว่า เบื้องหน้าแต่ความตาย สัตว์มี
อยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่
เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ แต่ความเห็นของเราว่า
อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่
ก็มิใช่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๔ ที่สมณพราหมณ์
พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูก
ถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีความเห็นดิ้นได้
ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว
ด้วยวัตถุ ๔ นี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มี
ความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในเรื่องนั้น ๆ ย่อมกล่าววาจา
ดิ้นได้ไม่ตายตัว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดย่อมกล่าววาจาดิ้น
ได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น หรือด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง
ใน ๔ อย่างนี้ นอกจากนี้ไม่มี.

37
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 38 (เล่ม 11)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่ง
วาทะเหล่านี้ ที่บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมี
คติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น. อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้เหตุนั้น
ชัด และรู้ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย. และ
เมื่อไม่ยึดมั่น ตถาคตก็รู้ความดับสนิท เฉพาะตนเอง รู้ความเกิด
ความดับ คุณ โทษ แห่งเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออก
ไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง. เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคต
จึงหลุดพ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้
ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ที่ตถาคตทำรู้แจ้งด้วยปัญญารู้ยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่น
ให้รู้แจ้ง อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริง
โดยชอบ.
อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ ๒
(๔๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีความ
เห็นว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้น
ลอย ๆ ด้วยวัตถุ ๒. ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไรปรารภ
อะไร จึงมีความเห็นว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตา
และโลก ว่าเกิดขึ้นลอย ๆ ด้วยวัตถุ ๒.
๑๗.๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาชื่ออสัญญีสัตว์ ก็
และเทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติจากหมู่นั้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากหมู่นั้น
แล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ออกจากเรือนบวชเป็น

38
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 39 (เล่ม 11)

บรรพชิต เมื่อออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต อาศัยความเพียรเป็นเครื่อง
เผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยการประกอบเนือง ๆ อาศัยความ
ไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วสัมผัสเจโตสมาธิอันเป็นเครื่อง
ให้จิตตั้งมั่น ย่อมระลึกถึงความเกิดขึ้นแห่งสัญญาได้ เกินกว่านั้นไประลึก
ไม่ได้. เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ. ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร. เพราะเมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่ได้มีแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นก็ไม่มี
จึงน้อมไปเพื่อความเป็นผู้สงบ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑ ที่
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีความเห็นว่า อัตตา
และโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอย ๆ.
(๔๔) ๑๘.๒ อนึ่งในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัย
อะไร ปรารภอะไร จึงมีความเห็นว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ บัญญัติ
อัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอย ๆ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือ
พราหมณ์พวกหนึ่งในโลกนี้เป็นนักตรึก เป็นนักตรอง. เขากล่าวแสดง
ปฏิภาณเอาเองตามที่ตรึกได้ ตามที่ตรองได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเกิด
ขึ้นลอย ๆ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ที่สมณพราหมณ์
พวกหนึ่ง มีความเห็นว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตา
และโลก ว่าเกิดขึ้นลอย ๆ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์มีความเห็นว่า อัตตาและโลก
เกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิดขึ้นลอย ๆ ด้วยวัตถุ ๒
นี้แล. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มี
ความเห็นว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ย่อมบัญญัติอัตตาและโลก ว่าเกิด
ขึ้นลอย ๆ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยวัตถุ ๒

39
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 40 (เล่ม 11)

นี้เท่านั้น หรือด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่างนี้ นอกจากนี้ไม่มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่ง
วาทะเหล่านี้ ที่บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว
ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น. อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้เหตุ
นั้นชัด และรู้ชัดยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย. และ
เมื่อไม่ยึดมั่น ตถาคตก็รู้ความดับสนิทเฉพาะตน รู้ความเกิด ความ
ดับ คุณ โทษ แห่งเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจาก
เวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง. เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึง
หลุดพ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตาม
ได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะ
บัณฑิต ที่ตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญารู้ยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง
อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น กำหนดขันธ์ส่วน
อดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำ
แสดงวาทะหลายชนิดด้วยวัตถุ ๑๘ นี้แล. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะ
หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไป
ตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงวาทะหลายชนิด
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าวด้วยเหตุ ๑๘ นี้เท่านั้น
หรือด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๑๘ อย่างนี้ นอกจากนี้ไม่มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่ง
วาทะเหล่านี้ ที่บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมี

40
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 41 (เล่ม 11)

คติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น. อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด
และรู้ชัดยิ่งขั้นไปกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย. และเมื่อไม่
ยึดมั่น ตถาคตก็รู้ความดับสนิทเฉพาะตน รู้ความเกิด ความดับ คุณ
โทษแห่งเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น
ตามความเป็นจริง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึง
หลุดพ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้
เฉพาะบัณฑิต ที่ตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญารู้ยิ่งเอง แล้วสอนผู้
อื่นให้รู้แจ้ง อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็น
จริงโดยชอบ.
อปรันตกัปปิกทิฏฐิ ๔๔
(๔๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กำหนด
ขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วน
อนาคต กล่าวคำแสดงวาทะหลายชนิด ด้วยวัตถุ ๔๔. ก็สมณพราหมณ์
ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต
นี้ความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดง
ทิฏฐิหลายชนิด ด้วยวัตถุ ๔๔.

41
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 42 (เล่ม 11)

สัญญีทิฏฐิ ๑๖
(๔๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ
ว่า หลังแต่ความตาย อัตตามีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า หลังแต่ความตาย
อัตตามีสัญญา ด้วยวัตถุ ๑๖. ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัย
อะไร ปรารภอะไร จึงมีวาทะว่า หลังแต่ความตาย อัตตามีสัญญา
ย่อมบัญญัติว่า หลังแต่ความตาย อัตตามีสัญญา ด้วยวัตถุ ๑๖.
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบัญญัติอัตตานั้นว่า เบื้องหน้าแต่ความตาย
๑๙.๑ อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๐.๒ อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๑.๓ อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๒.๔ อัตตา ทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน
มีสัญญา.
๒๓.๕ อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๔.๖ อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๕.๗ อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๖.๘ อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่
ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๗.๙ อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๘.๑๐ อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา.
๒๙.๑๑ อัตตาที่มีสัญญาน้อย ยั่งยืน มีสัญญา.
๓๐.๑๒ อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา.

42