No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 99 (เล่ม 9)

ประคดเอวที่ถักทำให้มีสัณฐานกลมดังตะโพน ชื่อ มุรชชํ.
ประคดเอวที่มีทรวดทรงดังสังวาล ชื่อ มทฺทวีณํ.
จริงอยู่ ประคดเอวเช่นนี้ แม้ชนิดเดียวก็ไม่ควร ไม่จำต้องกล่าวถึง
มากชนิด.
วินิจฉัยในคำว่า ปฏฺฏิกํ สูกรนฺตกํ นี้ พึงทราบดังนี้.
ประคดแผ่นที่ทอตามปกติ หรือถักเป็นก้างปลา ย่อมควร.
ประคดที่เหลือ ต่างโดยประคดตาช้างเป็นต้น ไม่ควร.
ขึ้นชื่อว่าประคดไส้สุกร เป็นของมีทรวดทรงคล้ายไส้สุกรและฝัก
กุญแจ. ส่วนประคดเชือกเส้นเดียวและประคดกลม อนุโลมตามประคดไส้สุกร.
คำที่ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการถักด้ายให้กลม การถักดังสาย
สังวาล" นี้ ทรงอนุญาตเฉพาะที่ชายทั้ง ๒. ก็ในชายกลมและชายดังสายสังวาลนี้
ชายดังสายสังวาล เกิน ๔ ชาย ไม่ควร.
การทบเข้ามาแล้วเย็บขอบปาก ซึ่ง โสภกํ.
การเย็บโดยสัณฐานดังวงแหวน ชื่อ คุณกํ.
จริงอยู่ ชายประคดที่เย็บอย่างนั้น ย่อมเป็นของแน่น. ร่วมในห่วง
เรียกว่า ปวนนฺโต.
[ว่าด้วยการนุ่งห่ม]
ผ้านุ่งที่ทำชายพกมีสัณฐานดังงวงช้าง ให้ห้อยลงไปตั้งแต่สะดือ
เหมือนการนุ่งของสตรีชาวโจลประเทศ ชื่อว่านุ่งเป็นงวงช้าง.
ผ้านุ่งที่ห้อยปลายไว้ข้าง ๑ ห้อยชายพกไว้ข้าง ๑ ชื่อว่านุ่งเป็น
หางปลา.
นุ่งปล่อยชายเป็น ๔ มุมอย่างนี้ คือ ข้างบน ๒ มุม ข้างล่าง ๒ มุม
ชื่อว่านุ่งเป็น ๔ มุม.

99
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 100 (เล่ม 9)

นุ่งห้อยลงไป โดยท่าทางดังก้านตาล ชื่อว่านุ่งดังก้านตาล.
ผ้าผืนยาวให้ม้วนเป็นชั้น ๆ นุ่งโจงกระเป็นก็ดี นุ่งยกกลีบเป็นลอนๆ
ที่ข้างซ้ายและข้างขวาก็ดี. ชื่อว่ายกกลีบตั้งร้อย. แต่ถ้าว่าปรากฏเป็นกลีบเดียว
หรือ ๒ กลีบตั้งแต่เข่าขึ้นไป ย่อมควร.
สองบทว่า สํเวลิยํ นิวาเสนฺติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์นุ่ง
หยักรั้ง ดังนักมวยและกรรมกรเป็นต้น. การนุ่งหยักรั้งนั้น ย่อมไม่ควรแก่
ภิกษุ ทั้งผู้อาพาธ ทั้งผู้เดินทาง.
ภิกษุทั้งหลายผู้กำลังเดินทาง ยกมุมข้าง ๑ หรือ ๒ ข้างขึ้นเหน็บบน
สบง หรือนุ่งผ้ากาสาวะผืน ๑ อย่างนั้น ไว้ข้างนั้นแล้ว นุ่งอีกผืน ๑ ทับ
ข้างนอกแม้อันใด การนุ่งห่มเห็นปานนั้น ทั้งหมด ไม่ควร.
ฝ่ายภิกษุผู้อาพาธ จะนุ่งโจงกระเบนผ้ากาสาวะไว้ข้างใน แล้วนุ่งอีก
ผืน ๑ ทับข้างนอก ก็ได้.
ภิกษุผู้ไม่อาพาธ เมื่อจะนุ่ง ๒ ผืน พึงซ้อนกันเข้าเป็น ๒ ชั้น
นุ่ง. ด้วยประการอย่างนี้ พึงเว้นการนุ่งทั้งปวงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม
ในขุททกวัตถุขันธกะนี้ และที่พระอรรถกถาจารย์ห้ามในเสขิยวัณณนา* ปกปิด
ให้ได้มณฑล ๓ ปราศจากวิการ นุ่งให้เรียบร้อย. เธอเมื่อทำให้วิการอย่างใด-
อย่างหนึ่ง ไม่พ้นทุกกฏ.
การที่ไม่ห่ม ดังการห่มของคฤหัสถ์ที่ทรงห้ามไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงห่มอย่างคฤหัสถ์ ดังนี้ ห่มจัดมุมทั้ง ๒ ให้เสมอกัน
ชื่อว่า ห่มเรียบร้อย. การห่มเรียบร้อยนั้น อันภิกษุพึงห่ม.
* สมนฺต. ทุติย. ๔๙๒.

100
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 101 (เล่ม 9)

ในการห่มดังคฤหัสถ์และการห่มเรียบร้อยนั้น การห่มอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ห่มแล้วโดยประการอื่น จากลักษณะที่เรียบร้อยมีอาทิอย่างนี้ คือ ห่มผ้าขาว
ห่มอย่างปริพาชก ห่มอย่างคนที่ใช้ผ้าผืนเดียว ห่มอย่างนักเลง ห่มอย่างชาววัง
ห่มคลุมทั้งตัวดังคฤหบดีผู้ใหญ่ ห่มดังชาวนาเข้ากระท่อม ห่มอย่างพราหมณ์
ห่มอย่างภิกษุผู้จัดแถว การห่มนี้ทั้งหมด ชื่อว่าห่มอย่างคฤหัสถ์.
เพราะเหตุนั้น นิครนถ์ทั้งหลาย ผู้ใช้ผ้าขาว คลุมกายครึ่งเดียว
ย่อมห่นฉันใด, อนึ่ง ปริพาชกบางพวก เปิดอกพาดผ้าห่มไว้บนจะงอยบ่าทั้ง
๒ ฉันใด, อนึ่ง คนทั้งหลายที่ใช้ผ้าผืนเดียว เอาชายผ้านุ่งข้าง ๑ คลุมหลัง
พาดมุมทั้ง ๒ บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ฉันใด, อนึ่ง พวกนักเลงสุราเป็นต้น เอาผ้า
พันคอ ห้อยชายทั้ง ๒ ลงไปที่ท้องบ้าง ตวัดไว้บนหลังบ้าง ฉันใด, อนึ่ง
สตรีชาววังเป็นต้น ห่มคลุมศีรษะเปิดแต่หน่วยตาไว้ ฉันใด, อนึ่ง คฤหบดี
ผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย นุ่งผ้ายาวคลุมตัวทั้งหมด ด้วยชายข้าง ๑ แห่งชายผ้านั้นเอง
ฉันใด, อนึ่ง พวกชาวนา เมื่อจะเข้าสู่กระท่อมนา ห่มผ้าตวัดเข้าไปในซอก
รักแร้แล้วคลุมตัวด้วยชายข้าง ๑ แห่งผ้านั้นเอง ฉันใด, อนึ่ง พวกพราหมณ์
สอดผ้าเข้าไปทางซอกรักแร้ทั้ง ๒ แล้วตวัดไว้บนจะงอยบ่าทั้ง ๒ ฉันใด, อนึ่ง
ภิกษุผู้จัดแถว เปิดแขนซ้ายที่ห่มด้วยผ้าห่มเฉวียงบ่า ยกจีวรขึ้นพาดบนจะงอย
บ่า ฉันใด, ภิกษุไม่พึงห่มฉันนั้นเลยทีเดียว พึงเว้นโทษแห่งการห่มเหล่านั้น
ทั้งหมด และโทษแห่งการห่มเห็นปานนั้นเหล่าอื่นเสีย ห่มให้เรียบร้อย ปราศ
จากวิการ.
เมื่อภิกษุผู้ไม่ห่มอย่างนั้น กระทำวิการอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยไม่
เอื้อเฟื้อ ในวัดก็ตาม ในละแวกบ้านก็ตาม ย่อมเป็นทุกกฏ.

101
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 102 (เล่ม 9)

[ว่าด้วยหาบเป็นต้น]
บทว่า มุณฺฑวฏฺฏี มีอธิบายว่า เหมือนคนหาบของสำหรับใช้ ของ
พระราชาผู้เสด็จไปไหน ๆ.
บทว่า อนฺตรากาชํ ได้แก่ ภาระที่จะพึงคล้องไว้กลางคาน แล้ว
หามไป ๒ คน.
บทว่า อจกฺขุสฺสํ คือเป็นของไม่เกื้อกูลแก่จักษุ ได้แก่ ยังความเสีย
ให้เกิดแก่ภิกษุ.
บทว่า น ฉาเทติ ได้แก่ ไม่ชอบใจ.
บทว่า อฏฺฐงฺคุลปรมํ ได้แก่ ไม้สีฟันยาว ๘ นิ้วเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยนิ้วขนาดของมนุษย์ทั้งหลาย.
บทว่า อติมนฺทาหกํ ได้แก่ ไม้สีฟันที่สั้นนัก
[ว่าด้วยการจุดไฟ]
สองบทว่า ทายํ อาเฬเปนติ มีความว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์จุดไฟที่
ดงหญ้าเป็นต้น.
บทว่า ปฏคฺคึ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุจุดไฟรับ.
บทว่า ปริตฺตํ มีความว่า เราอนุญาตการป้องกันด้วยการทำให้
ปราศจากหญ้า หรือด้วยการขุดคู.
แต่ในการป้องกันนี้ เมื่อมีอนุปสัมบัน ภิกษุจะจุดไฟเอง ย่อมไม่ได้,
เมื่อไม่มีอนุปสัมบัน ภิกษุจะจุดไฟเองก็ดี จะถากถางพื้นดินนำหญ้าออกเสียก็ดี
จะขุดคูก็ดี จะหักกิ่งไม้สดดับไฟก็ดี ย่อมได้.
ไฟถึงเสนาสนะแล้วก็ตาม ยังไม่ถึงก็ตาม ภิกษุย่อมได้เพื่อยังไฟให้ดับ
ด้วยอุบายอย่างนั้นเป็นแท้.

102
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 103 (เล่ม 9)

แต่เมื่อจะให้ไฟดับด้วยน้ำ ย่อมได้เพื่อให้ดับด้วยน้ำที่ควรเท่านั้น
นอกนั้นไม่ได้.
[ว่าด้วยขึ้นต้นไม้]
ข้อว่า สติ กรณีเย มีความว่า เมื่อมีกิจที่จะต้องถือเอาฟืนแห้ง
เป็นต้น.
บทว่า โปริสิยํ ความว่า อนุญาตให้ภิกษุขึ้นต้นไม้ประมาณแค่ตัว
บุรุษ.
ข้อว่า อาปทาสุ มีความว่า ภิกษุเห็นอันตรายมีสัตว์ร้ายเป็นต้น
หรือเป็นผู้หลงทาง หรือเป็นผู้ใคร่จะมองดูทิศ หรือเห็นไฟป่าลามมา หรือ
เห็นห้วงน้ำหลากมา ในอันตรายเห็นปานนี้ จะขึ้นต้นไม้แม้สูงเกินประมาณ
ก็ควร.
[ว่าด้วยคัมภีร์ทางโลก]
บทว่า กลฺยาณวากฺกรณา ได้แก่ เป็นผู้มีเสียงไพเราะ.
สองบทว่า ฉนฺทโส อาโรเปม มีความว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยก
พระพุทธวจนะขึ้นสู่ทางแห่งการกล่าวด้วยภาษาสันสกฤตเหมือนเวท*.
โวหารที่เป็นของชาวมคธ มีประการอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว
ชื่อภาษาเดิม ในคำว่า สกาย นิรุตฺติยา นี้.
คัมภีร์เดียรถีย์ ซึ่งประกอบด้วยเหตุอันไร้ประโยชน์ มีอาทิอย่างนี้ว่า
สิ่งทั้งปวงเป็นเดน เพราะเหตุนี้ และนี้ สิ่งทั้งปวงไม่เป็นเดน เพราะเหตุนี้
และนี้ กาเผือก เพราะเหตุนี้ และนี้ นกยางดำ เพราะเหตุนี้ และนี้ ดังนี้
ชื่อคัมภีร์อันเนื่องด้วยโลก.
* คือแต่งเป็นกาพย์กลอนเป็นโศลกเหมือนคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์.

103
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 104 (เล่ม 9)

สองบทว่า อนฺตรา อโหสิ มีความว่า ธรรมกถา ได้เป็นเรื่อง
ขาดตอน คือ ได้ถูกเสียงนั้นกลบเสีย.
บทว่า อาพาธปฺปจฺจยา มีความว่า กระเทียมเป็นยาเพื่ออาพาธใด
เพราะปัจจัย คืออาพาธนั้น.
วินิจฉัยในข้อว่า ปสฺสาวปาทุกํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
ภิกษุจะทำเขียงรองเหยียบ ด้วยอิฐก็ดี ด้วยศิลาก็ดี ด้วยไม้ก็ดี ควรอยู่.
แม้ในวัจจปาทุกา ก็มีนัยเหมือนกัน.
บทว่า ปริเวณํ ได้แก่ ร่วมในแห่งเครื่องล้อมแห่งเวจกุฎี.
ข้อว่า ยถาธมฺโม กาเรตพฺโพ มีความว่า ในวัตถุแห่งทุกกฏ
พึงปรับทุกกฏ ในวัตถุแห่งปาจิตตีย์ พึงปรับปาจิตตีย์.
[ว่าด้วยของโลหะเป็นต้น]
ของโลหะที่เขาทำไว้ เพื่อประหาร เรียกว่า เครื่องประหาร.
ความว่า คำว่า เครื่องประหารนั้น เป็นชื่อของสิ่งของที่นับว่าอาวุธ
ชนิดใดชนิดหนึ่ง, เราอนุญาตของโลหะทั้งปวงอื่น นอกจากเครื่องประหารนั้น.
ในคำว่า กตกญฺจ กุมฺภการิกญฺจ นี้ มีวินิจฉัยว่า เครื่อง
เช็ดเท่านั้น ได้กล่าวไว้แล้วแล.
กุฎีทำด้วยดินล้วน ดังกุฎีของพระธนิยะ เรียกว่า กุมภการิกา. คำที่
เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนั้นแล.
ขุททกวัตถุขันธกวรรณนา จบ

104
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 105 (เล่ม 9)

เสนาสนขันกะ *
เรื่องราชคหเศรษฐีถวายวิหาร
[๑๙๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติเสนาสนะแก่ภิกษุทั้งหลาย และ
ภิกษุเหล่านั้นก็อยู่ในที่นั้น ๆ คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำเขา ป่าช้า
ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ภิกษุเหล่านั้นออกจากที่อยู่นั้น ๆ คือ ป่า โคนไม้
ภูเขา ชอกเขา ถ้ำเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง แต่เช้าตรู่ มีอาการ
เดินไปข้างหน้า ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน หน้าเลื่อมใส
มีจักษุทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ.
[๑๙๙] สมัยนั้น ราชคหเศรษฐีได้ไปสวนแต่เช้าตรู่ ได้แลเห็นภิกษุ
เหล่านั้นเดินออกจากที่อยู่นั้น ๆ คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำเขา
ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง แต่เช้าตรู่ มีอาการเดินไปข้างหน้า ถอยกลับ
แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน หน้าเลื่อมใส มีจักษุทอดลง สมบูรณ์ด้วย
อิริยาบถ ครั้นแล้วก็มีจิตเลื่อมใส จึงเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น เรียนถามว่า
ท่านเจ้าข้า หากข้าพเจ้าสร้างวิหารถวาย พระคุณเจ้าจะอยู่ในวิหารของข้าพเจ้า
หรือไม่
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูก่อนคหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรง
อนุญาตวิหาร.
* ท่านว่ามี ๑๐๐ เรื่อง แต่นับได้ถึง ๑๗๕ เรื่อง ถ้ารวมเข้าคงได้จำนวนนั้น.

105
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 106 (เล่ม 9)

เศรษฐีกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าเช่นนั้น พระคุณเจ้าจงทูลถามพระผู้-
มีพระภาคเจ้า แล้วแจ้งแก่ข้าพเจ้า.
ภิกษุเหล่านั้นรับคำของราชคหเศรษฐี แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ถวายบังคมนั่งที่ ณ ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า
ราชคหเศรษฐีประสงค์จะสร้างวิหารถวาย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะพึง
ปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
พุทธานุญาตเสนาสนะ ๕ ชนิด
[๒๐๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะ
เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเสนาสนะ ๕ ชนิด คือ วิหาร ๑ เรือนมุง
แถบเดียว ๑ เรือนชั้น ๑ เรือนโล้น ๑ ถ้า ๑.
[๒๐๑] ต่อมา ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้วได้กล่าว
ว่า คหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตวิหารแล้ว บัดนี้เป็นการสมควรที่จะ
สร้างได้ ราชคหเศรษฐีให้สร้างวิหาร ๖๐ หลังโดยวันเดียวเท่านั้น ครั้นให้สร้าง
เสร็จแล้ว จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลอาราธนาว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์
จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นเศรษฐีทราบว่า ทรงรับอาราธนา
แล้วจึงลุกจากอาสนะ ถวายบังคมทำประทักษิณกลับไปแล้ว ให้ตกแต่งขาทนีย-
โภชนียาหาร อันประณีตโดยล่วงราตรีนั้น แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ถึงเวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.

106
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 107 (เล่ม 9)

ถวายวิหาร
[๒๐๒] ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสก ถือบาตร
จีวรเสด็จไปยังนิเวศน์ของราชคหเศรษฐี ครั้นแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขา
ปูลาดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงราชคหเศรษฐี อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน จน
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสวยแล้ว ลดพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งกราบทูลพระผู้มีภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระ-
พุทธเจ้าต้องการบุญ ต้องการสวรรค์ ได้สร้างวิหาร ๖๐ หลังนี้ไว้แล้ว ข้า
พระพุทธเจ้าจะพึงปฏิบัติอย่างไรในวิหารเหล่านั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดี ถ้าเช่นนั้น เธอจงถวาย
วิหารเหล่านั้นแก่สงฆ์จาตุรทิศ ทั้งที่มาแล้วและยังไม่มา ราชคหเศรษฐีทูลรับ
พระพุทธดำรัสแล้ว ได้ถวายวิหารเหล่านั้น แก่สงฆ์ จาตุรทิศ ทั้งที่มาแล้ว
และยังไม่มา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่ราชคหเศรษฐีด้วย
คาถาเหล่านี้ ว่าดังนี้ :-
คาถานุโมทนาวิหารทาน
[๒๐๓] วิหารย่อมป้องกันหนาว ร้อน
และเนื้อร้าย นอกจากนั้นยังป้องกันงูและยุง
ฝนในสิสิรฤดู นอกจากนั้นวิหาร ยังป้องกัน
ลมและแดดอันร้อนกล้าที่เกิดขึ้นได้ การ
ถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อหลีกเร้นอยู่ เพื่อ
ความสุข เพื่อเพ่งพิจารณา และเพื่อเห็นแจ้ง

107
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 108 (เล่ม 9)

พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นทานอัน
เลิศ เพราะเหตุนั้นแล คนผู้ฉลาด เมื่อเล็ง
เห็นประโยชน์ตน พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์
ให้ภิกษุทั้งหลายผู้พหูสูต อยู่ในบริเวณนี้เถิด
อนึ่ง พึงมีใจเลื่อมใสถวายข้าว น้ำ ผ้า และ
เสนาสนะ อันเหมาะสมแก่พวกเธอ ในพวก
เธอผู้ซื่อตรง เพราะพวกเธอ ย่อมแสดงธรรม
อัน เป็นเครื่องบรรเทาสรรพทุกข์แก่เขา เขารู้
ทั่วถึงแล้ว จะเป็นผู้มีอนาสวะ ปรินิพพานใน
โลกนี้.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาท่านราชคหเศรษฐี ด้วยคาถา
เหล่านี้แล้ว ทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ.
พุทธานุญาตบานประตู
[ ๒๐๔ ] ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตวิหาร
แล้วจึงช่วยกันสร้างวิหารถวายโดยเคารพ วิหารเหล่านั้นยังไม่มีบานประตู งู
แมลงป่อง และตะขาบ เข้าอาศัย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี.
พระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตบานประตู ภิกษุ
ทั้งหลายเจาะช่องฝา ผูกบานประตูด้วยเถาวัลย์บ้าง เชือกบ้าง หนูและปลวก
กัด เชือกที่ผูกไว้ถูกกัดขาด บานประตูล้มลงมา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกรอบ
เช็ดหน้า ครกรับเดือยประตู ห่วงข้างบนบานประตูปิดไม่สนิท ... ตรัสว่า ดู

108