No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 615 (เล่ม 10)

[จำแนกสิกขาบท]
บัดนี้ ท่านจะเฉลยปัญหาแรกนี้ว่า สาธารณํ อสาธารณํ จึงกล่าว
คำว่า วีสํ เทฺว สตานิ เป็นอาทิ.
บรรดาสิกขาบทที่ทั่วไปและไม่ทั่วไปเหล่านั้น วินิจฉัยในสิกขาบท
ทั้งหลายที่ไม่ทั่วไปด้วยเหล่าภิกษุณี พึงทราบดังนี้:-
สองบทว่า ฉ สงฺฆาทิเสสา ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิสิกขาบท ๑ กาย-
สังสัคคสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลวาจสิกขาบท ๑ อัตตกามปาริจริยสิกขาบท ๑
กุฏิการสิกขาบท ๑ วิหารสิกขาบท ๑.
สองบทว่า เทฺวอนิยเตหิ อฏฺฐิเม ได้แก่ สิกขาบทเหล่านี้รวม
เป็น ๘ กับอนิยต ๒ สิกขาบท.
สองบทว่า นิสฺสคฺคิยา ทฺวาทส ได้แก่ สิกขาบท ๑๒ เหล่านี้
คือ จีวรโธวนะ ๑ จีวรปฏิคคหะ ๑ โกเสยยะ ๑ สุทธกาฬกะ ๑ เทวภาคะ ๑
ฉัพพัสสะ ๑ นิสีทนสันถัต ๑ โลมสิกขาบท ๒ ปฐมปัตตะ ๑ วัสสิกสาฏิกะ ๑
อารัญญกะ คือ สาสังกะ ๑.
สองบทว่า ทฺวาวีสติ ขุทฺทกา ได้แก่ สิกขา ๒๒ ที่ประกาศแล้วใน
ขุททกกัณฑ์ เหล่านี้ คือ ภิกขุนีวัคค์ทั้งสิ้น ปรัมปาโภชนสิกขาบท อนติ-
ริตตสิกขาบท อภิหัฏฐุปวารณาสิกขาบท ปณีตโภชนาสิกขาบท อเจลกสิกขาบท
โอนวีสติวัสสสิกขาบท ทุฏฐุลลัจฉาทนสิกขาบท มาตุคามสังวิธานสิกขาบท
อนิกขันตราชกสิกขาบท ไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ เข้าบ้านในวิกาล นิสีทนสิกขา-
บท วัสสิกสาฏิกสิกขาบท.
วินิจฉัยแม้ในสิกขาบทที่ไม่ทั่วไป ด้วยภิกษุทั้งหลาย พึงทราบดังนี้:-

615
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 616 (เล่ม 10)

หลายบทว่า สงฺฆมฺหา ทส นิสฺสเร ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสไว้
ในวิภังค์อย่างนี้ว่า ๑๐ สิกขาบท อันสงฆ์พึงขับออกจากหมู่. แต่ ๑๐ สิกขาบท
มาในมาติกาอย่างนี้ว่า สังฆาทิเสสที่ต้องเสีย.
สองบทว่า นิสฺสคฺคิยานิ ทฺวาทส ได้แก่ นิสสัคคีย์ที่ทรงจำแนก
ไว้ในภิกขุนีวิภังค์เท่านั้น.
แม้ขุททกสิกขาบท ก็ได้แก่ ขุททกสิกขาบทที่ทรงจำแนกในภิกษุนี-
วิภังค์นั้นเอง.
ปาฏิเทสนียะ ๘ ก็เหมือนกัน. สิกขา ๑๓๐ ของพวกภิกษุณี ไม่ทั่วไป
ด้วยภิกษุทั้งหลายอย่างนี้.
ในตอนที่แก้สิกขาบทที่ทั่วไปนี้ คำทีเหลือ ตื้นทั้งนั้น.
[กองอาบัติที่ระงับไม่ได้]
บัดนี้ พระอุบาลีเถระ เมื่อจะแก้ปัญหานี้ว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น
อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะเหล่าใด ? ดังนี้ จึงกล่าวว่า บุคคลผู้
พ่ายแพ้ ๘ พวกแล เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น ท่านแสดงข้อที่บุคคลผู้พ่าย ๘ พวกนั้นเป็นผู้มีภัย
เฉพาะหน้า ด้วยบทว่า ทุราสทา นี้.
จริงอยู่ ผู้พ่ายเหล่านั้น เป็นราวกะงูเห่าเป็นต้น ยากที่จะเข้าใกล้
คือยากที่จะเข้าเคียง ยากที่จะเข้าหา อันบุคคลเกี่ยวข้องอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อ
ตัดรากเหง้า.

616
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 617 (เล่ม 10)

บทว่า ตาลวตฺถุสมูปมา มีความว่า เปรียบสมด้วยการถอนต้นตาล
หมดทั้งต้น กระทำให้เป็นสักว่าวัตถุแห่งตาล. ต้นตาลที่บุคคลกระทำให้เป็น
สักว่าวัตถุ เป็นต้นไม้ที่กลับคืนเป็นปกติอีกไม่ได้ฉันใด บุคคลผู้พ่าย ๘ พวก
นั้น ย่อมเป็นผู้กลับคืนอย่างเดิมอีกไม่ได้ฉันนั้น.
พระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงอุปมาที่ทั่วไปอย่างนี้แล้ว จะแสดงอุปมา
ซึ่งกล่าวเฉพาะสำหรับผู้หนึ่ง ๆ อีก จึงกล่าวว่า เปรียบเหมือนใบไม้เหลือง
เป็นอาทิ.
บาทคาถาว่า อวิรูฬฺหิ ภวนิติ เต มีความว่า ใบไม้เหลืองเป็นอาทิ
เหล่านั่น เป็นของมีอันไม่งอกงาม โดยความเป็นของเขียวสดอีกเป็นต้น เป็น
ธรรมดาฉันใด, แม้บุคคลผู้พ่ายทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่งอกงามโดย
ความเป็นผู้มีศีลตามปกติอีกเป็นธรรมดา.
ในคำว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะ
เหล่าใดนี้ คำอย่างนี้ว่า กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก คือ ปาราชิก ๘
เหล่านี้ก่อน ย่อมไม่ระงับด้วยสมถะเหล่าใด ๆ เป็นอันแสดงแล้ว ด้วยคำมี
ประมาณเท่านี้.
[กองอาบัติที่ระงับได้]
ส่วนคำว่า เตวีสํ สงฺฆาทิเสสา เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อ
แสดงอาบัติเครื่องจำแนกเป็นต้นที่ระงับได้.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ตีหิ สมเถหิ นี้ เป็นคำกล่าวครอบ
สมถะทั้งหมด.

617
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 618 (เล่ม 10)

จริงอยู่ สังฆาทิเสส ย่อมระงับด้วยสมถะ ๒ เท่านั้น, หาระงับด้วย
ติณวัตถารกสมถะไม่, ที่เหลือย่อมระงับด้วยสมถะทั้ง ๓.
คำว่า เทฺว อุโปสถา เทฺว ปวารณา นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจ
ภิกษุและภิกษุณี, จริงอยู่ คำนั่นท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจแสดงสักว่าส่วน
อันท่านจำแนกเท่านั้น หาได้กล่าวด้วยอำนาจการระงับด้วยสมถะทั้งหลายไม่.
จริงอยู่ ส่วนอันท่านจำแนก อธิบายว่า ส่วนที่ควรแจกออก ๔ แม้
เหล่านี้ คือ ภิกขุอุโบสถ ภิกขุณีอุโบสถ ภิกขุปวารณา ภิกขุณีปวารณา.
สองบทว่า จตฺตาริ กมฺมานิ ได้แก่ อุโบสถกรรม มีที่เป็นวรรค
โดยอธรรมเป็นอาทิ.
หลายบทว่า ปญฺเจว อุทฺเทสา จตุโร ภวนฺติ อนญฺญถา มี
ความว่า อุทเทสของภิกษุมี ๕ ของภิกษุณีมี ๔ โดยประการอื่น ไม่มี.
พึงทราบส่วนจำแนกแม้อื่นอีกเหล่านี้ คือ กองอาบัติมี ๗ อธิกรณ์
มี ๔, ก็ส่วนจำแนกเหล่านี้ ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย, เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวคำว่า สตฺตหิ สมเถหิ เป็นอาทิ.
อีกประการหนึ่ง อาบัติเหล่าใด อาศัยส่วนจำแนกแม้เหล่านี้แล คือ
อุโบสถ ๒ ปวารณา ๒ กรรม ๔ อุทเทส ๕ อุทเทส ๔ มี, อุทเทสโดย
ประการอื่น ไม่มี, เกิดขึ้นโดยนัยเป็นต้นว่า นสฺสนฺเต เต วันสฺสนฺเต เต,
อาบัติเหล่านั้น ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล,
เพราะเหตุนั้น ส่วนจำแนกเหล่านั้น อันบัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวแล้ว
เพื่อแสดงความระงับอาบัติทั้งหลายที่มีส่วนจำแนกนั้นเป็นมูลบ้าง.
สองบทว่า กิจฺจํ เอเกน มีความว่า กิจจาธิกรณ์ ย่อมระงับด้วย
สมถะเดียว.

618
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 619 (เล่ม 10)

[วิเคราะห์ปาราชิก]
พระอุบาลี ครั้นแก้ปัญหาทั้งปวงตามลำดับแห่งคำถามอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ จะแสดงเพียงคำอธิบายเฉพาะอย่าง แห่งกองอาบัติที่ประมวลไว้ในคำว่า
อาปตฺติกฺขนฺธา จ ภวนฺติ สตฺต จึงกล่าวคำว่า ปาราชิกํ เป็นอาทิ.
บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ ว่า ปาราชิกํ เป็นต้น มีเนื้อความ
ดังต่อไปนี้:-
บรรดาบุคคลปาราชิก อาบัติปาราชิก และสิกขาบทปาราชิก ชื่ออาบัติ
ปาราชิกนี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว, บุคคลผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น
ย่อมเป็นผู้พ่าย คือ ถึงความแพ้ เป็นผู้เคลื่อน ผิด ตก อันความละเมิดทำ
ให้ห่างจากสัทธรรม. เมื่อบุคคลนั้นไม่ถูกขับออก (จากหมู่) ก็ไม่มีสังวาส
ต่างโดยอุโบสถและปวารณาเป็นต้นอีก. ด้วยเหตุนั้น ปาราชิกนั่น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น คือ เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น พระผู้มี
พระภาคเ จ้าจึงตรัสว่า ปาราชิก.
ก็ในบทว่า ปาราชิกํ นี้ มีความสังเขปดังนี้:-
บุคคลย่อมเป็นผู้พ่ายด้วยอาบัติปาราชิกนั้น เพราะเหตุนั้น อาบัติ
ปาราชิกนั่น ท่านจึงกล่าวว่า ปาราชิก.
[วิเคราะห์สังฆาทิเสส]
คำว่า สงฺโฆว เทติ ปริวาสํ เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดง
แต่เนื้อความเท่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อพยัญชนะ แม้ในคาถาที่ ๒.
ก็ในบทว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นอาทินี้ มีเนื้อความดังต่อไปนี้:-

619
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 620 (เล่ม 10)

การออกจากอาบัตินั้นใด ของภิกษุผู้ต้องอาบัตินี้แล้วใคร่จะออก สงฆ์
อันภิกษุนั้นพึงปรารถนา ในกรรมเบื้องต้นแห่งการออกจากอาบัตินั้น เพื่อ
ประโยชน์แก่การให้ปริวาส และในกรรมที่เหลือจากกรรมเบื้องต้น คือใน
ท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่การให้มานัต หรือเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตต์
กับมูลายปฏิกัสสนะ และในที่สุดเพื่อประโยชน์แก่อัพภาน. ก็ในกรรมทั้งหลาย
มีปริวาสกรรมเป็นต้นนี้ กรรมแม้อย่างหนึ่ง เว้นสงฆ์เสีย อันใคร ๆ ไม่อาจ
ทำได้ ฉะนี้แล.
สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และในกรรมที่เหลือแห่ง
กองอาบัตินั้น เหตุนั้น กองอาบัตินั้น ชื่อว่าสังฆาทิเสส.
[วิเคราะห์อนิยต]
เนื้อความแห่งคาถาที่ ๓ พึงทราบดังนี้:-
สองบทว่า อนิยโต น นิยโต มีความว่า เพราะไม่แน่ กองอาบัตินี้
จึงได้ชื่อว่าอนิยต.
คำที่ว่า ไม่แน่ นี้มีอะไรเป็นเหตุ ? เพราะสิกขาบทนี้ ปรับอาบัติ
ไม่จำกัดส่วนอันเดียว. อธิบายว่า สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนอันเดียวไม่ได้.
สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนเดียวไม่ได้อย่างไร ? อย่างนี้
บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง อันพระวินัยธรพึงปรับ.
จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ในอนิยตสิกขาบทนั้นว่า ภิกษุนั้น อันพระวินัยธร
พึงปรับด้วยธรรม ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง. เพราะเหตุนั้น กองอาบัตินั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า อนิยต คือ กล่าวว่า ไม่แน่.

620
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 621 (เล่ม 10)

เหมือนอย่างว่า บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง ท่านกล่าวใน
กองอาบัตินั้น กองอาบัติ ชื่อว่าอนิยต ฉันใด, บรรดาฐานะ ๒ ฐานะอันใด
อันหนึ่ง ท่านกล่าวในกองอาบัติใด กองอาบัติแม้นั้น ก็ชื่อว่าอนิยตเหมือนกัน
ฉันนั้น.
[วิเคราะห์ถุลลัจจัย]
เนื้อความแห่งคาถาที่ ๔ พึงทราบดังนี้:-
บาทคาถาว่า อจฺจโย เตน สโม นตฺถิ มีความว่า บรรดาโทษ
ที่เป็นเทสนาคามี โทษที่ล่ำ เสมอด้วยถุลลัจจัยนั้นไม่มี ด้วยเหตุนั้น ความ
ละเมิดนั้น ท่านจึงเรียกอย่างนั้น. อธิบายว่า ความละเมิดนั้น ท่านเรียกว่า
ถุลลัจจัย เพราะเป็นโทษล่ำ.
[วิเคราะห์นิสสัคคีย์]
เนื้อความแห่งคาถาที่ ๕ พึงทราบดังนี้:-
หลายบทว่า นิสฺสชฺชิตฺวา ย เทเสติ เตเนตํ มีความว่า ความ
ละเมิดนั้น ท่านเรียกนิสสัคคิยะ เพราะต้องสละแล้วจึงแสดง.
[วิเคราะห์ปาจิตตีย์]
เนื้อความคาถาที่ ๖ พึงทราบดังนี้:-
บาทคาถาว่า ปาเตติ กุสลํ ธมฺมํ มีความว่า ความละเมิดนั้น
ยังกุศลจิตกล่าวคือกุศลธรรม ของบุคคลผู้แกล้งต้องให้ตกไป เพราะเหตุนั้น

621
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 622 (เล่ม 10)

ความละเมิดนั้น ชื่อว่ายังจิตให้ตกไป เพราะฉะนั้น ความละเมิดนั้น ชื่อว่า
ปาจิตติยะ.
ก็ปาจิตติยะ ย่อมยังจิตให้ตกไป, ปาจิตติยะนั้น ย่อมผิดต่ออริยมรรค
และย่อมเป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต. เพราะเหตุนั้น คำว่า ผิดต่อ
อริยมรรค และคำว่า เป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต ท่านจึงกล่าวแล้ว.
[วิเคราะห์ปาฏิเทสนียะ]
ในปาฏิเทสนียคาถาทั้งหลาย คำว่า ภิกษุเป็นผู้ไม่มีญาติ เป็นอาทิ
ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความกระทำความเป็นธรรมที่น่าติ ซึ่งพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ. ก็อาบัตินั้น ท่านเรียกว่า
ปาฏิเทสนียะ เพราะจะต้องแสดงคืน.
[วิเคราะห์ทุกกฏ]
เนื้อความแห่งทุกกฏคาถา พึงทราบดังนี้:-
คำว่า ผิด แย้ง พลาด นี้ทั้งหมด เป็นคำยักเรียก ทุกกฏที่กล่าว
ไว้ในคำนี้ว่า ยญฺจ ทุกฺกฏํ.
จริงอยู่ กรรมใด อันบุคคลทำไม่ดี หรือทำผิดรูป กรรมนั้น ชื่อว่า
ทุกกฏ. ก็ทุกกฏนั้นแล ชื่อว่าผิด เพราะเหตุที่ไม่ทำตามประการที่พระศาสดา
ตรัส ชื่อว่าแย้ง เพราะเป็นไปแย้งกุศล ชื่อว่าพลาด เพราะไม่ย่างขึ้นสู่ข้อ
ปฏิบัติในอริยมรรค.
ส่วนคำว่า ยํ มนุสฺโส กเร นี้ แสดงข้อควรเปรียบในทุกกฏนี้.

622
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 623 (เล่ม 10)

เนื้อความแห่งคำนั้นว่า มนุษย์ในโลก ทำบาปใด ในที่แจ้งหรือใน
ที่ลับ, บัณฑิตทั้งหลายประกาศบาปนั้นว่า ทุกกฏ ฉันใด, ทุกกฏแม้นี้ ก็ฉันนั้น
ชื่อว่าบาป เพราะเป็นกรรมลามก อันพระพุทธเจ้าทรงเกลียด เพราะเหตุนั้น
พึงทราบว่า ทุกกฏ.
[วิเคราะห์ทุพภาสิต]
เนื้อความแห่งทุพภาสิตคาถา พึงทราบดังนี้:-
บาทคาถาว่า ทุพภาสิตํ ทุราภฏฺฐํ มีความว่า บทใดอันภิกษุกล่าว
คือพูด เจรจาชั่ว เหตุนั้น บทนั้น ชื่อว่าอันภิกษุกล่าวชั่ว: อธิบายว่า บทใด
อันภิกษุกล่าวชั่ว บทนั้น เป็นทุพภาสิต.
มีคำที่จะพึงกล่าวให้ยิ่งน้อยหนึ่ง; ความว่า อนึ่ง บทใด เศร้าหมอง
บทนั้น เป็นบทเศร้าหมอง เพราะเหตุใด; อนึ่ง วิญญูชนทั้งหลาย ย่อมติ
เพราะเหตุใด; อธิบายว่า ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลาย ติบทนั้น เพราะเหตุใด.
บาทคาถาว่า เตเนตํ อิติ วุจฺจติ มีความว่า เพราะความเป็นบท
เศร้าหมอง และแม้เพราะความติแห่งวิญญูชนนั้น บทนั้น ท่านย่อมกล่าว
อย่างนั้น คือ บทนั้น ท่านกล่าวว่า ทุพฺภาสิตํ.
[วิเคราะห์เสขิยะ]
เนื้อความแห่งเสขิยคาถา พึงทราบดังนี้:-
พระอุบาลีเถระ แสดงความที่พระเสขะมี โดยนัยมีคำว่า อาทิ เจตํ
จรณญฺจ เป็นต้น เพราะเหตุนั้น ในบทว่า เสขิยํ นี้ จึงมีเนื้อความสังเขป
ดังนี้ว่า นี้เป็นข้อควรศึกษาของพระเสขะ.

623
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ – หน้าที่ 624 (เล่ม 10)

คำว่า ปาราชิกนฺตํ ยํ วุตฺตํ เป็นอาทินี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าว
เพื่อแสดงเนื้อความ ที่มิได้สงเคราะห์ด้วยปัญหาที่ว่า ครุกลหุกญฺจาปิ เป็นต้น
แต่สงเคราะห์ด้วยคำอ้อนวอนนี้ว่า หนฺท วากฺยํ สุโณม เต (เอาเถิด
เราจะฟังคำของท่าน).
[อุปมาแห่งอาบัติอนาบัติ]
แม้ในบทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ เป็นต้น ก็นัยนี้แล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่มิได้
มุงด้วยเครื่องมุงมีหญ้าเป็นต้น ย่อมเปียกก่อน. แต่เรือนกล่าวคืออาบัตินี้ อัน
ภิกษุปิดไว้แล้ว ย่อมเปียก.
จริงอยู่ ภิกษุเมื่อปิดอาบัติแรกไว้ ย่อมต้องอาบัติอื่นใหม่.
สองบทว่า วิวฏฺ นาติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่ไม่เปิด คือมุงดี
แล้ว ย่อมไม่เปียกฝนก่อน. แต่เรือนกล่าวคืออนาบัตินี้ อันภิกษุเปิดแล้ว
ย่อมไม่เปียก.
จริงอยู่ ภิกษุเมื่อเปิดเผยอาบัติแรก แสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี
เสีย ออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินีเสีย ย่อมประดิษฐานในส่วนหมดจด.
เมื่อสำรวมต่อไป ย่อมไม่ต้องอาบัติอื่น.
บาทคาถาว่า ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ มีความว่า เพราะเหตุนั้น
เมื่อแสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี และออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินี ชื่อว่า
เปิดเผยอาบัติที่ปิดไว้.

624