No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 49 (เล่ม 9)

[๑๓๐] สมัยนั้นไม้ปัดยุงเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตไม้ปัดยุง แส้จามรีบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่
พึงใช้แส้จามรี รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฎ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตพัด ๓ ชนิด คือ พัดทำด้วยปอ ๑ พัด
ทำด้วยแฝก ๑ พัดทำด้วยขนปีกขนหางนกยูง ๑.
เรื่องร่ม
[๑๓๑] สมัยนั้น ร่มบังเกิดแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตร่ม.
[๑๓๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มเที่ยวไป ครั้งนั้น อุบาสก
ผู้หนึ่งได้ไปเที่ยวสวนกับสาวกของอาชีวกหลายคน พวกสาวกของอาชีวกเหล่า
นั้นได้เห็นพระฉัพพัคคีย์เดินกั้นร่มมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบาสกผู้นั้น
ว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้ เป็นผู้เจริญของพวกท่าน เดินกั้นร่มมาคล้ายมหาอำมาตย์
โหราจารย์ อุบาสกผู้นั้นกล่าวว่า นั่นมิใช่ภิกษุ เป็นปริพาชก ขอรับ พวก
เขาแคลงใจว่า ภิกษุหรือมิใช่ภิกษุ ครั้นอุบาสกเข้าไปใกล้ ก็จำได้ จึงเพ่ง
โทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงเดินกั้นร่ม ภิกษุทั้ง
หลายได้ยินอุบาสกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า . . . จริงหรือ.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.

49
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 50 (เล่ม 9)

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน . . .ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงกั้นร่ม รูปใดกั้นต้อง
อาบัติทุกกฏ.
[๑๓๓] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ เธอเว้นร่มแล้วไม่สบาย
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธ.
[๑๓๔า สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
อนุญาตร่มแก่ภิกษุอาพาธเท่านั้น ไม่ได้ทรงอนุญาตแก่ภิกษุไม่อาพาธ จึง
รังเกียจที่จะกั้นร่มในวัดและอุปจารของวัด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า . ..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้
ภิกษุแม้ไม่อาพาธกั้นร่มในวัด หรือในอุปจารของวัดได้
เรื่องไม้เท้า
[๑๓๕] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งวางบาตรไว้ในสาแหรก แล้วห้อยไว้
ที่ไม้เท้า เดินผ่านไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านบอกกัน
ว่า พวกเรา นั่นโจรกำลังเดินไป ดาบของมันส่องแสงวาว แล้วตามไล่ไปจับ
ตัวได้ รู้แล้วปล่อยไป ครั้นภิกษุนั้นไปถึงวัดแล้ว แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็คุณถือไม้เท้ากับสาแหรกหรือ ภิกษุนั้นรับว่า ถูกแล้ว
ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย...ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน
ภิกษุจึงได้ถือไม้ เท้ากับสาแหรกเล่า แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียน ...ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้ง-
หลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงถือไม้เท้ากับสาแหรก รูปใดถือ ต้อง
อาบัติทุกกฏ.

50
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 51 (เล่ม 9)

[๑๓๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ปราศจากไม้เท้า ไม่สามารถ
จะเดินไปไหนได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค เจ้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าแก่ภิกษุ
อาพาธ.
[๑๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงให้สมมติไม้เท้าอย่างน้อย
ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้า
ภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถไปไหนได้ ท่าน
เจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอทัณฑสมมติ กะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๑๓๘] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ-
ทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาให้ทัณฑสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ
ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์ ถ้า
ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมี
ชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ
ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้ เธอขอทัณฑสมมติกะสงฆ์
สงฆ์ให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้ทัณฑสมมติแก่ภิกษุมีชื่อ
นี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น พึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.

51
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 52 (เล่ม 9)

ทัณฑสมมติ อันสงฆให้แล้วแก่ภิกษุมมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์
เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[๑๓๙] สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้สาแหรก ไม่สามารถ
จะนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสาแหรกแก่
ภิกษุอาพาธ.
[๑๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงใ ห้สมมติอย่างนี้:-
ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้า
ภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่มีสาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นขอสิกกาสมมติกะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
[๑๔๑] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ-
กรรมวาจา ว่าดังนี้ :-
กรรมวาจาให้สิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่
ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุ
มีชื่อนี้ นี้เป็นญัตติ.

52
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 53 (เล่ม 9)

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่
ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ เธอขอสิกกาสมมติกะสงฆ์
สงฆ์ให้สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้สิกกาสมมติ แก่ภิกษุมีชื่อ
นี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้ฟัง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้น พึงพูด.
สิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์
เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
[ ๑๔๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไป
ไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถนำบาตรไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้สมมติไม้เท้าและสาแหรกแก่ภิกษุอาพาธ.
ก็แล สงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้ ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่ม
ผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้ว
กล่าวคำขออย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
คำขอทัณฑสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถจะไปไหนได้
และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถจะนำบาตรไปได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้น
ทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม
[๑๔๓] ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ-
ทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

53
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 54 (เล่ม 9)

กรรมวาจาให้ทัณฑสิกกาสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธไม่
ใช้ไม้เท้า ไม่สามารถจะเดินไปไหนได้ และไม่ใช่สาแหรกไม่สามารถ
จะนำบาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ ถ้าความพร้อม
พรั่งของสงฆ์ ถึงที่แล้ว สงฆ์ พึงให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้
นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อนี้รูปนี้อาพาธ
ไม่ใช้ไม้เท้าไม่สามารถเดินไปไหนได้ และไม่ใช้สาแหรกไม่สามารถ
จะนำบาตรไปได้ เธอขอทัณฑสิกกาสมมติกะสงฆ์ สงฆ์ให้ทัณฑ-
สิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้ทัณฑสิกกาสมมติแก่ภิกษุมีชื่อนี้
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ขอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.
ทัณฑสิกกาสมมติ อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่
สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
เรื่องภิกษุเรอ
[๑๔๔] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นโรคเรอ เธอเรออ้วกกลับกลืน
เข้าไป ภิกษุทั้งหลาย เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุนี้ฉันอาหารใน
เวลาวิกาล แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้จุติมาจากกำเนิดโคไม่นาน เราอนุญาต
อาหารที่อ้วกแก่ภิกษุผู้มักอ้วก แต่ออกมานอกปากแล้วไม่พึงกลืนเข้าไป รูปใด
กลืนเข้าไป พึงปรับตามธรรม.

54
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 55 (เล่ม 9)

[๑๔๕] สมัยนั้น สังฆภัตรเกิดแก่สงฆ์หมู่หนึ่ง เมล็ดข้าวเป็นอันมาก
กลาดเกลื่อนในโรงอาหาร ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อเขา
ถวายข้าวสุก ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ไม่รับโดยเคารพ ข้าว
แต่ละเมล็ดจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำหลายครั้ง ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้าน
พวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
ภาคเจ้า . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดทายกถวายตกหล่น เราอนุญาต
ให้เก็บสิ่งนั้นฉันเองได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะของนั้นทายกบริจาคแล้ว.
เรื่องเล็บยาว
[๑๔๖] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งไว้เล็บยาวเที่ยวบิณฑบาต สตรีผู้หนึ่ง
เห็นเข้า จึงได้กล่าวชวนภิกษุรูปนั้นว่า ท่านเจ้าข้า นิมนต์มาเสพเมถุน ภิกษุ
นั้นตอบว่า อย่าเลย น้องหญิง เรื่องเช่นนี้ไม่สมควร.
ส. ถ้าท่านไม่เสพ ดิฉันจักหยิกข่วนเนื้อตัวด้วยเล็บของดิฉัน แล้ว
ร้องโวยวายขึ้นในบัดนี้ว่า ภิกษุนี้ข่มขืนดิฉัน.
ภิ. จงรู้เองเถิด น้องหญิง.
สตรีผู้นั้นหยิกข่วนเนื้อตัวของคนด้วยเล็บ แล้วได้ร้องโวยวายขึ้นว่า
ภิกษุนี้ข่มขนเรา ชาวบ้านได้วิ่งเข้าไปจับกุมภิกษุนั้น พวกเขาได้เห็นผิวหนัง
และเลือดที่เล็บมือของสตรีผู้นั้น ครั้นแล้วลงความเห็นว่า การกระทำนี้ของสตรี
ผู้นี้ต่างหาก ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้กระทำ แล้วปล่อยภิกษุนั้นไป ครั้นภิกษุนั้นไป
ถึงวัดแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็คุณไว้เล็บยาว
หรือ ภิกษุรูปนั้น รับว่า เป็นอย่างนั้น ขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . .
ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุจึงไว้เล็บยาว แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้
เล็บยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

55
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 56 (เล่ม 9)

[๑๔๗] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายตัดเล็บมือด้วยเล็บมือบ้าง ตัดเล็บมือ
ด้วยปากบ้าง ครูดเล็บมือที่ฝาผนังบ้าง นิ้วมือเจ็บ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมีดตัดเล็บ
ภิกษุทั้งหลายตัดเล็บจนเลือดออก นิ้วมือเจ็บ ... .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ตัดเล็บเสมอเนื้อ
เรื่องขัดเล็บ
[๑๔๘] สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์วานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว ชาว
บ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า. . . เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงวานกันให้ขัดเล็บทั้ง ๒๐ นิ้ว รูปใดให้ขัด ต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แคะขี้เล็บได้.
เรื่องมีดโกน
[๑๔๙] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายมีผมยาว ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามารถ
จะปลงผมให้แก่กันได้หรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า สามารถพระพุทธเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูล
นั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น . . . รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตมีดโกน หินลับมีดโกน ฝักมีดโกน ผ้าพันมีดโกน เครื่องมีดโกน
ทุกอย่าง.
เรื่องแต่งหนวด
[๑๕๐] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์วานกันตัดหนวด ปล่อยหนวดไว้ให้
ยาวไว้เครา แต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไว้กลุ่มขนท้อง

56
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 57 (เล่ม 9)

ไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง โกนขนในที่แคบ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะ-
นาว่า. . .เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ... ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตัดหนวด ไม่
พึงปล่อยหนวดไว้ให้ยาว ไม่พึงไว้เครา ไม่พึงแต่งหนวดเป็นสี่เหลี่ยม ไม่พึง
ขมวดกลุ่มขนหน้าอก ไม่พึงไว้กลุ่มขนท้อง ไม่พึงไว้หนวดเป็นเขี้ยวโง้ง ไม่
พึงโกนขนในที่แคบ รูปใดโกน ต้องอาบัติทุกกฎ.
เรื่องโกนขนในที่แคบ
[๑๕๑] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลในที่แคบ ทายาไม่ติด . . .
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โกนขนในที่แคบได้ เพราะเหตุอาพาธ.
[๑๕๒] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันและกันให้ตัดผมด้วยกรรไกร
ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า...เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม...
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . . ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ตัดผมด้วยกรรไกร รูปไดให้ตัด ต้องอาบัติทุกกฏ.
[ ๑๕๓] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเป็นแผลที่ศรีษะ ไม่อาจปลงผมด้วยมีด
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดผมด้วยกรรไกรได้ เพราะเหตุอาพาธ.
เรื่องไว้ขนยาว
[๑๕๔] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายปล่อยขนจมูกยาวไว้ยาว ชาวบ้าน เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า. . .เหมือนพวกปีศาจ . . . ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไว้ขนจมูก
ยาว รูปใดไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

57
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ – หน้าที่ 58 (เล่ม 9)

[๑๕๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ถอนขนจมูกด้วยกรวดบ้าง ด้วย
ขี้ผึ้งบ้าง จมูกเจ็บ . . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตแหนบ.
[๑๕๖] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้กันถอนผมหงอก ชาวบ้าน เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า... เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม... ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ไม่พึงให้ถอนผมหงอก รูปใดให้ถอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๕๗] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีขี้หูจุกช่องหู . .. ภิกษุทั้งหลายกราบ
ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ..ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ไม้แคะหู.
[๑๕๘] สมัยนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ไม้แคะหูต่าง ๆ คือ ทำด้วยทอง
ทำด้วยเงิน ชาวบ้าน เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า . . .เหมือนพวกคฤหัสถ์
ผู้บริโภคกาม . .. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ไม้แคะหูต่าง ๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ. เราอนุญาตไม้แคะหูที่ทำด้วยกระดูก งา เขา ไม้อ้อ ไม้ไผ่ ไม้จริง
ยางไม้ เมล็ดผลไม้ โลหะ กระดองสังข์.
ทรงห้ามสั่งสมเครื่องโลหะเครื่องสัมฤทธิ์
[๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สั่งสมเครื่องโลหะ เครื่อง
ทองสัมฤทธิ์ไว้เป็นอันมาก ชาวบ้านไปเที่ยวชมตามวิหารพบเข้า แล้วเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้สั่งสมเครื่อง
โลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ไว้มากมายคล้ายพ่อค้าขายเครื่องทองสัมฤทธิ์ . . . ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. . .ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงสั่งสมเครื่องโลหะ เครื่องทองสัมฤทธิ์ รูปใดสั่งสม ต้องอาบัติทุกกฏ.

58