No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 119 (เล่ม 9)

โบกดินทั้งข้างบนข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลวดลาย ดอกไม้
เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง.
[๒๓๖] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายปูจีวรลงบนพื้นดินกลางแจ้ง จีวร
เปื้อนฝุ่น . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวจีวร สายระเดียง
ไว้กลางแจ้ง . . . น้ำฉันถูกแดดเผา . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
โรงน้ำฉัน ปะรำน้ำฉัน โรงน้ำฉันมีพื้นต่ำ น้ำท่วมได้. . .ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมพื้นให้สูง ดินที่ถมพัง . . . ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ก่อกรุ ๓ ชนิด คือ ก่อด้วยอิฐ ก่อด้วยศิลา กรุ
ด้วยไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุ-
ญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก...
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราวสำหรับยึด ผงหญ้าที่มุงโรงน้ำฉัน
ตกเกลื่อน ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงฉาบด้วยดินทั้ง
ข้างบนข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร
ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายระเดียง ภาชนะตักน้ำฉันยังไม่มี .. . ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสังข์ตักน้ำดื่ม ขันตักน้ำดื่ม.
[๒๓๗] สมัยนั้น วิหารยังไม่มีเครื่องล้อม.... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมด้วยเครื่องล้อม ๓ อย่าง คือ อิฐ ศิลา ไม้ ซุ้ม
ประตูยังไม่มี ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู ซุ้มประตู
มีพื้นต่ำไป น้ำท่วมได้ . .. ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถมให้
สูง ซุ้มประตูไม่มีบาน . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู
กรอบเช็ดหน้า ครกรองรับเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้หัวลิง ลิ่ม
กลอน ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุงซุ้มประตูตกเกลื่อน ...

119
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 120 (เล่ม 9)

ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบทั้งข้างบนข้างล่าง ให้มี
สีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร ดอกจอกห้ากลีบ.
พุทธานุญาตท่อระบายน้ำ
[๒๓๘] สมัยนั้น บริเวณเป็นตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้โรยกรวดแร่ กรวดแร่ไม่เต็ม .. . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ปูศิลาเรียบ น้ำขัง . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบายน้ำ
พุทธานุญาตโรงไฟ
[๒๓๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายก่อกองไฟไว้ในที่นั้น ๆ ทั่วบริเวณ
บริเวณสกปรก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำโรงไฟไว้ในที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง โรงไฟมีพื้นที่ต่ำ น้ำท่วมได้. . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้ถมให้สูง ดินที่ถมพัง . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ก่อกรุ ๓ ชนิด คือ อิฐ ศิลา ไม้ ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงลำบาก . .. ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดอิฐ ศิลา ไม้
ภิกษุทั้งหลายขึ้นลงพลัดตก . . . ตรัสว่า ดูก็ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตราว
สำหรับยึด โรงไฟไม่มีบานประตู . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุ-
ญาตบานประตู กรอบเช็ดหน้า ครกรับเดือยประตู ห่วงข้างบน สายยู ไม้
หัวลิง ลิ่ม กลอน ช่องดาล ช่องเชือกชัก เชือกชัก ผงหญ้าที่มุง โรงไฟ
หล่นเกลื่อน .. . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลง ฉาบทั้ง
ข้างบนทั้งข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลือง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร

120
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 121 (เล่ม 9)

ดอกจอกห้ากลีบ ราวจีวร สายสะเดียง อารามไม่มีเครื่องล้อม แพะบ้าง
ปสุสัตว์บ้าง เบียดเบียนสิ่งที่ปลูกไว้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ล้อมรั้ว ๓ อย่าง
คือ รั้วไม้ไผ่ รั้วหนาม คู ซุ้มประตูไม่มี แพะบ้าง ปสุสัตว์บ้าง ยังรบกวน
สิ่งที่ปลูกไว้ตามเดิม . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตซุ้มประตู
เครื่องไม้คร่าว บานประตูคู่ เสาระเนียด กลอนเหล็ก ผงหญ้าที่มุ่งซุ้มหล่น
เกลื่อน . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รื้อลงแล้วฉาบทั้งข้าง
บนทั้งข้างล่างให้มีสีขาว สีดำ สีเหลีอง มีลายดอกไม้ เครือเถา ฟันมังกร
ดอกจอกห้ากลีบ อารามเป็นตม ... ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้โรยหินแร่ หินแร่ไม่พอ . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ปูหินเรียบ น้ำขัง . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตท่อระบาย
น้ำ.
[๒๔๐] สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีพระราช-
ประสงค์จะทรงสร้างปราสาทปูนขาวถวายสงฆ์ ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายเกิด
สนเท่ห์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเครื่องมุงชนิดไรไว้บ้างหนอ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตเครื่องมุง ๕ ชนิด คือ กระเบื้อง ๑ หิน ๑ ปูนขาว ๑ หญ้า ๑
ใบไม้ ๑
ภาณวารที่ ๑ จบ
เรื่องอนาถบิณฑิกคหบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก
[ ๒๔๑] สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคหบดี เป็นน้องเขยของราชคห
เศรษฐี ครั้งนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีไปเมืองราชคฤห์ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง.

121
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 122 (เล่ม 9)

[๒๔๒] สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น จึงได้สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย
ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกัน
จัดหาอาหารที่มีรสอร่อย.
[๒๔๓] ขณะนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีได้คิดว่า เมื่อเรามาคราวก่อน
ท่านคหบดีผู้นี้จัดทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว สนทนาปราศรัยกับเราผู้เดียว บัดนี้
เขามีท่าทีเปลี่ยนไป สั่งทาสและกรรมกรทั้งหลายว่า พนาย ถ้ากระนั้นพวกท่าน
จงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกันจัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ๆ
บางทีคหบดีผู้นี้จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรือประกอบมหายัญ หรือ
จักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยง
ในวันรุ่งขึ้นกระมัง.
[๒๔๔] ครั้นราชคหเศรษฐีสั่งทาสและกรรมกรแล้ว เข้าไปหาอนาถ-
บิณฑิกคหบดี ได้นั่งสนทนากัน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อนาถบิณฑิกคหบดี-
ได้ถามว่า ท่านคหบดี คราวก่อนเมื่อฉันมาแล้ว ท่านได้จัดทำธุระทุกอย่าง
เสร็จแล้วก็สนทนากับฉันผู้เดียว บัดนี้ท่านนั้นมัวสาละวนสั่งทาสและกรรมกรว่า
ถ้ากระนั้นพวกท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ต้มข้าว หุงข้าว ต้มแกง จงช่วยกัน
จัดหาอาหารที่มีรสอร่อย ๆ บางทีท่านคหบดี จักมีงานอาวาหมงคล วิวาหมงคลหรือ
หรือประกอบมหายัญ หรือจักทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
พร้อมทั้งกองพลมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กระมัง.
ราชคหเศรษฐีตอบว่า ท่านคหบดี ฉันจะได้มีงานอาวาหมงคล หรือ
วิวาหมงคล ก็หาไม่ แม้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช พร้อมทั้งกองพล
ฉันก็มิได้เชิญเสด็จมาเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ ที่ถูกฉันประกอบมหายัญ คือ ฉันได้
นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อเลี้ยงในวันพรุ่งนี้.

122
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 123 (เล่ม 9)

อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้จ๊ะ.
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร. ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้จ้ะ.
อ. ท่านคหบดี ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้หรือ.
ร . ท่านคหบดี ฉันกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ดังนี้จ๊ะ.
อ. ท่านคหบดี แม้เสียงว่า พุทธะ นี้ก็อยากที่จะหาได้ในโลก
ท่านคหบดี ฉันสามารถจะเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในเวลานี้ได้ไหม.
ร. ท่านคหบดี เวลานี้ยังไม่ควรที่จะเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พรุ่งนี้ท่านจึงจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มี-
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
[๒๔๕] หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีนอนนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น
อารมณ์ว่า พรุ่งนี้ เราจะได้เข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ข่าวว่า เธอ ลุกขึ้นโนกลางคืนถึงสามครั้งเข้าใจว่า สว่าง
แล้ว จึงได้เดินไปโดยทางอันจะไปประตูป่าสีตวัน พวกอมนุษย์เปิดประตูให้
ขณะเมื่อเดินออกจากพระนคร แสงสว่างได้หายไป ความมืดปรากฏแทน
ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าได้บังเกิดแล้ว เธอได้คิด
กลับจากที่นั้นอีก.
[ ๒๔๖] ขณะนั้น สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียงโดยคาถา
ว่าดังนี้.

123
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 124 (เล่ม 9)

ช้าง ๑ แสน ม้า ๑ แสน รถม้า
อัสดร ๑ แสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชร ๑
แสน ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่าง
เท้าไปก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด
ท่านคหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่าน
คหบดี ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่า อย่าถอย
กลับเลย.
[๒๔๗] ทันใดนั้น ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถ-
บิณฑิกคหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า อันใด
ได้มีแล้ว อันนั้น ได้สงบแล้ว
แม้ครั้งที่สอง . . .
แม้ครั้งที่สาม แสงสว่างหายไป ความมืดได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิก-
คหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง เกล้าได้บังเกิด เธอคิคจะ
กลับจากที่นั้นอีก แม้ครั้งที่สาม สีวกยักษ์ไม่ปรากฏร่าง ให้ได้ยินแต่เสียง
ว่าดังนี้ :-
ช้าง ๑ แสน ม้า ๑ แสน รถม้าอัสดร
๑ แสน สาวน้อยประดับต่างหูเพชร ๑ แสน
ก็ยังไม่เท่าเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งการย่างเท้าไป
ก้าวหนึ่ง เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่าน
คหบดี เชิญก้าวไปข้างหน้าเถิด ท่านคหบดี
ท่านก้าวไปข้างหน้าดีกว่าอย่าถอยกลับเลย.

124
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 125 (เล่ม 9)

แม้ครั้งที่สาม ความมืดหายไป แสงสว่างได้ปรากฏแก่อนาถบิณฑิก-
คหบดี ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าอันใดได้มีแล้ว
อันนั้นได้สงบแล้ว จึงอนาถบิณฑิกคหบดีเดินเข้าไปยังสีตวันแล้ว.
[๒๔๘] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นจงกรมในที่แจ้ง ณ
เวลาปัจจุสสมัยแห่งราตรี ได้ทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นเดินมา
แต่ไกลเทียว ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้นแล้วได้ตรัสกะอนาถบิณฑิกคหบดีว่า มาเถิดสุทัตตะ ทันใดนั้น อนาถ-
บิณฑิกคหบดี เบิกบานใจ ดีใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกชื่อเรา แล้ว
เข้าไปเฝ้าซบเศียรลงแทบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า พระองค์
ประทับสำราญ หรือ พระพุทธเจ้าข้า.
[๓๔๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบโดยคาถา ว่าดังนี้ :-
พราหมณ์ผู้ดับทุกข์ได้แล้ว ย่อมอยู่
เป็นสุขแท้ทุกเวลา ผู้ใดไม่ติดในกาม มีใจ
เย็น ไม่มีอุปธิ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่าง
ได้แล้ว บรรเทาความกระวนระวายในใจ
ถึงความสงบแห่งจิตเป็นผู้สงบระงับแล้ว
ย่อมอยู่เป็นสุข.
[๒๕๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่อนาถ
บิณฑิกคหบดี คือ บรรยายถึงทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม
ขณะที่พระองก์ทรงทราบว่า อนาถบิณฑิกคหบดีมีจิตควรแก่การงาน มีจิตอ่อน

125
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 126 (เล่ม 9)

มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตเลื่อมใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรม
เทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ เหตุ
ให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนาถบิณฑิกคหบดีได้ดวงตาเห็นธรรม
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมี
ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่
อนาถบิณฑิกคหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับ
น้ำย้อม ฉะนั้น.
[๒๕๑] ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรม
แล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศ
จากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำ
สอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ขอพระพุทธเจ้านี้ถึงพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระ
พุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแด่วันนี้เป็นต้น และ
ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตตาหาร เพื่อเจริญบุญกุศล ปิติ
และปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ของข้าพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
อาราธนา โดยดุษณีภาพ ครั้นอนาถบิณฑิกคหบดีทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรับอาราธนาแล้วจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม ทำประทักษิณกลับไป.

126
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 127 (เล่ม 9)

[๒๕๒] ราชคหเศรษฐีได้ทราบข่าวว่า อนาถบิณฑิกคหบดีนิมนต์
พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ จึงได้ถามอนาถ-
บิณฑิกคหบดีว่า ท่านคหบดี ข่าวว่าท่านได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกแรกมา ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่
จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน เพื่อท่านาจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า ไม่ต้อง ท่านคหบดี ทรัพย์สำหรับที่จะ
จับจ่ายสิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
ของฉันมีแล้ว.
[๒๕๓] ชาวนิคมเมืองราชคฤห์ไค้ทราบข่าวว่า อนาถบิณฑิกคหบดี
นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ จึงได้ถาม
อนาถบิณฑิกคหบดีว่า ท่านคหบดี ข่าวว่าท่าได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุขเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกแรกมา ฉันจะให้ยืมทรัพย์
ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์มีพระ
พุทธเจ้าเป็นประมุข.
อนาถบิณฑิกคหบดีตอบว่า ไม่ต้อง ท่านผู้เจริญ ทรัพย์สำหรับที่
จะจับจ่ายสิ่งของเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น
ของฉันมีแล้ว.
[๒๕๔] พระเจ้า พิมพิสารจอม เสนามาคธราชไค้ทรงสดับข่าวว่า
อนาถบิณฑิกคหบดี นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันในวัน
พรุ่งนี้จึงตรัสถามอนาถบิณฑิกคหบดีว่า ดูก่อนคหบดี ข่าวว่า ท่านนิมนต์
พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ แลท่านก็เป็นแขกเมือง

127
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 128 (เล่ม 9)

ฉันจะให้ยืมทรัพย์ที่จะจับจ่ายสิ่งของแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้จัดทำอาหารเลี้ยง
พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
อนาถบิณฑิกคหบดีกราบทูลว่า ขอเดชะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ
อย่างล้นเกล้า ทรัพย์ที่จะจับจ่ายเป็นเครื่องทำอาหารถวายพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุขนั้น ของข้าพระพุทธเจ้ามีแล้ว .
อนาถบิณฑิกคหบดีถวายภัตตาหาร
[๒๕๕] หลังจากนั้น อนาถบิณฑิกคหบดีสั่งให้ตกแต่งอาหารของ
เคี้ยวของฉันอันประณีตในนิเวศน์ของราชคหเศรษฐี โดยล่วงราตรีนั้น แล้ว
ให้กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสก ทรงถือ
บาตรจีวร เสด็จเข้านิเวศน์ของราชคหเศรษฐี ครั้นแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะ
ที่ปูลาด ถวายพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จึงอนาถบิณฑิกคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระ
พุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยอาหารของเคี้ยวของฉันอันประณีตด้วยมือตนเอง จน
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์พร้อมกับ
ภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่จำพรรษาในเมืองสาวัตถีของข้าพระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดี พระตถาคตทั้งหลาย ย่อม
ยินดีในสุญญาคาร
อนาถบิณฑิกคหบดีทูลว่า ทราบเกล้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทราบเกล้าแล้วพระสุคต ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้อนาถ
บิณฑิกคหบดีเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วทรงลุกจาก
อาสนะเสด็จกลับ.

128