No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1005 (เล่ม 10)

ก็แลกติกวัตรนั้น อันภิกษุผู้จะทำ แม้ทำตามคราวแห่งผลไม้ก็ควร.
กำหนดทำอย่างนี้ว่า ๔ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ก็ตาม, ไม่กำหนดทำก็ตาม ควร
ทั้งนั้น
ในคราวที่กำหนด พึงบริโภคตามที่กำหนดไว้ แล้วทำใหม่. ในคราว
ที่ไม่กำหนด ควรเพียงกาลที่ต้นไม้ทั้งหลายยังทรงอยู่. ต้นไม้เหล่าอื่นแม้ใด
ที่เพาะแล้ว ด้วยพืชทั้งหลายแห่งต้นไม้เหล่านั้น, กติกานั้นแล ใช้สำหรับต้น
ไม้เหล่านั้นด้วย
ก็ถ้าว่า เป็นต้นไม้ที่เพาะปลูกในวัดอื่น, สงฆ์ในวัดซึ่งเป็นผู้ที่ปลูก
เท่านั้น เป็นเจ้าของต้นไม้เหล่านั้น.
ต้นไม้แม้เหล่าใด อันใคร ๆ นำพืชมาจากที่อื่น ปลูกลงทีหลังในวัด
ดั้งเดิม, สำหรับต้นไม้เหล่านั้น ต้องทำกติกาอย่างอื่น. เมื่อทำกติกาแล้ว ต้น
ไม้เหล่านั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานเป็นของบุคคล. ควรบริโภคผลเป็นต้นตามสบาย.
ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายในวัดดั้งเดิมนี้ ล้อมโอกาสนั้น ๆ ทำบริเวณไว้
แล้วทำนุบำรุงอยู่. ภิกษุเหล่าใด ทำนุบำรุง, ต้นไม้เหล่านั้น ตั้งอยู่ในฐาน
เป็นของบุคคลแห่งภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่าอื่นย่อมไม่ได้เพื่อบริโภค. แต่
ภิกษุผู้ทำนุบำรุงเหล่านั้น ต้องให้ส่วนที่ ๑๐ แก่สงฆ์ แล้วจึงบริโภค
แม้ภิกษุใด เอากิ่งไม้ล้อมรักษาไว้กลางวัด แม้ภิกษุนั้น ก็นัยนี้แล.
ด้วยความดีใจว่า พระเถระมาแล้ว สามเณรทั้งหลายจึงนำผลไม้น้อย
ใหญ่มาถวายภิกษุผู้ควรยกย่อง ซึ่งไปสู่วัดเก่าแก่. ถ้าว่าในกาลครั้งเดิม ภิกษุ
ผู้เป็นพหูสูต ทรงปริยัติธรรมทั้งสิ้น อยู่ในวัดนั้น. ภิกษุนั้นพึงบริโภค โดย
ไม่ต้องมีความรังเกียจว่า ในวัดนี้จักมีกติกาที่ทำไว้ยั่งยืนเป็นแน่. ผลไม้น้อย

1005
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1006 (เล่ม 10)

ใหญ่ในวัด ย่อมควรแม้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ถือบิณฑปาติกธุดงค์ คือไม่ยังธุดงค์
ให้เสีย.
สามเณรทั้งหลายถวายผลไม้น้อยใหญ่เป็นอันมาก แก่อาจารย์ และ
อุปัชฌาย์ของตน, ภิกษุเหล่าอื่น เมื่อไม่ได้ย่อมโพนทะนา การโพนทะนานั้น
ก็เป็นสักว่าโพนทะนาเท่านั้น.
แต่ถ้าเป็นคราวที่ภิกษาฝืดเคือง, ชนทั้ง ๖๐ อาศัยขนุนต้นเดียวเลี้ยง
ชีวิต. ในกาลเช่นนั้น ต้องแบ่งกันกิน เพื่อประโยชน์จะทำการสงเคราะห์ให้
ทั่วถึงกัน. ทำเช่นนี้เป็นการชอบ.
ก็แล้ววัตรตามกติกา ยังไม่ระงับเพียงใด, ผลไม้ที่ภิกษุเหล่านั้นฉัน
แล้ว เป็นอันฉันแล้วด้วยดีแท้เพียงนั้น. ก็เมื่อไรเล่า วัตรตามกติกา จึงจะ
ระงับ ?. ในกาลใด สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงประชุมกันสวดประกาศว่า ตั้งแต่วัน
นี้ไป ภิกษุทั้งหลายจงแบ่งกันฉัน, ในกาลนั้น วัตรตามกติกา ย่อมระงับ.
อนึ่ง ในวัดที่มีภิกษุรูปเดียวเมื่อคำประกาศ แม้อันภิกษุรูปเดียวประกาศ กติกา
เดิม ย่อมระงับเหมือนกัน.
ถ้าว่า เมื่อกติการะงับแล้ว สามเณรทั้งหลายหาได้ยังผลไม้ทั้งหลาย
ให้หล่นจากต้นไม่ หาได้เก็บผลไม้จากพื้นดินถวายภิกษุทั้งหลายไม่, เที่ยว
เหยียบย่ำผลไม้หล่นแล้วเสียด้วยเท้า. สงฆ์พึงเพิ่มผลไม้ให้แก่สามเณรเหล่า
นั้น ตั้งแต่เสี้ยวที่ ๑๐ จนถึงกึ่งส่วนแห่งผลไม้. เพราะได้เพิ่มส่วน พวกเธอ
จักนำมาถวายแน่แท้.
ในคราวที่ภิกษากลับหาได้ง่ายอีก เมื่อกัปปิยการกทั้งหลาย มาทำการ
ล้อมด้วยกิ่งไม้เป็นต้น รักษาต้นไม้ไว้ ไม่ต้องให้ส่วนเพิ่มแก่พวกสามเณร
พึงแบ่งกันบริโภค.

1006
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1007 (เล่ม 10)

ชนทั้งหลาย จากบ้านรอบวัดคิดว่า ในวัดมีผลไม้น้อยใหญ่ จึงมาของ
เพื่อประโยชน์แก่คนไข้หรือหญิงมีครรภ์ว่า ขอท่านจงให้มะพร้าว ๑ ผล, จง
ให้มะม่วง ๑ ผล จงให้ขนุนสำมะลอ ๑ ผล; ถามว่า ควรให้หรือไม่ควร ?
ตอบว่า ควรให้. เพราะว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายไม่ให้ พวกเขาจะพากันเสียใจ.
แต่เมื่อจะให้ ต้องให้ประชุมสงฆ์ สวดประกาศเพียงครั้งที่ ๓ ทำอปโลกนกรรม
ให้หรือพึงทำกติกวัตรตั้งไว้.
ก็แลกติกวัตรนั้น อันสงฆ์พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของสงฆ์ว่า ชนทั้งหลาย จาก
บ้านรอบวัดมาขอผลไม้น้อยใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่คนไข้เป็นต้น, การที่ไม่
ห้ามชนเหล่านั้น ผู้ถือเอามะพร้าว ๒ ผล ตาล ๒ ผล ขนุน ๒ ผล มะม่วง
๕ ผล กล้วย ๕ ผล และการที่ไม่ห้ามชนเหล่านั้น ผู้ถือเอาผลไม้จากต้นไม้
โน้น ชอบใจแก่ภิกษุสงฆ์ ดังนี้ พึงสวด ๓ ครั้ง. จำเดิมแต่นั้น ชนเหล่านั้น
เมื่อระบุชื่อคนไข้เป็นต้นขอ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงกล่าวว่า เอาเถิด. แต่พึง
บอกวัตรว่า สงฆ์ได้ตกลงไม่ห้ามชนทั้งหลาย ผู้ถือเอาผลมะพร้าวเป็นต้น โดย
จำกัดชื่อนี้ และผู้ถือเอาผลไม้จากต้นไม้โน้น. แต่ไม่พึงเที่ยวตามบอกว่า
มะม่วงต้นนี้ มีผลอร่อย ท่านจงเก็บจากต้นนี้.
อนึ่ง ภิกษุผู้อันสงฆ์สมมติแล้ว พึงให้กิ่งส่วนแก่ชนเหล่านั้น ผู้มา
แล้วในเวลาแบ่งผลไม้. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ พึงอปโลกน์ให้. บุคคลผู้สิ้น
เสบียงก็ดี พ่อค้าเกวียนผู้จะเดินทางก็ดี อิสรชนอื่นก็ดีมาขอ พึงอปโลกน์ให้.
เมื่อเขาเก็บกินโดยพลการ ก็ไม่พึงห้าม. เพราะเขาโกรธแล้ว จะพึงตัดต้นไม้
เสียก็ได้ จะพึงทำความฉิบหายอย่างอื่นก็ได้. เมื่อเขามายังบริเวณส่วนตัวบุคคล

1007
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1008 (เล่ม 10)

ขอโดยชื่อคนไข้ ภิกษุผู้เป็นเจ้าของ พึงบอกว่า ฉันปลูกไว้เพื่อประโยชน์แก่
ร่มเงาเป็นต้น. ถ้าผลมี ท่านจงรู้เองเถิด.
ก็ถ้าว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีผลดก. ภิกษุเอาหนามสะไว้ ฉันผลเป็น
คราว ๆ. ภิกษุนั้น เมื่อไม่หวังตอบแทนแล้ว ก็พึงให้. เมื่อเขาเก็บเอาโดย
พลการ ก็ไม่พึงห้าม. เหตุในข้อที่ไม่ควรห้ามนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วใน
หนหลังแล.
สวนผลไม้ของสงฆ์มี แต่ไม่ได้ในการบำรุง. หากว่า ภิกษุบางรูป
บำรุงสวนนั้น ด้วยมุ่งวัตรเป็นใหญ่, สวนนั้นยังคงเป็นของสงฆ์. แม้ถ้าว่า
สงฆ์มอบให้เป็นภาระของภิกษุผู้สามารถบางรูปว่า สัตบุรุษ ท่านจงช่วยบำรุง
สวนนี้ให้เถิด, หากภิกษุนั้น บำรุงด้วยมุ่งวัตร, แม้อย่างนี้ ก็ยังเป็นของสงฆ์.
แต่สงฆ์พึงให้ส่วนเพิ่มเพียงเสี้ยวที่ ๓ หรือกึ่งส่วน แก่ภิกษุนั้นผู้หวังส่วนเพิ่ม.
ก็แลเมื่อเธอกล่าวว่า เป็นกรรมหนัก แล้วไม่ปรารถนาด้วยส่วนเพิ่ม
เพียงเท่านั้น ภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวบ้างว่า ท่านจงทำผลไม้ทั้งหมดให้เป็นของ
ท่านคนเดียว จงให้เพียงส่วนที่ ๑๐ เป็นส่วนมูลค่า แล้วบำรุงเถิด. แต่ไม่พึง
ให้ด้วยอำนาจขาดมูลค่า เพราะสวนนั้นเป็นครุภัณฑ์.
ภิกษุผู้ให้ส่วนแห่งมูลค่าแล้วฉันนั้น ให้สร้างเสนาสนะที่อยู่ซึ่งยังไม่ได้
สร้างบ้าง ท่านุบำรุงเสนาสนะที่เขาสร้างไว้แล้วบ้าง แล้วมอบสวนแก่พวก
นิสสิต. แม้พวกนิสสิตนั้น ก็พึงให้ส่วนแห่งมูลค่า.
ก็ภิกษุทั้งหลายสามารถจะบำรุงเองในกาลใด, ในกาลนั้น สงฆ์ไม่พึง
ให้ภิกษุเหล่านั้นบำรุง, ไม่พึงห้าม ในกาลที่ผลไม้อันพวกเธอได้บำรุงแล้ว.
พึงห้ามในเวลาที่เริ่มจะบำรุงเท่านั้น. พึงกล่าวว่า พวกท่านได้ฉันมากแล้ว,
บัดนี้อย่าบำรุงเลย, ภิกษุสงฆ์จักบำรุงเอง.

1008
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1009 (เล่ม 10)

ก็ถ้าว่า ผู้บำรุงด้วยมุ่งวัตรก็ไม่มี ผู้บำรุงด้วยหวังส่วนเพิ่มก็ไม่มี, ทั้ง
สงฆ์ก็ไม่สามารถจะบำรุงเองไซร้, ภิกษุรูป ๑ ไม่เรียนสงฆ์ก่อน บำรุงเอง
ทำให้เจริญแล้วหวังส่วนเพิ่ม, ส่วนเพิ่มอันสงฆ์พึงเพิ่มให้ด้วยอปโลกนกรรม.
อปโลกนกรรมแม้ทั้งปวงนี้ จัดเป็นกรรมลักษณะแท้. อปโลกนกรรม
ย่อมถึงฐานะ ๕ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
[ญัตติกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัย ในประเภทแห่งฐานแห่งญัตติกรรม ดังต่อ
ไปนี้ :-
วาจาสำหรับเรียกอุปสัมปทาเปกขะเข้ามา อย่างนี้ว่า ขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีอายุชื่อนี้ ข้าพเจ้าสอนซ้อม
เขาแล้ว, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ขอผู้มีชื่อนี้พึงมา เพราะฉะนั้น
ผู้มีชื่อนี้อันข้าพเจ้าพึงเรียกว่า เจ้าจงมา ดังนี้ ชื่อว่าโอสารณา.
วาจาสำหรับถอนภิกษุผู้ธรรมกถึกออก ในอุพพาหิกวินิจฉัย อย่างนี้ว่า
ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า, ภิกษุผู้มีชื่อนี้รูปนี้เป็นธรรมกถึก, สูตรของ
พระธรรมกถึกนี้ หามาไม่, วิภังค์แห่งสูตรก็หามาไม่, เธอไม่พิจารณาอรรถ
ค้านอรรถด้วยเงาแห่งพยัญชนะ, ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว,
พึงถอนภิกษุชื่อนี้ออกเสีย พวกเราที่เหลือพึงระงับอธิกรณ์นี้ ดังนี้ ชื่อว่า
นิสสารณา.
ญัตติที่ตั้งด้วยอำนาจอุโบสถกรรมอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๕, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงทำ
อุโบสถ ดังนี้ ชื่อว่าอุโบสถ.

1009
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1010 (เล่ม 10)

ญัตติที่ตั้งด้วยอำนาจปวารณากรรมอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้ที่ ๑๕, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึง
ปวารณา ดังนี้ ชื่อว่าปวารณา.
ญัตติที่ตั้ง เพื่อสมมติตนเองหรือผู้อื่นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอ
สงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้, ถ้าความ
พรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงสอนซ้อมผู้ที่มีชื่อนี้, ดังนี้ก็ดี, ว่า
ถ้าความพรั่งพร้อมของภิกษุถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึงสอนซ้อมผู้ที่มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี,
ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงถามอันตรายิกธรรมกะ
ผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึง
ถามอันตรายิกธรรมกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่
แล้ว, ข้าพเจ้าพึงถามวินัยกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ถ้าความพรั่งพร้อม
สงฆ์ถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึงถามวินัยกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ถ้าความพรั่งพร้อม
ของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าอันผู้มีชื่อนี้ถามวินัยแล้ว ขอวิสัชนา ดังนี้ก็ดี, ว่า
ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ผู้มีชื่อนี้ อันผู้มีชื่อนี้ถามวินัยแล้ว พึง
วิสัชนา ดังนี้ก็ดี ชื่อว่าสมมติ.
การคืนบริขารมีจีวรและบาตรที่ภิกษุอื่นเสียสละเป็นต้น อย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า จีวรนี้ ของภิกษุผู้มีชื่อนี้เป็นนิสสัคคีย์
อันเธอสละแล้วแก่สงฆ์, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงคืนจีวรนี้
แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, ท่านทั้งหลาย
พึงคืนจีวรนี้ แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ ชื่อว่าการให้.

1010
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1011 (เล่ม 10)

การรับอาบัติอย่างนี้ คือ ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศว่า ท่าน
ผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุผู้มีชื่อนี้ รูปนี้ ระลึกได้เปิดเผย ทำให้ตื้น
แสดงอาบัติ. ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของ
ภิกษุผู้มีชื่อนี้, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึง
รับอาบัติของภิกษุผู้มีชื่อนี้, เธออันภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า ท่านเห็นหรือ ? เมื่อ
เธอตอบว่า ขอรับ ข้าพเจ้าเห็น พึงกล่าวว่า ท่านพึงสำรวจต่อไป ดังนี้
ชื่อว่าการรับ.
ปวารณาที่สงฆ์ทำอย่างนี้ คือ ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศ
ว่า ขอท่านทั้งหลายผู้เจ้าถิ่น จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลาย
ถึงที่แล้ว, บัดนี้ เราทั้งหลายพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาฏิโมกข์ พึงปวารณา
ในกาฬปักษ์อันจะมาข้างหน้า. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้ก่อความ
บาดหมางกัน ก่อความทะเลาะกัน ก่อการวิวาทกัน ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ หน่วง
อยู่ตลอดกาฬปักษ์นั้นไซร้ ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่น
ทั้งหลายทราบว่า ขอท่านทั้งหลายผู้เจ้าถิ่น จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อม
ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, บัดนี้ เราทั้งหลายพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาฏิโมกข์,
พึงปวารณาในชุณหปักษ์อันจะมาข้างหน้า ดังนี้ ชื่อว่าเลื่อนปวารณาออกไป.
ญัตติที่ครอบทั่วไป อันเป็นต้นแห่งญัตติทั้งปวง ซึ่งกระทำด้วยติณ-
วัตถารกสมถะอย่างนี้ คือ ภิกษุทุก ๆ รูปพึงประชุมในที่เดียวกัน, ครั้นประชุม
กันแล้ว ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์
จงฟังข้าพเจ้า, เมื่อเราทั้งหลายเกิดความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันอยู่
ได้ประพฤติอัชฌาจารไม่สมควรแก่สมณะเป็นอันมาก ต่างกล่าวซัดกัน, ถ้าเรา

1011
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1012 (เล่ม 10)

ทั้งหลายจะพึงปรับกันและกัน ด้วยอาบัติเหล่านี้, ข้อนั้นจะพึงเป็นอธิกรณ์ก็ได้,
อธิกรณ์นั้นจะพึงเป็นไปเพื่อความรุนแรง เพื่อความร้ายกาจ เพื่อความแตกกัน,
ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงระงับอธิกรณ์นี้ ด้วยติณวัตถารกะ
เว้นอาบัติมีโทษล่ำ เว้นอาบัติที่เนื่องด้วยคฤหัสถ์เสีย ดังนี้ ชื่อว่ากรรมลักษณะ.
ญัตติ ๒ นับฝ่ายละ ๑ ญัตติ ต่อจากสัพพสังคาหิกาญัตตินั้นไป ก็
เหมือนกัน.
ญัตติกรรมมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว ย่อมถึงฐานะ ๙ เหล่านี้ คือ
โอสารณา นิสสารณา อุโบสถ ปวารณา สมมติ การให้ การรับ การเลื่อน
ปวารณาออกไป และกรรมลักษณะเป็นที่ ๙ ด้วยประการฉะนั้น.
[ญัตติทุติยกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในประเภทแห่งฐานะแห่งญัตติทุติยกรรม ดัง
ต่อไปนี้ :-
พึงทราบนิสสารณาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขันธกะ. ด้วยอำนาจ
คว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี และโอสารณาที่ตรัสด้วยอำนาจหงายบาตรแก่วัฑฒ-
ลิจฉวีนั้นแล.
พึงทราบสมมติ เนื่องด้วยสมมติเหล่านี้ คือ สมมติสีมา สมมติแดน
ไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร สมมติสันถัต สมมติพระภัตตุทเทสก์ สมมติภิกษุผู้
เสนาสนคาหาปกะ สมมติภิกษุผู้รักษาเรือนคลัง สมมติภิกษุผู้รับแจกจีวร
สมมติภิกษุผู้แจกจีวร สมมติภิกษุผู้แจกยาคู สมมติภิกษุผู้แจกของเคี้ยว สมมติ
ภิกษุผู้แจกผลไม้ สมมติภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย สมมติภิกษุผู้รับผ้า สมมติ
ภิกษุผู้ปัตตคาหาปกะ สมมติภิกษุผู้ใช้คนวัด สมมติภิกษุผู้ใช้สามเณร.

1012
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1013 (เล่ม 10)

การให้ พึงทราบด้วยอำนาจการให้จีวรกฐิน และให้จีวรมรดก.
การถอน พึงทราบด้วยอำนาจการรื้อกฐิน.
การแสดง พึงทราบด้วยอำนาจแสดงฟื้นที่สร้างกุฎี และพื้นที่สร้าง
วิหาร.
กรรมลักษณะ พึงทราบด้วยอำนาจญัตติทุติยกรรมวาจา ๒ ที่ท่าน
กล่าวไว้ในติณวัตถารกสมถะ คือ เว้นญัตติ ๓ อย่าง คือ สัพพสังคาหิกาญัตติ
และญัตติในฝ่ายหนึ่ง ๆ ฝ่ายละ ๑ ญัตติเสีย ได้แก่ กรรมวาจาอีกฝ่ายละ ๑.
ญัตติทุติยกรรม ย่อมถึงฐานะ ๗ นี้ ด้วยประการนี้.
[ญัตติจตุตถกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในประเภทแห่งฐานแห่งญัตติจตุตถกรรม ดัง
ต่อไปนี้ :-
นิสสารณา พึงทราบด้วยอำนาจกรรม ๗ อย่าง มีตัชชนียกรรมเป็นต้น.
โอสารณา พึงทราบด้วยอำนาจการระงับกรรมเหล่านั้นแล.
สมมติ พึงทราบด้วยอำนาจสมมติภิกษุผู้สอนภิกษุณี.
การให้ พึงทราบด้วยอำนาจการให้ปริวาสและให้มานัต.
นิคคหะ พึงทราบด้วยอำนาจมูลายปฏิกัสสกรรม.
สมนุภาสนา พึงทราบด้วยอำนาจสมนุภาส ๑๑ อย่างเหล่านี้ คือ
อุกขิตตานุวัตตกสิกขาบท ยาวตติยกสิกขาบท ๘ (ของภิกษุณี) อริฏฐสิกขาบท
และจัณฑาลีสิกขาบท ยาวตติยกสิกขาบทนั้นเหล่านี้.

1013
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1014 (เล่ม 10)

ส่วนกรรมลักษณะ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอุปสมบทกรรม และ
อัพภานกรรม.
ญัตติจตุตถกรรม ย่อมถึงฐานะ ๗ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
พระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงธรรม กรรมวิบัติ และความถึงประเภท
แห่งฐานะแห่งกรรมทั้งหลาย ที่เว้นจากวิบัติด้วยประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้
จะแสดงจำนวนแห่งสงฆ์ผู้กระทำกรรมเหล่านั้น จึงกล่าวสืบไปว่า ในกรรม
ที่สงฆ์จตุวรรคพึงทำ เป็นอาทิ. เนื้อความแห่งคำนั้น บัณฑิตพึงทราบ โดย
นัยที่ได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่งกรรมวิบัติโดยปริสะนั่นเทียว ฉะนี้แล.
พรรณากัมมวัคค์ จบ
[ประโยชน์แห่งการบัญญัติสิกขาบท]
บัดนี้ พระอุบาลีเถระ ได้เริ่มคำว่า เทฺว อตฺถวเส ปฏิจฺจ เป็นต้น
เพื่อแสดงอานิสงส์ ในการที่ทรงบัญญัติสิกขาบททั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่ง
กรรมเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย
มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่การระวัง คือ เพื่อประโยชน์แก่การปิด ซึ่งเวร
อันเป็นไปในทิฏฐธรรม ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้น.
หลายบทว่า สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย มีความว่า เพื่อ
ประโยชน์แก่การกำจัด คือ เพื่อประโยชน์แก่การตัดขาด ได้แก่ เพื่อประโยชน์
แก่การไม่เกิดขึ้น แห่งเวรอันเป็นไปในสัมปรายภพกล่าวคือวิปากทุกข์.

1014