No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 995 (เล่ม 10)

ในการสมมติสีมานั้น ความคาบเกี่ยวกันและความทับกันจะมีได้ด้วย
ลักษณะอย่างใด, ลักษณะทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้วในอุโบสถ
ขันธกะ.
สีมาทั้ง ๑๑ อย่างนี้ ไม่จัดเป็นสีมา เป็นเท่ากับคามเขตเท่านั้น. กรรม
ที่สงฆ์นั่งทำในสีมาเหล่านั้น ย่อมเสีย ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ เหล่านี้.
[กรรมวิบัติโดยปริสะ]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในวิบัติแห่งกรรมโดยปริสะ ดังต่อไปนี้ :-
ไม่มีคำน้อยหนึ่งที่จัดว่าไม่ตื้น.
ลักษณะของภิกษุผู้เข้ากรรมและภิกษุผู้ควรแก่ฉันทะ ในกรรมวิบัติ
โดยปริสะนั้น ที่ข้าพเจ้าควรกล่าวก็มีบ้าง แต่ท่านได้กล่าวไว้ข้างหน้าแล้วแล
โดยนัยเป็นต้นว่า จตฺตาโร ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา มีความว่า
ในกรรมที่สงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุ ๔ รูปผู้มีตนเป็นปกติ คือ ผู้อันสงฆ์มิได้
ยกวัตร อันสงฆ์มิได้ลงโทษ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ ภิกษุ ๔ รูป ผู้เข้ากรรม คือ
ผู้ควร ผู้สมควร ได้แก่เป็นเจ้าของแห่งกรรม. กรรมนั้น เว้นพวกเธอเสีย
ย่อมทำไมได้. ฉันทะก็ดี ปาริสุทธิก็ดี ของพวกเธอยังไม่มา. ฝ่ายภิกษุที่เหลือ
ถ้าแม้มีประมาณพันรูป. ถ้าว่าเป็นสมานสังวาสก์ ย่อมเป็นผู้ควรแก่ฉันทะ
ทั้งหมดทีเดียว. พวกเธอมอบฉันทะและปาริสุทธิแล้ว จะมาหรือไม่มาก็ตาม.
ส่วนกรรมคงตั้งอยู่.

995
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 996 (เล่ม 10)

แต่สงฆ์ทำกรรมมีปริวาสเป็นต้น แก่ภิกษุใด, ภิกษุนั้นมิใช่ผู้เข้ากรรม
ทั้งมิใช่ผู้ควรแก่ฉันทะ. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นอันท่านเรียกว่า กัมมารหบุคคล
ก็เพราะเหตุที่สงฆ์จัดบุคคลนั้นให้เป็นวัตถุกระทำกรรม.
แม้ในกรรมที่เหลืด ก็นัยนี้แล.
ท่านกล่าวนัยเป็นต้นว่า จตตาริ กมฺมานิ ไว้อีก ก็เพื่อแสดข้อที่
อภัพบุคคลมีบัณเฑาะก์เป็นต้น ไม่จัดเป็นวัตถุ.
คำที่เหลือ ในนัยนี้ ตื้นทั้งนั้น.
[ว่าด้วยอปโลกนกรรม]
บัดนี้ เพื่อแสดงประเภทแห่งกรรมเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อปโลกนกมฺมํ กติ ฐานนิ คจฺฉติ เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทที่ว่า อปโลกนกรรม ย่อมถึงฐานะ ๕
เหล่าไหน ? ฐาน ะ ๕ เหล่านี้ คือ โอสารณา นิสสารณา ภัณฑุกรรม
พรหมทัณฑ์ ทั้งกรรมลักษณะเป็นคำรบ ๕ นี้ คำที่ว่า โอสารณา นิสสารณา
นั้น ท่านกล่าวแล้ว เพื่อเป็นบทที่ไพเราะ. แต่นิสสารณามีก่อน โอสารณา
มีภายหลัง.
[นิสสารณาและโอสารณา]
ใน ๒ อย่างนั้น ทัณฑกรรมนาสนาที่สงฆ์ทำแก่กัณฏกสามเณร พึง
ทราบว่าเป็นนิสสารณา. เพราะเหตุนั้น ในบัดนี้ แม้ถ้าสามเณรกล่าวโทษ
พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์, แสดงสิ่งที่ไม่ควรว่าควร, เป็นผู้มีความ

996
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 997 (เล่ม 10)

เห็นผิด ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ; สามเณรนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึง
ห้ามปราม ให้สละความยึดถือนั้นเสีย เพียงครั้งที่ ๓, หากเธอไม่ยอมสละ
พึงให้ประชุมสงฆ์กล่าวว่า จงสละเสีย, หากเธอไม่ยอมสละ ภิกษุผู้ฉลาดพึงทำ
อปโลกนกรรมลงโทษเธอ.
ก็แลกรรมอันภิกษุนั้นพึงทำอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถาม
สงฆ์ว่า สามเณรชื่อนี้ ๆ มีความเห็นผิด มักกล่าวโทษพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์, สามเณรเหล่าอื่นย่อมได้การนอนร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ๒-๓ คืน
อันใด การลงโทษเธอ เพื่อไม่ได้การนอนร่วมนั้น ชอบใจสงฆ์หรือ ? ท่าน
ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามสงฆ์เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามสงฆ์
เป็นครั้งที่ ๓ ว่า สามเณรชื่อนี้ ๆ มีความเห็นผิด ฯลฯ การลงโทษเธอ เพื่อ
ไม่ได้การนอนร่วมนั้น ชอบใจสงฆ์หรือ ? การลงโทษนั้น ชอบใจสงฆ์;
เจ้าคนเสีย เจ้าจงไปเสีย เจ้าจงฉิบหายเสีย.
โดยสมัยอื่น สามเณรนั้นขอโทษว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้กระทำ
อย่างนั้น เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะไม่รู้ เพราะเป็นผู้ไม่พิจารณา, ข้าพเจ้า
นั้นขอขมาสงฆ์ ดังนี้ พึงให้เธอขอเพียงครั้งที่ ๓ แล้ว ถอนโทษด้วย
อปโลกนกรรมนั่นแล.
ก็แลสามเณรนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงถอนโทษอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศ โดยอนุมัติของสงฆ์ในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า สามเณรชื่อนี้ ๆ มีความเห็นผิด มักกล่าวโทษ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันสงฆ์ลงโทษแล้ว เพื่อไม่ได้การนอนร่วม
กับภิกษุทั้งหลาย ๒-๓ คืน ซึ่งสามเณรเหล่าอื่นได้, บัดนี้ สามเณรนี้นั้น

997
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 998 (เล่ม 10)

เสงี่ยมแล้ว เว้นได้แล้ว ประพฤติเจียมตัว หันเข้าหาลัชชีธรรมแล้ว ตั้งมั่น
ในหิริโอตตัปปะแล้ว ได้ทำทัณฑกรรมแล้ว สารภาพโทษอยู่; การให้ความ
พร้อมเพรียงด้วยกายสมโภคเหมือนในกาลก่อน แก่สามเณรนี้ ชอบใจ สงฆ์
หรือ ? พึงสวดอย่างนี้ ๓ ครั้ง. อปโลกนกรรมย่อมถึงโอสารณาและนิสสารณา
ด้วยประการฉะนี้.
ภัณฑุกรรม ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้ว ในมหาขันธกวัณณนา.
[พรหมทัณฑ์]
พรหมทัณฑ์ อันพระอานนทเถระได้กล่าวไว้แล้ว ในปัญจสติกขันธกะ.
ก็แลพรหมทัณฑ์นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ เพราะพระฉันนะ
รูปเดียวหามิได้. ภิกษุแม้อื่นใด เป็นผู้มีปากร้าย เสียดสี ด่า ข่มภิกษุทั้งหลาย
ด้วยถ้อยคำหยาบคายอยู่. สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุแม้นั้น.
ก็แลพรหมทัณฑ์นั้น พึงลงอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของสงฆ์ ในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านผู้เจริญ ภิกษุชื่อนี้ มีปากร้าย เสียดสีภิกษุทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
อยู่, ภิกษุนั้น พึงกล่าวคำที่คนปรารถนาจะกล่าว, ภิกษุชื่อนี้ อันภิกษุทั้งหลาย
ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงตักเตือน ไม่พึงพร่ำสอน, ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถาม
สงฆ์ว่า การลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุชื่อนี้ ของใจสงฆ์หรือ ? ข้าพเจ้าถาม
เป็นครั้งที่ ๒ ฯ ล ฯ ข้าพเจ้าถามเป็นครั้งที่ ๓ ว่า การลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุ
ชื่อนี้ ชอบใจสงฆ์หรือ ? ท่านผู้เจริญ.

998
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 999 (เล่ม 10)

พรหมทัณฑ์อันสงฆ์พึงระงับแก่ภิกษุนั้น ผู้ประพฤติชอบแล้ว ขอโทษ
อยู่โดยสมัยอื่น. ก็แลสงฆ์พึงระงับอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ภิกษุ
สงฆ์ได้ลงพรหมทัณฑ์ แก่ภิกษุโน้น, ภิกษุนั้น เสงี่ยมแล้ว ประพฤติเจียมตัว
หันเข้าหาลัชชีธรรมแล้ว ตั้งมั่นในหิริโอตตัปปะแล้ว พิจารณาแล้ว ตั้งอยู่ใน
สังวรต่อไป, ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า การระงับพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุ
นั้น ชอบใจสงฆ์หรือ ?. พึงกล่าวอย่างนี้ เพียงครั้งที่ ๓ ระงับพรหมทัณฑ์เสีย
ด้วยอปโลกนกรรมแล.
[กรรมลักษณะ]
สองบทว่า กมฺมลกฺขณญฺเญว ปญฺจมํ มีความว่า ในเรื่องเหล่านี้
ที่ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุฉัพพัคคีย์ เอาน้ำโคลนรด ภิกษุณีทั้งหลาย
ด้วยหมายว่า แม้ไฉนภิกษุณีทั้งหลายพึงรักใคร่ในพวกเรา เปิดกายอวดภิกษุณี-
ทั้งหลาย, ถลกขาอวดภิกษุณีทั้งหลาย, เปิดองคชาตแสดงแก่ภิกษุณีทั้งหลาย
พูดเกี้ยวภิกษุณีทั้งหลาย ชักสื่อกับภิกษุณีทั้งหลายด้วยหมายว่า แม้ไฉน ภิกษุณี
ทั้งหลายพึงรักใคร่ในพวกเรา ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติทุกกฏแก่
ภิกษุเหล่านั้น แล้วทรงอนุญาตอวันทิยกรรมอันใด ไว้ในภิกขุนีขันธกะอย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อลงทัณฑกรรมแก่ภิกษุนั้น, ครั้งนั้นแล ภิกษุ
ทั้งหลายได้มีความรำพึงเช่นนี้ว่า ทัณฑกรรม อันเราจะพึงทำอย่างไรหนอ ?
จึงกราบทูลเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนั้นอันภิกษุณีสงฆ์ พึงทำให้เป็นผู้อันตนไม่ควรไหว้ ดังนี้.
อวันทิยกรรมนั้น ย่อมเป็นกรรมลักษณะแท้ ย่อมเป็นฐานะที่ครบ ๕ แห่ง
อปโลกนกรรมนี้.

999
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1000 (เล่ม 10)

จริงอยู่ อวันทิยกรรมนั้น เป็นลักษณะคือกรรมแห่งอปโลกนกรรม
นั้น หาหลายเป็นอย่างอื่นมีโอสารณาเป็นต้นไม่. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า
กรรมลักษณะ. การทำอวินทิยกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน
ภิกขุนีขันธกะนั้นแล้วแล.
อีกประการหนึ่ง เพื่อแสดงอวันทิยกรรมนั้นกับทั้งกิริยาที่ระงับโดย
พิสดาร ข้าพเจ้าจะกล่าวไว้ในกัมมวัคค์แม้นี้ :-
ภิกษุณีผู้ขลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของภิกษุณีสงฆ์ ซึ่งประชุม
กันในสำนักภิกษุณีว่า แม่เจ้า ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์ว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น
แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย, การทำพระผู้เป็นเจ้านั้น ให้เป็น
ผู้อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ ? ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์
เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ เป็นครั้งที่ ๓ ว่า แม่เจ้า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น แสดง
อาการไม่น่าเลื่อมใส แก่ภิกษุณีทั้งหลาย, การทำพระผู้เป็นเจ้านั้น ให้เป็นผู้
อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ ? อวันทิยกรรมอันภิกษุณีสงฆ์
พึงสวดประกาศ ๓ ครั้ง ทำด้วยอปโลกนกรรมอย่างนี้.
จำเดิมแต่นั้น ภิกษุนั้น อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้. ถ้าว่าภิกษุนั้น
อันภิกษุณีทั้งหลายไม้ไหว้อยู่ กลับเกิดหิริและโอตตัปปะขึ้นแล้ว ประพฤติ
ชอบไซร้, ภิกษุณีทั้งหลายอันเธอพึงขอโทษ. เมื่อจะขอโทษ ไม่พึงไปสู่สำนัก
ภิกษุณี พึงเข้าหาสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปหนึ่ง ในวิหารนั่นเอง นั่งกระโหย่ง
ประคองอัญชลี ขอโทษว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้ว จะตั้งอยู่ใน
สังวรต่อไป, จักไม่แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสอีก, ขอภิกษุณีสงฆ์ จงอดโทษ
แก่ข้าพเจ้าเถิด.

1000
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1001 (เล่ม 10)

สงฆ์หรือคณะนั้น พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไป หรือภิกษุรูปหนึ่งนั้นพึงไป
เองทีเดียว แล้วกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายว่า ภิกษุนี้พิจารณาแล้ว ตั้งอยู่ในสังวร
ต่อไป ภิกษุณีสงฆ์ อันภิกษุนี้สารภาพโทษแล้ว ขอโทษแล้ว, ขอภิกษุณี
สงฆ์ จงทำภิกษุนี้ให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้เถิด. ภิกษุนั้น อันภิกษุณีสงฆ์พึงทำ
ให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้.
ก็แลเมื่อจะทำ พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุณีผู้ฉลาด พึงสวดประกาศ โดยอนุมัติของภิกษุณีสงฆ์ผู้ประชุม
กันในสำนักภิกษุณีว่า แม้เจ้า ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์ว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น
แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย; พระผู้เป็นเจ้านั้น อันภิกษุณี
สงฆ์ทำให้เป็นผู้อันตนไม่พึงไหว้แล้ว หันเข้าหาลัชชีธรรม พิจารณาแล้ว ตั้ง
อยู่ในสังวรต่อไป สารภาพโทษแล้ว ขอโทษภิกษุณีสงฆ์อยู่, การทำพระผู้
เป็นเจ้านั้น ให้เป็นผู้อันภิกษุณีทั้งหลายพึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ ? พึงกล่าว
๓ ครั้ง. ภิกษุนั้น อันภิกษุณีสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้ด้วยอปโลกน-
กรรมนั่นแล อย่างนี้.
[กรรมลักษณวินิจฉัย]
ก็ในกัมมวัคค์นี้ มีวินิจฉัยกรรมลักษณะแม้ที่พ้นจากบาลี พึงทราบ
ดังต่อไปนี้ :-
จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า กรรมลักษณะ ทรงบัญญัติมีภิกษุณีสงฆ์เป็นมูล
แต่ย่อมได้แก่ภิกษุสงฆ์ด้วยแท้.

1001
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1002 (เล่ม 10)

ก็ภิกษุสงฆ์ทำอปโลกนกรรมใด ในโรงสลาก โรงยาคู โรงภัตต์
และโรงอุโบสถ, อปโลกนกรรมแม้นั้น เป็นกรรมลักษณะแท้.
อันการที่ภิกษุผู้ฉลาด ให้ประชุมสงฆ์แล้ว สวดประกาศเพียงครั้งที่
๓ ทำอปโลกนกรรม ให้จีวรแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีจีวรถูกโจรชิง ผู้มีจีวรเก่า
และผู้มีจีวรหาย ย่อมควร. แต่ของเล็กน้อยมีเข็มเป็นต้น มีประเภทซึ่งกล่าว
แล้วในเสนาสนขันธกวัณณนา อันภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย แม้ไม่ต้องอปโลกน์
ก็ให้แก่ภิกษุผู้ทำจีวรได้. ภิกษุผู้แจกของเล็กน้อยนั้นเท่านั้น เป็นใหญ่ในการ
ให้ของเล็กน้อยเหล่านั้น. เมื่อจะให้ของที่เกินกว่านั้น ต้องอปโลกน์ให้. เพราะ
ว่าสงฆ์เป็นเจ้าของในการให้ของที่เกินกว่านั้น.
แม้คิลานเภสัช ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในเสนาสนขันธกวัณณนานั้น
อันภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย พึงให้เองก็ได้. พึงอปโลกน์ให้แก่ภิกษุผู้ต้อง
การมาก.
ก็แต่ว่า ภิกษุใด ไม่มีกำลังก็ดี เป็นง่อยก็ดี ขาดทางภิกษาจารก็ดี
อาพาธหนักก็ดี, สำหรับภิกษุนั้น เมื่อจะให้ข้าวสารหนึ่งทะนาน หรือกึ่งทะนาน
ทุก ๆ วัน หรือจะให้ข้าวสาร ๕ ทะนานหรือ ๑๐ ทะนานเฉพาะวันเดียว จาก
กัลปนาสงฆ์ที่เกิดในที่นั้น ในอาวาสใหญ่ทั้งหลาย ต้องทำอปโลกนกรรมให้.
เพื่อจะปลดกังวลคือหนี้แก่ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักก็ดี จะให้เสนาสนะที่ไม่ต้องย้าย
แก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูตช่วยภาระของสงฆ์ก็ดี จะให้เบี้ยเลี้ยงแก่อารามิกชนมีกัปปิย-
การกเป็นต้น ผู้ทำกิจของสงฆ์ก็ดี จากกัลปนาสงฆ์ที่เกิดในอาวาสนั้น ควรให้
ด้วยอปโลกนกรรมเท่านั้น.

1002
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1003 (เล่ม 10)

จะให้บำรุงอาวาสของสงฆ์ จากกัลปนาสงฆ์ที่เกิดขึ้นในอาวาสนั้นซึ่ง
ทายกถวาย ด้วยอำนาจจตุปัจจัย ก็ควร. แต่เพื่อตัดคำติเตียนว่า ภิกษุนี้
ย่อมจัดการ ด้วยถือคนเป็นใหญ่ จึงควรถามสงฆ์ที่ในโรงสลากเป็นต้น หรือ
ในที่ประชุมอื่นเสียก่อน จึงให้บำรุง.
อาวาสอันภิกษุผู้ฉลาดพึงอปโลกน์แล้วให้บำรุง แม้จากกัลปนาสงฆ์ที่
เกิดขึ้นในอาวาสนั้นที่ทายกเจาะจงถวาย เพื่อประโยชน์แกจีวรและบิณฑบาต.
แม้จะไม่อปโลกน์ ก็ควร. แต่เพื่อตัดคำติเตียนซึ่งเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้
กล้าจริงนะ ให้บำรุงอาวาสจากกัลปนาสงฆ์ที่เขาให้ เพื่อประโยชน์แก่จีวรและ
บิณฑบาต จึงควรทำอปโลกนกรรมก่อน แล้วจึงให้บำรุง.
เมื่อทำฉัตรหรือเวทีที่เจดีย์ หรือเรือนโพธิ หรือหอฉันซึ่งยังไม่ได้
ทำก็ดี จะปฏิสังขรณ์สิ่งที่ทรุดโทรมก็ดี จะทำการก่อด้วยปูนก็ดี ชักชวนพวก
ชาวบ้านช่วยทำ ก็ควร. ถ้าไม่มีผู้ทำ, พึงให้ทำจากรายได้ที่ฝากไว้เพื่อเจดีย์.
แม้เมื่อรายได้ที่ฝากไว้ไม่มี ก็พึงทำอปโลกนกรรมแล้วให้จัดทำ จากกัลปนา-
สงฆ์ที่เกิดขึ้นในอาวาสนั้น จะอปโลกน์แล้วกระทำกิจของเจดีย์แม้ด้วยทรัพย์
ของสงฆ์ก็ควร. แม้อปโลกน์แล้วทำกิจของสงฆ์ด้วยทรัพย์ของเจดีย์หาควรไม่.
แต่จะถือเอาเป็นของยืมแล้วใช้คืนให้อย่างเดิม ควรอยู่.
แต่การที่ภิกษุทั้งหลายผู้ทำสุธากรรมเป็นต้นที่เจดีย์ เมื่อไม่ได้อาหาร
พอยังอัตภาพให้เป็นไป จากภิกขาจารหรือจากสงฆ์ จะจ่ายอาหารพอยังอัตภาพ
ให้เป็นไป จากทรัพย์ของเจดีย์มาฉัน กระทำวัตร (ทดแทน) ก็ควร.
จะทำสังฆภัตรด้วยปลาและเนื้อเป็นต้น ด้วยอ้างว่า เราทำวัตร หา
ควรไม่.

1003
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 1004 (เล่ม 10)

ต้นไม้มีผลเหล่าใด แม้ที่ปลูกไว้ในวัด เป็นของที่สงฆ์หวงห้าม ย่อม
ได้การบำรุง. ภิกษุทั้งหลายย่อมตีระฆังแล้วแบ่งกันฉัน ซึ่งผลทั้งหลายแห่ง
ต้นไม้เหล่าใด, ในต้นไม้เหล่านั้น ไม่ควรทำอปโลกนกรรม
ส่วนต้นไม้มีผลเหล่าใด อันสงฆ์ไม่หวงห้าม, ในต้นไม้เหล่านั้นแล
ควรทำอปโลกกรรม. ก็อปโลกนกรรมนั้น ควรทำแม้ในโรงสลาก โรงยาคู
โรงภัตร และที่ประชุมอื่น. อนึ่ง ในโรงอุโบสถก็ควรทำแท้. เพราะ ฉันทะ
และปาริสุทธิของภิกษุทั้งหลาย แม้ผู้มิได้มาในโรงอุโบสถนั้น อันภิกษุรูปหนึ่ง
ย่อมนำมา. เพราะเหตุนั้น อปโลกนกรรมนั้น ย่อมเป็นกรรมที่ชำระให้หมด
จดดี.
ก็แลเมื่อจะทำ พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า สิ่งใดเป็นของสงฆ์ มีราก เปลือก ใบ หน่อ ดอก และ
ผล ซึ่งควรขบฉันได้เป็นต้น มีอยู่ ภายในสีมาในวัดนี้, การที่ภิกษุทั้งหลาย
ที่มาแล้ว ๆ บริโภคสิ่งทั้งปวงนั้นตามสบาย ชอบใจสงฆ์หรือ ? พึงถาม ๓
ครั้ง. อปโลกนกรรมนั้น อันภิกษุ ๔ -๕ รูปทำแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้แท้.
ภิกษุ ๒-๓ รูปอยู่ในวัดแม้ใด, อปโลกนกรรมแม้ที่ภิกษุเหล่านั้นนั่ง
ทำแล้วในวัดนั้น ย่อมเป็นเช่นกับอปโลกนกรรมที่สงฆ์ทำแล้วแท้. อนึ่ง ใน
วัดใด มีภิกษุรูปเดียว, กติกวัตรแม้ที่ภิกษุนั้น ผู้นั่งกระทำบุพกรณ์และ
บุพกิจกระทำแล้วในวันอุโบสถ ย่อมเป็นเช่นกับอปโลกนกรรมที่สงฆ์กระทำ
แล้วเหมือนกัน.

1004