No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1015 (เล่ม 10)

หลายบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ เวรานํ สํวราย มีความว่า เพื่อ
ประโยชน์แก่การปิดซึ่งเวร ๕ เหล่านั้นแล.
สองบทว่า สมฺปรายิกานํ เวรานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่
การกำจัดวิปากทุกข์เหล่านั้นแล.
หลายบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ วชฺชานํ สํวราย มีความว่า เพื่อ
ประโยชน์แก่การปิดซึ่งเวร ๕ เหล่านั้น.
สองบทว่า สมฺปรายิกานํ วชฺชานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่
การกำจัดวิปากทุกข์เหล่านั้นแล. จริงอยู่ วิปากทุกข์นั่นแล อันพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า โทษ ในที่นี้ ก็เพราะเป็นธรรมอันบัณฑิตพึงเว้น.
สองบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ ภยานํ มีความว่า ภัยเหล่านี้ คือ
ความติ การโจท กรรมมีตัชชนียกรรมเป็นต้น การงดอุโบสถและปวารณา
กรรมที่ประจานความเสียหาย ชื่อว่าภัยเป็นไปในทิฏฐธรรม, เพื่อประโยชน์
แก่การระวังภัยเหล่านั้น,
ส่วนภัยเป็นไปในสัมปรายภพ ก็คือวิปากทุกข์นั่นเอง, เพื่อประโยชน์
แก่การระวังสัมปรายิกภัยเหล่านั้น.
สองบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อกุสลานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์
แก่การระวังอกุศล มีเวร ๕ และอกุศลกรรมบถ ๑ เป็นประเภท.
อนึ่ง วิปากทุกข์นั่นเอง ท่านกล่าวว่า อกุศลเป็นไปในสัมปรายภพ
เพราะอรรถว่าไม่ปลอดภัย, เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดอกุศลเหล่านี้.
สองบทว่า คิหีนํ อนุกมฺปาย มีความว่า เพื่อประโยชน์ที่จะ
อนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจรักษาศรัทธาไว้.

1015
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1016 (เล่ม 10)

สองบทว่า ปาปิจฺฉานํ ปกฺขุปจฺเฉทาย มีความว่า คณโภชน-
สิกขาบท อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อประโยชน์ที่จะทำลายการ
ควบคุมกันเป็นพวก แห่งบุคคลผู้มีความปรารถนาลามกทั้งหลาย.
คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
ก็ในข้อที่ยังเหลืออยู่นี้ จะพึงมีคำใดที่ข้าพเจ้าควรกล่าว, คำทั้งปวงนั้น
ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในวัณณนาแห่งปฐมปาราชิกเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
บรรยายประโยชน์ในสิกขาบท จบ
[พรรณนาปัญญัตติวัคค์]
บรรดาธรรมมีปาฏิโมกข์เป็นต้น ปาฏิโมกขุทเทสของภิกษุมี ๕ อย่าง,
ของภิกษุณีมี ๔ อย่าง.
บรรดากรรมมีให้ปริวาสเป็นต้น สองบทว่า โอสารณียํ ปญฺญตฺตํ
มีความว่า โอสารณียกรรม ทรงบัญญัติสำหรับภิกษุผู้ประพฤติในวัตร ๑๘
หรือ ๔๓. อธิบายว่า ภิกษุอันสงฆ์ย่อมเรียกเข้าหมู่ ด้วยกรรมใด กรรมนั้น
ทรงบัญญัติแล้ว.
สองบทว่า นิสฺสารณียํ ปญฺญตฺตํ มีความว่า ภิกษุผู้ก่อความ
บาดหมางเป็นต้น อันสงฆ์ย่อมขับออกจากหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรง
บัญญัติแล้ว.
[อานิสงส์แห่งบัญญัติ]
บรรดาบทมีบทว่า อปญฺญตฺเต เป็นต้น สองบทว่า อปญฺญตฺเต
ปญฺญตฺตํ มีความว่า กองอาบัติทั้ง ๗ ชื่อว่าบัญญัติ ในสิกขาบทที่ใคร ๆ ไม่

1016
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1017 (เล่ม 10)

ได้บัญญัติในระหว่าง นอกจากพระกกุสันธสัมมาสัมพุทธะ พระโกนาคมน-
สัมมาสัมพุทธะ และพระกัสสปสัมมาสัมพุทธะ.
วินีตกถามีมักกฏีวัตถุเป็นต้น ชื่อว่าอนุบัญญัติ ในสิกขาบทที่ทรง
บัญญัติไว้แล้ว.
คำที่เหลือ ในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
พรรณนาอานิสังสวัคค์ จบ
[ว่าด้วยประมวล]
บัดนี้ พระอุบาลี กล่าวคำว่า นว สงฺคหา เป็นต้น เพื่อแสดง
ประมวลสิกขาบททั้งปวงเป็น ๙ ส่วน โดยอาการแต่ละอย่าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถุสงฺคโห ได้แก่ ประมวลด้วยวัตถุ.
เนื้อความเฉพาะบท แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงทราบอย่างนี้.
ก็ในบทว่า วตฺถุสงฺคโห เป็นต้นนี้ มีอัตถโยชนา ดังต่อไปนี้ :-
ประมวลด้วยวัตถุ พึงทราบก่อนอย่างนี้ว่า ก็สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลด้วยวัตถุ เพราะเหตุว่า ไม่มีแม้แต่สิกขาบท
เดียวที่ทรงบัญญัติ ในเพราะเหตุมิใช่วัตถุ.
อนึ่ง ประมวลด้วยวิบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่อาบัติ ๒ กอง
ทรงประมวลด้วยสีลวิบัติ, อาบัติ ๕ กอง ทรงประมวลด้วยอาจารวิบัติ, ๖
สิกขาบท ทรงประมวลด้วยอาชีววิบัติ ฉะนั้น สิกขาบทแม้ทั้งปวง ชื่อว่า
ทรงประมวลแล้วด้วยวิบัติ.

1017
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1018 (เล่ม 10)

อนึ่ง ประมวลด้วยอาบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่
สิกขาบทเดียว ซึ่งพ้นจากอาบัติ ๗ กอง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรง
ประมวลแล้วด้วยอาบัติ.
อนึ่ง ประมวลด้วยนิทาน พึงทราบอย่างนี้ว่า สิกขาบททั้งปวง ทรง
บัญญัติแล้วใน ๗ นคร เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยนิทาน.
อนึ่ง ประมวลด้วยบุคคล พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่
สิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในเมื่อไม่มีบุคคลผู้พระพฤติล่วง ฉะนั้น สิกขาบท
ทั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยบุคคล.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้ว ด้วยอาบัติ ๕ กอง และ
๗ กอง. สิกขาบททั้งหมดนั้น เว้นจากสมุฏฐาน ๖ เสีย ย่อมเกิดไม่ได้ เพราะ
ฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมุฏฐาน.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้ว ด้วยอาปัตตาธิกรณ์ใน
บรรดาอธิกรณ์ ๔. สิกขาบททั้งปวง ย่อมถึงความระงับด้วยสมถะ ๗ เพราะ
ฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมถะ.
แม้ประมวลด้วยกอง อธิกรณ์ สมุฏฐาน และสมถะ ในบทว่า
ขนฺธสงฺคโห เป็นอาทินี้ ก็พึงทราบอย่างนี้.
คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฉะนี้แล.
พรรณนาสังคหวัคค์ ในอัฏฐกถาวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ
และพรรณนาบทที่มีเนื้อความไม่ตื้น
แห่งคัมภีร์บริวาร ก็จบดังนี้แล

1018
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1019 (เล่ม 10)

วินัยฏฐกถาวสานคาถา
พระโลกนาถผู้ชำนะ เมื่อจะทรงแนะนำบุคคลผู้
ควรแนะนำ ได้ตรัสวินัยปิฎกใด ซึ่งแสดงจำแนกโดย
อุถโตวิภังค์ ขันธกะ และบริวาร, อรรถกถาชื่อสมันต-
ปาสาทิกาแห่งวินัยปิฎกนั้น จบบริบูรณ์แล้ว โดยคันถะ
ประมาณ ๒๗,๐๐๐ ถ้วน ด้วยลำดับแห่งคำเพียงเท่านี้แล.
ในคำที่ว่า อรรถกถาวินัย ปลูกความเลื่อมใส
รอบด้านนั้น มีคำอธิบายในข้อที่อรรถกถาชื่อสมันต
ปาสาทิกา เป็นคัมภีร์ปลูกความเลื่อมใสรอบด้าน ดังนี้ :-
ในสมันตปาสาทิกานี้ ไม่ปรากฏคำน้อยหนึ่งที่ไม่
น่าเลื่อมใสแก่วิญญู ชนทั้งหลายผู้พิจารณาอยู่ โดยสืบ
ลำดับแห่งอาจารย์ โดยแสดงประเภทแห่งนิทานและ
วัตถุ โดยเว้นลัทธิของฝ่ายอื่น โดยความหมดจดแห่งลัทธิ
ของตน โดยชำระพยัญชนะให้หมดจด โดยเนื้อความ
เฉพาะบท โดยลำดับแห่งบาลีและโยชนา โดยวินิจฉัย
ในสิกขาบท และโดยแสดงประเภทแห่งนัยที่สมแก่
วิภังค์ เพราะฉะนั้นอรรถกถาแห่งวินัย ซึ่งพระโลกนาถ
ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกผู้ฉลาดในการฝึกชนที่ควร
แนะนำ ได้ตรัสไว้แล้วอย่างนั้นนี้ จึงบ่งนามว่า
" สมันตปาสาทิกา" แล.

1019
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1020 (เล่ม 10)

ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ที่ปราสาท อันห้อม-
ล้อมด้วยกำแพงทองสะพรั่งด้วยต้นไม้มี
ร่มเงาอันเย็น มีสระน้ำพร้อมมูล เป็นที่
รื่นรมย์ใจ ซึ่งอุบายสกผู้ปรากฏนามว่า
มหานิคมสามี ผู้เกิดในสกุลสูงเลื่อมใสใน
พระรัตนตรัย ด้วยศรัทธาไม่อากูล บำรุง
พระสงฆ์ทุกเมื่อได้สร้างไว้ใกล้เรือนเป็นที่
บำเพ็ญเพียรอันสูงลิ่ว ซึงภิกษุสงฆ์ผู้มีจาริต-
สีลอันสะอาดอาศัยอยู่ ที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้
แห่งมหาวิหาร อันประดับด้วยต้นมหาโพธิ
ของพระศาสดา ซึ่งประดิษฐานอยู่บนภูมิภาค
ในอุทยานมีนามว่ามหาเมฆวัน (ข้าพเจ้า)
ได้ฟังอรรถกถาซึ่งพระเถระในเกาะสีหล ได้
รจนาไว้ทั้ง ๓ คัมภีร์ เหล่านี้คือ มหา-
อรรถกถา มหาปัจจรี และกุรุนที ใน
สำนักพระเถระผู้ปรากฏโดยนามว่า "พุทธ
มิตต์" ซึ่งเป็นนักปราชญ์ รู้ทั่วถึงพระวินัย
มีชื่อเสียง มาคำนึงพระพุทธสิริเถระผู้มี
ศีลและอาจาระอันสะอาด จึงได้เริ่มรจนา
อรรถกถาวินัยอันใด ซึ่งให้สำเร็จประโยชน์
อรรถกถาวินัยนี้ ข้าพเจ้าได้เริ่มรจนา ใน
ปีที่ ๒๐ ถ้วน ซึ่งเป็นปีที่เกษมมีชัย ของ
พระเจ้าสิริบาล ผู้เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสิริ มี

1020
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1021 (เล่ม 10)

พระยศ ทรงปกครองลังกาทวีปทั้งสิ้น ให้
ปราศจากเสี้ยนหนาม สำเร็จเรียบร้อยเมื่อ
ย่างเข้าปีที่ ๒๑
อรรถกถาวินัยนี้ เข้าถึงความสำเร็จ
ได้ ในโลกซึ่งคับคั่งด้วยอุปัทวะ โดยกาล
เพียงปีเดียว โดยปราศจากอุปัทวะฉันใด,
ความริเริ่มทั้งปวง ที่อิงอาศัยธรรม ห่าง
อุปัทวะของสัตว์โลกทั้งมวล จงพลันสำเร็จ
ฉันนั้นเถิด.
อนึ่ง บุญใด ซึ่งข้าพเจ้าผู้มีความ
นับถือพระสัทธรรมมากรจนาอรรถกถานี้
เพื่อให้พระธรรมตั้งอยู่ยั่งยืน ได้สร้างสม
แล้ว, ด้วยอานุภาพแห่งบุญทั้งมวลนั้น ขอ
สัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้เสวยรสแห่งพระ-
สัทธรรมของพระธรรมราชาเถิด, ขอพระ
สัทธรรม จงตั้งอยู่ตลอดกาลนานเถิด, ขอ
ฝนจงตกตามฤดูกาล ยังประชาให้ชุ่มชื่น
ตลอดกาลนานเถิด, ขอพระราชา จง
ปกครองแผ่นดินโดยธรรมเถิด ฉะนี้แล.
อรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา อันพระเถระ
ผู้อันครูทั้งหลายขนานนามว่า "พุทธโฆสะ" ผู้ประดับ
ด้วยศรัทธาปัญญาและความเพียรอันบริสุทธิ์ยิ่ง ผู้รุ่งเรือง

1021
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1022 (เล่ม 10)

ด้วยกองคุณมีศีลอาจาระ ความซื่อตรง และความ
อ่อนโยนเป็นต้น ผู้สามารถหยั่งลงสู่ชัฏ คือ สัทธิของตน
และลัทธิฝ่ายอื่น ผู้ประกอบด้วยความเฉียบแหลมด้วย
ปัญญา ผู้มีอานุภาพแห่งญาณไม่ติดขัด ในสัตถุศาสนา
กับทั้งอรรถกถาอันต่างด้วยปริยัติ คือ พระไตรปิฎก
ผู้รู้ไวยากรณ์มาก เป็นมหากวีนักพูดประเสริฐ ทุกคำ
ที่ควรพูดในกาลที่ควร๑ ผู้ประกอบด้วยถ้อยคำอันสละ
สลวยไพเราะอย่างยิ่ง ซึ่งเปล่งออกโดยง่าย ซึ่งให้เกิด
แก่กรณสมบัติ ผู้เป็นเครื่องประดับวงศ์ของพระเถระ
ทั้งหลาย ผู้อยู่ในมหาวิหาร ผู้ยังเถรวงศ์ให้สว่าง มี
ปัญญามั่นคงดีในอุตริมนุสธรรม อันประดับด้วยคุณ มี
อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาเป็นต้นเป็นประเภท มีปฏิ-
สัมภิทาญาณอันแตกฉานเป็นบริวารผู้มีปัญญาไพบูล
หมดจดดี ได้รจนาแล้วนี้ จบแล้ว.
แม้พระนามว่า "พุทโธ" ของพระ-
โลกเชษฐ์ ผู้มีพระหฤทัยสะอาดคงที่ แสวง
หาคุณใหญ่หลวง ยังเป็นไปอยู่ ในโลก
ในโลก แสดงนัย เพื่อความหมดจดแห่งศีล
ในโลก แสดงนัย เพื่อความหมดจดแห่งศีล
แก่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้แสวงหาพระนิพพาน
เป็นที่หลีกออกจากโลกตราบนั้น เทอญ.
อรรถกถาวินัย จบแล้ว
๑. พูดทั้งผูกทั้งแก้ (?)

1022
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 1 (เล่ม 11)

พระสุตตันตปิฎก
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
เล่มที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พรหมชาลสูตร
เรื่องทิฏฐิ ๖๒
(๑) ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินทางไกลระหว่าง
กรุงราชคฤห์ และ เมืองนาลันทา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ
๕๐๐ รูป. แม้ สุปปิยปริพาชก ก็เดินทางไกลระหว่าง กรุงราชคฤห์
และ เมืองนาลันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้เป็นอันเตวาสิก.
ได้ยินว่า ในระหว่างทางนั้น สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า
ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย. ส่วนพรหมทัตตมาณพ
อันเตวาสิกของสุปปิยปริพชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม
ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย. อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มี
ถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันและกันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคเจ้า
และภิกษุสงฆ์ไปข้างหลัง ๆ.

1
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 2 (เล่ม 11)

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าประทับพักแรมราตรีหนึ่ง
ณ พระตำนักหลวงในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา พร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์. แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เข้าพักแรมราตรีหนึ่ง ใกล้พระตำหนักหลวง
ในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา กับพรหมทัตตมาณพผู้เป็นอันเตวาสิก.
ได้ยินว่า แม้ ณ ที่นั้น สุปปิยปริพาชกก็ยังกล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระ
ธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย. ส่วนพรหมทัตตมาณพ
อันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก คงกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม
ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย. อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มี
ถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันและกันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคเจ้า
และภิกษุสงฆ์ไปข้างหลัง ๆ.
ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกัน ณ
โรงกลม สนทนากันว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ผู้เห็น
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มี
อัธยาศัยต่าง ๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ความจริง
สุปปิยปริพาชกผู้นี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดย
อเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพ อันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก
กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย
อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันและกันโดยตรง
ฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลัง ๆ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบคำสนทนาของภิกษุ
เหล่านั้นแล้ว เสด็จไปยังโรงกลมประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาจัดถวาย.
ครั้นประทับนั่งแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน

2